Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.เอเซีย พลัส : Market Talk

376


ถ้าจะฟื้นตัว ก็น่าจะเป็น TECHNICAL REBOUND
การปรับฐานแรงของ SET INDEX วานนี้เกิดจากภาพรวมของตลาดที่ขาดความเชื่อมั่นและอ่อนไหวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อมีSENTIMENT เชิงลบจากตลาดหุ้นต่างประเทศเข้ามาหนุนก็ทำให้สามารถปรับตัวลดลงมาได้ และเมื่อลงมาจนเกิด SELL SIGNAL ตาม TECHNICAL ก็ทำให้เกิดแรงกดซ้ำให้ตลาดปรับลงไปอีก ส่วนทิศทางในวันนี้ประเมินจากปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐานยังไม่เห็นแรงหนุนให้ปรับขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทิศทางดอกเบี้ยทั้งในสหรัฐ และ บ้านเรา ที่น่าจะคงอยู่ที่ระดับปัจจุบันไปอีกระยะหนึ่ง ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีโอกาสนำเข้าสู่ ครม.สัปดาห์หน้าได้แก่ EASY E-RECEIPT คาดมีผลบังคับต้นปี 2568 ซึ่งดีต่อหุ้นบางกลุ่ม แต่ไม่พอที่จะขับเคลี่อนตลาด ดังนั้นหากจะเห็นการฟื้นกลับของตลาด ก็น่าจะเป็นลักษณะของTECHNICAL REBOUND
ประเมินจากปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐานเช้านี้ ยังไม่เห็นแรงกระตุ้นให้ SETINDEX ปรับขึ้นไปได้ หากจะมีก็เป็นเพียงTECHNICAL REBOUND คาดกรอบ 1368-1384 จุด TOP PICK เลือก ADVANC, BEM และ CRC


ปัจจัยดอกเบี้ย HIGHER FOR LONGER ยังทำตลาดหุ้นวุ่น
วานนี้ ตลาดหุ้นทั่วทั่วโลกยังคงผันผวนต่อเนื่อง โดย BOND YIEDL 10Y สหรัฐฯ ดีดตัวขึ้นสู่ระดับ 4.56% (เพิ่มขึ้นมาแล้ว 38 BPS. นับแต่ต้นเดือน ธ.ค. 67) ส่วนDOLLAR INDEX ปรับตัวขึ้นเป็น 108.41 จุด หลัง FED ส่งสัญญาณ HAWKISHมากขึ้น ในการปรับลดดอกเบี้ยระยะข้างหน้า โดยคาดการณ์ DOT PLOT ประเมินว่าจะเห็นการลดดอกเบี้ย เพียงแค่ 2 ครั้ง (เดิมคาด 4 ครั้ง) สู่ระดับ 4.0% ในปี 2568 และปรับลดอีก 2 ครั้ง สู่ระดับ 3.5% ในปี 2569


ทิศทางดอกเบี้ย HIGHER FOR LONGER มีน้ำหนักมากขึ้น หลังภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังดูแข็งแรง สะท้อนจากการปรับเพิ่มคาดการณ์GDP GROWTH ใน 3Q67ครั้งที่ 3 ขยายตัว +3.1% (เดิม 2.8%) ซึ่งมากกว่าไตรมาสก่อนที่ 3 นอกจากนี้ คืนนี้เวลา 20.30 น. รอติดตามการรายงานตัวเลขดัชนีเงินเฟ้อ PCE เดือน พ.ย. 67 โดยCONSENSUS คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น +2.5%YOY ซึ่งสูงกว่าเดือนก่อนหน้าขณะที่ FED WATCH TOOL คาด FED คงดอกเบี้ยไว้ที่ 4.5% ในการประชุมรอบเดือนม.ค. 68 ด้วยความน่าจะเป็นเกิน 90% และประเมินว่าหน้าจะเห็นการลดดอกเบี้ยแค่ 1ครั้งในช่วงกลางปี 2568

 


ขณะที่บ้านเรา ในการประชุม กนง. ครั้งสุดท้ายของปีนี้ กนง. มีมติเอกฉันท์ คงอัตราดอกเบี้ยนยโยบายไว้ที่ระดับ 2.25% หลังเศรษฐกิจไทยสามารถขยายตัวได้ใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ ท่ามกลางความท้าทายจากการแข่งขันจากภายนอกที่รุนแรงขึ้น และความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้าที่สูงขึ้น โดยเฉพาะแนวนโยบายของประเทศเศรษฐกิจหลัก อย่างไรก็ตามในระยะถัดไป หาก กนง.เห็นว่าแนวโน้มเศรษฐกิจแย่กว่าคาด ก็พร้อมที่จะปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินเสมอ
ขณะเดียวกันมีเสียงสะท้อนจาก ว่าที่ประธานบอร์ ธปท. คนใหม่ (นายกิตติรัตน์ ณระนอง) ย้ำจุดยืนควรลดดอกเบี้ยนโยบายให้เร็วและแรง เพื่อป้องกันหายนะทางเศรษฐกิจ และช่วยลดภาระดอกเบี้ยเงินกู้ให้กับประชาชนส่วนมุมมองของฝ่ายวิจัยฯ เรามองว่ายังมีความเป็นไปได้ที่จะปรับลดดอกเบี้ยสัก 1
ครั้งราว 0.25% หรือ 25 BPS. แต่น่าจะทิ้งช่วงไปเกิดขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 2 หรือกลางปี 2568

เศรษฐกิจไทยจะฟื้นดีต้องการแรงผลักจากนโยบายการคลัง
ภาพเครื่องยนต์เศรษฐกิจไทยที่ยังขับเคลื่อนได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ซึ่งยังต้องการแรงกระตุ้นทั้งในส่วนของนโยบายการคลังที่เข้มข้น และนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น ซึ่งล่าสุดทางคุณกิตติรัตน์เสนอให้ กนง. ควรลดดอกเบี้ยให้เร็วกว่านี้ เพื่อหลีกหนีจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว

ขณะที่ทางฝั่งกระทรวงการคลังยังเห็นมาตรการกระตุ้นเรื่อยๆ ผ่านการรวบรวมข้อมูลของฝ่ายวิจัยฯ ที่ว่ารัฐบาลเกี่ยวกับการจัดเก็บรายได้-รายจ่าย/ GDP พบว่าในปี2567 สัดส่วนรายได้สุทธิหลังหักการจัดสรร/GDP อยู่ที่ 15.1% ส่วนสัดส่วนงบประมาณรายจ่าย/GDP อยู่ที่ 18.9% ซึ่งปีหน้าตัวเลขยังสูงขึ้นอยู่ที่ระดับ 19.8%ตัวเลขดังกล่าวส่งผลให้ ประเทศไทยขาดดุลงบประมาณมากขึ้นเรื่อยๆ โดยปี 2568 มีการขาดดุลงบประมาณสูงถึง 8.7 แสนล้านบาท ซึ่งคาดว่าอาจเป็นการหาแหล่งเงินทุนเดินหน้าโครงการเติมเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท รวมถึงมาตรการอื่นๆที่เตรียมไว้กระตุ้นเศรษฐกิจในอนาคต


ซึ่งล่าสุด กระทรวงการคลังเตรียมนำมาตรการ EASY E-RECEIPT เข้าที่ประชุมครม.สัปดาห์หน้า โดยมีรายละเอียด คือ โครงการให้บุคคลธรรมดา สามารถหักลดหย่อนค่าซื้อสินค้าและบริการ ไม่เกิน 5 หมื่นบาท(ตั้งแต่ 1 ม.ค.68 เป็นต้นไป) โดยต้องมีหลักฐานเป็นใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งหากอ้างอิงจากข้อมูลปี 2567 คาดว่าจะเพิ่มเงินหมุนเวียนในระบบ 70,000 ล้านบาท หรือกระตุ้น GDP ให้เพิ่มขึ้นอีกราว0.18%


อย่างไรก็ตาม ในมุมความเสี่ยงภาระผูกพันของประเทศ ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิดเนื่องจากเม็ดเงินที่เพิ่มขึ้นในระบบเศรษฐกิจ กำลังถูกแลกมาด้วยการก่อหนี้สิน โดยหนี้สาธารณะ/GDP ของไทยเดือน ต.ค. 67 ล่าสุดอยู่ที่ 63.99% ซึ่งภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลัง70% รัฐบาลยังก่อหนี้ได้อีกแค่ 1.1 ล้านล้านบาท เท่านั้น อีกทั้งยอดหนี้สาธารณะของบ้านเรายังเติบโตเร็วกว่า GDP GROWTH มาเป็นเวลานาน หากเศรษฐกิจไทยขยายตัวช้า อาจมีความเสี่ยงที่หนี้สาธารณะ/GDP จะเกินกรอบเป้าหมายได้

 

สรุป เศรษฐกิจไทยถ้าจะฟื้นแรง ต้องการแรงผลักจากนโยบายการคลังเพิ่มเติม แต่ติดที่หนี้สาธารณะ/GDP ของไทยสูง ใกล้ชนเพดาน จึงทำให้อาจมีความเสี่ยงที่จะเกินกรอบทางวินัยได้

SET ลงแรงตามหุ้นโลก ต่างชาติสลับมาซื้อบางๆ หาหุ้นที่ต่างชาติซื้อเด่น
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ (NASDAQ) วันก่อนปรับตัวลง -3.6% และวานนี้ลงต่ออีก -0.3%น่าจะเป็น SENTIMENT สั้นๆ กดดันให้ตลาดหุ้นอื่นๆ รวมถึงไทยย่อตัวลงต่อได้ขณะที่ SET INDEX วานนี้ปรับตัวลง -1.53% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 4.9 หมื่นล้านบาทอย่างไรก็ตามฝ่ายวิจัยฯ วิเคราะห์ความสัมพันธ์ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ S&P500 กับตลาดหุ้นไทย SET ในปีนี้ ด้วยการหาค่า BETA ระหว่างกันเท่ากับ 0.17 แสดงว่าการเคลื่อนไหวของทั้ง 2 ดัชนีไม่ค่อยมีความสัมพันธ์กัน
แม้วานนี้ตลาดหุ้นไทยจะลงเยอะ แต่เห็นต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิเล็กน้อย 102 ล้านบาท (หลังจากขายสุทธิติดต่อกัน 9 วัน)


ดังนั้นฝ่ายวิจัยฯ จึงค้นหาหุ้นที่ต่างชาติซื้อสุทธิเยอะในวานนี้ คือ PRM 135 ล้านบาท, SCC 53 ล้านบาท, BTS 43 ล้านบาท, KTB 39 ล้านบาท, IVL 30 ล้านบาท,KBANK 25 ล้านบาท และหุ้นตัวอื่นๆ


Research Division
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส

ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

เฟด คงดอกเบี้ย By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ ตลาดหุ้นไทย พัก แบบปรับฐาน ในเช้าวันนี้ หลังจากวานนี้ ดัชนฯพุ่งแรง ประกอบกับ เฟด ....

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้