Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.กรุงศรี พัฒนสิน : KSS Daily Strategy

474

 

"Domestic Plays"

 

KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "แกว่งผันผวน" ต้าน 1411/1415 จุด รับ 1390/1380 จุด ดัชนี S&P500 -0.39% ตลาดจับตาการประชุม Fed (เช้าทราบผล 19 ธ.ค.) ให้น้ำหนักมุมมอง Fed ต่อผลกระทบ Trump 2.0 ผ่าน Dot Plot ใหม่และคาดการณ์ GDP vs ปัจจุบันที่ตลาดประเมิน Fed จะปรับดอกเบี้ยในปี 2025 ที่ 2-3 ครั้ง (Dot Plot ล่าสุด 4 ครั้ง) และประเมินเศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวได้ 2.1% (Fed ล่าสุดคาด 2.0%) ส่วนภายในการปรับฐานแรงวานนี้อีกส่วนน่าจะมีผลจากความกังวลเสถียรภาพการเมือง หลัง ปปช. มีมติไต่สวน 12 เจ้าหน้าที่รัฐเอื้อรักษาอาการป่วยคุณทักษิณที่มีความเชื่อมโยงพรรคเพื่อไทย ทั้งนี้ แม้ตลาดปัจจุบันอยู่ในโซนการลงทุนระยะกลาง-ยาว Current Equity Risk Premium ที่ 3.92% vs จุดกลับตัวภาวะปกติที่ Avg + 1 S.D. ขณะที่การประชุม กนง. เราประเมินคงดอกเบี้ยแต่มีโอกาสส่งสัญญาณ Dovish แต่ภาพทางเทคนิคที่ตลาดหลุดแนวรับสำคัญ EMA 200 วัน คาดทำให้ตลาดระยะสั้นผันผวน โดยหุ้นที่เคลื่อนไหวดีกว่าตลาด กลุ่มที่มีประเด็นบวก ท่องเที่ยว ภาคบริการ (นักท่องเที่ยว +10.5%w-w) โรงกลั่น (ค่าการกลั่น +18%d-d) หุ้นไฟฟ้า (กกพ. ประกาศผู้ชนะประมูลไฟฟ้าหมุนเวียน+ครม.เร่งผลักดัน Solar Rooftop) วันนี้แนะนำ AWC, CPALL, BTS

 

 

Daily outlook: "แกว่งผันผวน" ต้าน 1411/1415 จุด รับ 1390/1380 จุด

What happened around the world?

(*) US Stock Market : ตลาดหุ้นสหรัฐปรับลงในทางเดียวกัน หลังตัวเลข Retail Sales ดีกว่าคาดหนุนความเชื่อมเศรษฐกิจสหรัฐแกร่งกดดันให้ Fed ไม่เร่งลดดอกเบี้ย และตลาดรอผลประชุม Fed จะทราบผลเช้ามืดวันพฤหัสบดี Dowjone -0.61% (แรงกดดันหลักๆมาจากหุ้น United Health ลงต่อ -2.6%) ดัชนี S&P500 -0.39% และดัชนี Nasdaq -0.33% Sector หุ้นที่เคลื่อนไหวเด่นมีเพียง กลุ่ม Consumer Discretionary ส่วนกลุ่มที่ปรับลงหลักๆ คือ Industrial, Energy, Financials, ICT ฯลฯ หุ้นที่เคลื่อนไหวโดดเด่น คือ Tesla +3.6% หลังจาก Consensus ทยอย Upgrade ราคาเป้าหมาย, Microstrategy -5.39% ตามราคาเหรียญ Crypto ส่วนใหญ่ปรับลง NVIDIA -1.22% ฯลฯ

•(*) US Econ รายงานดัชนีค้าปลีก(Retail Sales) พ.ย. ยังแกร่ง +0.7%m-m มากกว่าคาด +0.5%m-m vs prev. +0.4%m-m แรงหนุนหลักมาจาก ยอดขายรถยนต์ที่ดี ซึ่งเป็นการเร่งซื้อก่อนที่จะเผชิญกับมาตรการภาษีของ Donald Trump แต่ Core Retail sales ทรงตัวจากเดือนก่อน +0.2%m-m และต่ำคาด

(*/+) China Stimulus รอยเตอร์รายงานอ้างอิงแหล่งข่าวว่าผู้นำจีนเตรียมตั้งเป้าการขาดดุลการคลังระดับ 4.0% ของ GDP ในปี 2025 สูงสุดในรอบ 15 ปี และคาดว่าจะตั้งเป้าเติบโตระดับ 5.0% ทั้งนี้การตั้งเป้าหมายอย่างเป็นทางการจะเกิดขึ้นในการประชุมคณะทำงานเศรษฐกิจช่วงเดือน มี.ค. 2025 Strategy: เรามองระดับการตั้งเป้าการขาดดุลการคลัง 4.0% หากเป็นจริงจะเป็นภาพบวกต่อแนวโน้มการกระตุ้นเศรษฐกิจเชิงรุกของจีนอย่างมาก ทั้งนี้ ดัชนีกิจกรรมเศรษฐกิจจีน พ.ย. คาดหวังการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านอุปสงค์ในประเทศและภาคอสังหาในระยะต่อไป ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนเรามองน่าสะสมหุ้น China Play เมื่ออ่อนตัว นำโดย IVL SCC PTTGC

(*/+) Singapore Export : ยอดส่งออก (Non oil export) สิงคโปร์เดือน พ.ย. +3.4%yoy จากหดตัว 4.7%yoy ในเดือน ต.ค. และ+ 14.7%mom จากหดตัว 7.5%mom ในเดือน ต.ค. เป็นผลจากยอดส่งออกเซมิคอนดักเตอร์กลับมาเร่งตัวขึ้นราว 23.2%yoy จาก +2.6% ในเดือน ต.ค. เป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์บ้านเรา (ยอดส่งออกสิงคโปร มีความสัมพันธ์ไปในทางเดียวกันกับยอดส่งออกไทยจากสถิติในอดีต ทำให้ประเมินส่งออกของไทย เดือน ก.ย. มีโอกาสจะออกมาขยายตัว

(*) To monitor : ฝั่งสหรัฐ 19 ธ.ค. ประชุม FOMC คาดลดดอกเบี้ยนโยบาย -25 bps สู่ 4.25% - 4.5% ฝั่งญี่ปุ่น 19 ธ.ค. ติดตาม Annualized q-q GDP 3Q24 รายงานครั้งสุดท้าย คาด +1.1% vs prev. +0.9% 19 ธ.ค. ติดตามประชุม BOJ คาด BOJ คงดอกเบี้ยที่ 0.25%

(*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐแกว่งตัวออกข้าง อายุ 2 ปี อยู่ที่ 4.24% และอายุ 10 ปีชะลอการขึ้นอยู่ที่ 4.39% ส่วน Dollar Index แกว่งตัวบริเวณ 106.56จุด( แนวต้านสำคัญคือ 107.2 จุด)

(*/-)Oil : น้ำมันดิบ Brent -0.77%d-d ปิดที่ USD 73.34/barrel น้ำมันดิบ West Texas -0.89%d-d ปิดที่ USD 70.08/barrel

(+) Refinery: ค่าการกลั่นฟื้นตัว วานนี้ค่าการกลั่น ณ โรงกลั่นสิงคโปร์ ปิดล่าสุด 17 ธ.ค. เพิ่มขึ้น 0.95$ (+17%) ปิดที่ระดับ 6.25$/bbl ค่าการกลั่นในช่วงปลาย 3Q24 เฉลี่ยที่ 2-3$/bbl แต่ปัจจุบันเคลื่อนไหวที่ระดับ 5-6.5$/bbl นับเป็นสัญญาณบวกต่อการดำเนินงานปกติของกลุ่มโรงกลั่น Top Pick คือ SPRC

(*/+) Coal &Natural Gas : ราคาถ่านหินล่วงหน้า Newcastle +1.24%d-d ปิดที่ USD 130.35/ตัน ก๊าซธรรมชาติ NYMEX +2.92%d-d ปิดที่ USD3.308/MMBtu ประเมินเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นที่มีสัดส่วนรายได้จากถ่านหินและก๊าซ คือ BANPU (not rate) (แนะนำเพียง Trading มี Catalyst บวกจากคาดโอกาส 100%ในการเข้าคำนวณ SET50 ในรอบ 1H25 คาดประกาศในสัปดาห์นี้

(*) Sugar : น้ำตาล -4.06%d-d ปิดที่ 19.84Cent/lb ต่ําสุดในรอบ 3 เดือน เนื่องจากแนวโน้มอุปทานน้ำตาลทั่วโลกเพิ่มขึ้นสะท้อน ตัวเลขอ้อยล่าสุดของบราซิลในช่วงครึ่งหลังของเดือน พ.ย. สูงถึง 20.35 MMT มากกว่าตลาดคาด มองเป็นจิตวิทยาลบจากบริษัทที่มีสัดส่วนรายได้จากน้ำตาล อาทิ KTIS, KSL, KBS. แต่ในทางตรงข้ามเป็นบวกต่อบริษัทที่มีต้นทุนเป็นน้ำตาล หลักๆคือ กลุ่มเครื่องดื่ม SAPPE ฯลฯ

 

What happened in Thailand?

(-) SET : SET Index วันทำการล่าสุดปิดลบ -24.15 จุด หรือ -1.7% ปิดที่ 1395.57 จุด หลุดเส้นค่าเฉลี่ย EMA 200 วันที่บริเวณ 1411 และแนวรับจิตวิทยา 1400 จุด กลุ่มกดดันหลัก คือ กลุ่มค้าปลีก (CPALL, CPAXT) ยังเผชิญแรงขายต่อเนื่อง จากความกังวลกังวลประเด็น CPAXT เข้าลงทุนใน Happitat Mixed Use กระทบผลกำไรในระยะสั้นจากภาระดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้นราว 300 ล้านบาทต่อปี (2-3% ของคาดการณ์กำไรสุทธิปีนี้) เนื่องจาก Source of fund ในการเข้าลงทุนเป็นเงินกู้ทั้งหมด, ตลาดกังวลการแข่งขันที่รุนแรงในย่านบางนากดดันให้โครงการดังกล่าวถึงจุดคุ้มทุนช้ากว่าที่กำหนด กลุ่มสื่อสาร (ADVANC, TRUE) มองเป็นกลุ่มที่ Outperform ที่ตลาดเลือกขายทำกำไร กลุ่มประคอง คือ กลุ่มชิ้นส่วน (CCET) ประเด็นบวกลงนามความร่วมมือ MOU กับ DELTA ต่อยอดธุรกิจ กลุ่มเช่าซื้อ (MTC, SAWAD) จิตวิทยาบวก TH Bond Yield 10 ปีปรับตัวลดลง -5 bps สู่ 2.24%

(-) Flows: เงินทุนต่างชาติวันทำการล่าสุดไหลออก ขายหุ้น -16.3 ล้านเหรียญฯ ขายพันธบัตร -111.5 ล้านเหรียญฯ TFEX Net Short -25,507 สัญญา เงินบาทอ่อนค่าทรงตัว 34.2 +/- บาท

(*/-) TH Politic: สถานการณ์การเมืองระยะนี้ที่อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นเสถียรภาพการเมืองของตลาด เนื่องจากอาจกระทบความเชื่อมั่นแกนนำรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ทั้งสิ้น 3 เรื่องหลัก

1.) คณะกรรมการ ปปช. พิจารณารายงานกรณีส่งตัวผู้ต้องขังนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจโดยมิชอบ และให้นายทักษิณอยู่รักษาที่โรงพยาบาลตํารวจจนกระทั่งครบ 180 วัน ทั้งที่ไม่เจ็บป่วยจริง จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่ามีข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพียงพอ จึงมีมติรับเรื่องไว้พิจารณาและดำเนินการไต่สวน 12 เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง

2.) ประธาน กกต. เปิดเผยว่า ความคืบหน้าคำร้องการยุบพรรคการเมือง ขณะนี้มีเรื่องให้พิจารณา 6-8 เรื่อง กำลังจะเสนอเรื่องให้นายทะเบียนพรรคการเมืองพิจารณาว่าจะยุติเรื่องหรือส่งเรื่องให้ กกต. พิจารณาต่อ ส่วนกรณีนายทักษิณฯ ครอบงำพรรคเพื่อไทย 4 คำร้อง ปัจจุบันอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน

3.) วันนี้ (18 ธ.ค.) ThaiPBS รายงานจะมีการนัดรวมผลกลุ่มคน "ไม่เอา" ทักษิณ ซึ่งนัดหมายจะเดินทางไปให้กำลังใจ "ป.ป.ช." ก่อนประชุม สรุปผลสอบ-ไต่สวน คำร้องเรื่อง ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ด้วยเจตนาที่จะรักษาดุลอำนาจ ใน 3 เสาหลักของระบอบประชาธิปไตย

เราประเมินกระแสข่าวดังกล่าว ถือเป็นจิตวิทยาลบต่อความเชื่อมั่นเสถียรภาพการเมืองของตลาด ทั้งนี้ แม้ยังต้องติดตามความคืบหน้ากรณีต่างๆ แต่ระยะสั้นถือเป็นความเสี่ยงให้ตลาดชะลอลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง เพื่อลดความเสี่ยงหากเกิดเหตุรัฐบาลปัจจุบันไม่สามารถขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจต่างๆ ตามแผน และการเมืองเกิดภาพเข้าสู่ช่วงรอยต่ออีกครั้ง

(*/+) Utilities: กกพ. ประกาศรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือกพลังงานหมุนเวียนเฟส 2 รูปแบบ Feed​-in​ Tariff​ (FiT)​ ปี​2565​-2573 รวม 2,145 MW แบ่งเป็นพลังงานลม 565 MW และพลังงานโซล่าร์ 1,580 MW โดยจะมีการเร่งลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ภายใน 14-60 วันหลังประกาศผลคัดเลือกในวันนี้ ประเมินความคืบหน้าดังกล่าวเป็นบวกต่อหุ้นโรงไฟฟ้าที่ช่วงก่อนหน้าถูกสั่งชะลอโครงการ และคาดเป็นบวกต่อหุ้นที่ได้กำลังผลิตเพิมสูงๆ อาทิ GUNKUL RATCH EGCO GPSC BGRIM

(+) Tourism: นักท่องเที่ยวต่างชาติรายสัปดาห์ 8-15 ธ.ค. เป็นบวก ปรับเพิ่มขึ้น +10.5%w-w สู่ 7.7 แสนคน โดยนักท่องเที่ยวฟื้นตัวทุกกลุ่ม ขณะที่สัปดาห์ถัดไปยังมีทิศทางบวก หนุนนักท่องเที่ยว YTD สูง 33.5 ล้านคน ประเมินทั้งปียังเดินหน้าสู่กรอบตลาดประเมิน 35.5-36 ล้านคน ส่วนปี 2025F คาดกลับสู่ระดับ Pre-COVID ทั้งนี้ ภาพเร่งขึ้นรายสัปดาห์เป็นบวกต่อหุ้นอิงภาคท่องเที่ยว ภาคบริการ อาทิ AOT, AWC, BJC

(*/+) Cabinet: มติที่ประชุม ครม. วานนี้ ได้แก่

1.) กระทรวงอุตสาหกรรมประกาศยกเว้นให้การติดตั้ว Solar rooftop ทุกระดับกำลังการผลิตไม่เข้าข่ายต้องขอใบอนูญาตโรงงาน เราประเมินช่วยอำนวยความสะดวกการติดตั้ง Solar Rooftop เร่งขึ้น มองบวกต่อหุ้นกลุ่มผู้รับเหมา Solar rooftop ได้แก่ GUNKUL, WHAUP PPM, SOLAR เน้น GUNKUL (TP25F-3.85) WHAUP (TP25F-5.9)

2.) ส่วนความคืบหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในส่วน Digital Wallet เฟส2 และ 3 ที่ยังไม่เข้าที่ประชุม ครม. รมช. คลัง เปิดเผยว่าเตรียมเสนอ ครม. อนุมัติสัปดาห์หน้า ประเมินจิตวิทยาบวกต่อหุ้นค้าปลีก อาทิ BJC, HMPRO, CRC

(*) To monitor: สัปดาห์นี้ปัจจัยภายในติดตาม 1.) ต้น-กลางสัปดาห์นี้ คาดตลาดจะประกาศผลการ Rebalance ดัชนี SET50/100 หุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET50 รอบนี้มี 4 บริษัท คือ BANPU (โอกาสเข้า 100%), SAWAD (โอกาสเข้า 100%), COM7 (โอกาสเข้า 95%) และ CCET (โอกาสเข้า 95%)

• หุ้นคาดว่าจะหลุด SET50 รอบนี้ 4 บริษัท คือ CENTEL (โอกาสหลุด 95%), BCP (โอกาสหลุด 95%), TIDLOR (โอกาสหลุด 95%) และ EA (โอกาสหลุด 100%)

• หุ้นที่คาดเข้า SET100 รอบนี้มี 4 บริษัท คือ JTS, CCET, PR9, COCOCO

• หุ้นที่คาดว่าจะหลุด SET100 รอบนี้ 4 บริษัท คือ MBK, RBF, TIPH, TOA

กลยุทธ์ แนะนำให้หลีกเลี่ยงหุ้นที่คาดว่าจะหลุด SET50-SET100 เนื่องจากมีความเสี่ยงในการลดน้ำหนักจาก Index Fund ขณะที่แนะนำเก็งกำไรหุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET50 รอบนี้เราแนะนำ SAWAD และ BANPU เด่น

2.) 17 ธ.ค. ติดตามการประชุม ครม. และรายงานนักท่องเที่ยต่างชาติรายสัปดาห์

3.) 18 ธ.ค. ติดตามการประชุม กนง. ตลาดคาดยังคงดอกเบี้ย 2.25% เท่าการประชุมรอบก่อน

4.) 19 ธ.ค. FTSE Rebalance รอบ ธ.ค. 24 มีผลราคาปิด

Large Cap Mid Cap และ Small Cap ไม่มีทั้ง หุ้นเข้า และ หุ้นออก

Micro Cap หุ้นเข้า : FM, NEO หุ้นออก : ไม่มี

 

Daily Strategy : AWC, CPALL, BTS เด่น

ระยะสั้น วันนี้มองตลาดหุ้นไทย "แกว่งผันผวน" ต่างประเทศยังเป็นภาพรอผลประชุม Fed ส่วนภายในแม้ Downside ทางพื้นฐานเริ่มจำกัดขึ้น อิง Current Equity Risk Premium ที่ 3.92% ใกล้ระดับ Avg + 1S.D. แต่ภาพทางเทคนิคที่หลุดแนวรับสำคัญยังคาดตลาดหุ้นเคลื่อนไหวผันผวน โดยหุ้นเด่น เน้นกลุ่มที่มีประเด็นบวกเฉพาะตัว กลุ่มที่มีประเด็นบวก ท่องเที่ยว ภาคบริการ (นักท่องเที่ยว +10.5%w-w) โรงกลั่น (ค่าการกลั่น +18%d-d) และหุ้นไฟฟ้า (กกพ. ประกาศผู้ชนะประมูลไฟฟ้าหมุนเวียน+ครม.เร่งผลักดัน Solar Rooftop)

หุ้นที่มีโอกาสถูกเพิ่มน้ำหนักจากกองทุนวายุภักษ์
กลุ่มที่ 1 หุ้นที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น, อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และมีแนวโน้มเติบโตดีในช่วง 2024 – 2025 ได้แก่ AOT, KTB, PTT

กลุ่มที่ 2 หุ้นที่อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และซื้อขายในระดับ Valuation Zone รวมถึงมีแนวโน้มการเติบโตดี ได้แก่ CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO, SCGP

กลุ่มที่ 3 หุ้นที่มีน้ำหนักใน SETESG สูงและมีแนวโน้มการเติบโตดี อยู่ใน Theme Data Center ได้แก่ ADVANC, GULF มีโอกาสเป็นเป้าหมาย

กลุ่มที่ 4 หุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์ Theme ที่ 4 คือ Div Yield 2024-2025 สูง >5% และอยู่ใน ThaiESG หุ้น (KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH)

กลุ่มที่ 5 หุ้นที่ยังมีน้ำหนักในกองทุนวายุภักษ์น้อย ขณะที่เข้าเกณฑ์ ESG Score (ถ้าอยู่ใน SET100 เรทติ้ง A ขึ้นไป ต่ำกว่า SET100 AA ขึ้นไป การเติบโตปี 2024-25 เกณฑ์ดี CPALL CPAXT BDMS CRC HMPRO IVL MTC BJC WHA

หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, STPI, DELTA ADVANC, TRUE, INSET, BE8, BBIK)
หุ้นในธีม Trump 2.0 (AMATA, WHA, PTT, PTTEP, CPF, SCB, KBANK, KTB, CPALL, BJC, HMPRO, ADVANC, GULF, GPSC)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (AOT, BTS, VGI, BJC, STECON, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ (IVL, AOT, AU, PTTGC, SCC, CPALL, BJC)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, BA, AAV, MTC, AEONTS, TRUE, CPALL, BJC)
• DEC24 Best Picks : ADVANC, BJC, BTS, GULF, AOT, IVL, MALEE

• 4Q24 Stock Picks : GULF, GPSC, MTC, CPALL, BJC, BDMS, AOT, KTB, ADVANC, HMPRO Mid-Small Cap Play : BTS, MALEE, MOSHI, CHG, ERW, BA

 

Tactical & Investment Idea

 

Research Highlight

 

• Strategy Update: SET50/100 1H25 Update

ทีมกลยุทธ์ได้คำนวณหุ้นเข้า/ออก SET50-SET100 สำหรับรอบ 1H25 ก่อนที่ตลาดจะประกาศการคัดเลือกหุ้นเข้าออกรอบนี้ในช่วงกลางเดือน ธ.ค. 2024 และมีผลเริ่มใช้ 1 ม.ค. 2025 โดยสำหรับผลการคำนวนในรอบนี้ใช้ข้อมูลตั้งแต่ 1 ธ.ค. 2023 – 29 พ.ย. 2024 (ครบตามที่ตลาดฯ ใช้จริงในการคำนวณหาหุ้นเข้า/ออก) ผลของการคาดการณ์น่าจะมีความแม่นยำสูง โดยเราหวังว่าบทวิเคราะห์ฉบับนี้จะช่วยให้นักลงทุนเตรียมตัวสำหรับการลงทุนในดัชนี SET50 และ SET100 ล่วงหน้าได้ โดยมีรายละเอียดดังนี้

• หุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET50 รอบนี้มี 4 บริษัท คือ BANPU (โอกาสเข้า 100%), SAWAD (โอกาสเข้า 100%), COM7 (โอกาสเข้า 95%) และ CCET (โอกาสเข้า 95%)

• หุ้นคาดว่าจะหลุด SET50 รอบนี้ 4 บริษัท คือ CENTEL (โอกาสหลุด 95%), BCP (โอกาสหลุด 95%), TIDLOR (โอกาสหลุด 95%) และ EA (โอกาสหลุด 100%)

• หุ้นที่คาดเข้า SET100 รอบนี้มี 4 บริษัท คือ JTS, CCET, PR9, COCOCO

• หุ้นที่คาดว่าจะหลุด SET100 รอบนี้ 4 บริษัท คือ MBK, RBF, TIPH, TOA

กลยุทธ์ แนะนำให้หลีกเลี่ยงหุ้นที่คาดว่าจะหลุด SET50-SET100 เนื่องจากมีความเสี่ยงในการลดน้ำหนักจาก Index Fund ขณะที่แนะนำเก็งกำไรหุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET50 รอบนี้เราแนะนำ SAWAD และ BANPU เด่น

• Strategy Update : Preliminary 2025 KSS Yearly Equity Strategy 2025 ภายนอกผันผวน โอกาสขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันภายใน หนุน Domestic Plays

การเคลื่อนไหวสินทรัพย์ต่างๆ ของโลกในปี 2024 พบว่า ตลาดหุ้นเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูง ดัชนี MSCI World (YTD) ให้ผลตอบแทนราว +16.3% แรงขับเคลื่อนมาจากเงินเฟ้อคลายตัว หนุนวงจรดอกเบี้ยโลกเข้าสู่ขาลง สะท้อนผ่าน US Bond Yield 10 ปีปรับลง -6.7% จากระดับสูงสุดช่วงปลายปี 2023 ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ อยู่ในภาวะ Goldilocks - Soft Landing ส่วน SET Index ให้ผลตอบแทน YTD ที่ +3.3% ต่ำกว่าภาพรวม จากเสถียรภาพทางการเมืองในช่วง 1H24 อย่างไรก็ตาม ภาวะเศรษฐกิจในช่วง 3Q24 ที่เริ่มเร่งขึ้น จากแรงส่งจากภาครัฐฯ หนุน SET ฟื้นตัว

สำหรับปี 2025 แนวโน้มเศรษฐกิจไทยน่าจะยังเร่งตัวไปถึงช่วงกลางปี 2025 เป็นอย่างน้อย อย่างไรก็ตามความเสี่ยงมหภาคผันผวนมากขึ้น จากชัยชนะของคุณ โดนัลด์ ทรัมป์ และ พรรค Republican ในแบบ Red Sweep ส่งผลให้การผลักดันนโยบายต่างๆ จะสร้างผลกระทบกับประเทศอื่นๆ เช่นเดียวกับตลาดเกิดใหม่(EM) โดยเฉพาะนโยบาย "Make American Greatest Again" ผ่านการสนับสนุนประชาชนอเมริกัน ลดภาษีต่างๆ การใช้งบประมาณที่สูง เพิ่มปัญหาขาดดุลทางการคลัง ขณะที่กีดกันต่างชาติ สงครามการค้า (Trade war) โดยเฉพาะ จีน ถือเป็นประเด็นหลักสร้างความเสี่ยงให้เงินเฟ้อลดลงช้ากว่าที่ตลาดคาดหวัง ผลของนโยบาย กีดกันผู้อพยพ, การขึ้นภาษีนำเข้า ผสาน ขาดดุลการคลังที่สูงขึ้น จะผลักดันให้ US Bond Yield ระยะกลางสูงกว่าคาดการณ์เดิม ค่าเงินสกุลดอลลาร์แข็งค่า โดยปัจจุบัน US Bond Yield 10 ปีขยับขึ้นจากโซนฐาน ณ ต้น ต.ค. ราว 75-80 bps, Dollar Index แข็งค่า +6-7%

ส่วนความเสี่ยงผลกระทบจากสงครามการค้า เริ่มเห็นภาพของตลาดหุ้น Asia ที่ บจ. มีรายได้เชื่อมโยงกับจีนและสหรัฐฯ ในสัดส่วนสูง อาทิ ยุโรป เกาหลีใต้ ไต้หวัน ให้ผลตอบแทน (MTD) Underperform โลก เรามองการเคลื่อนไหวสินทรัพย์ข้างต้น บ่งชี้ภาพตลาดให้น้ำหนักต่อปัจจัยที่จะกำหนดทิศทางการลงทุนในปี 2025 ขึ้นกับแนวทางขับเคลื่อนนโยบายของคุณ Trump เป็นหลัก

หากอิงตามกรอบเวลาขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ จะสร้างความผันผวนต่อ EM Asia 2 ส่วน คือ

1.) US Bond Yield ผันผวนตามทิศทางดอกเบี้ยซึ่งบางส่วนขึ้นกับนโยบายคุณ Trump, แนวโน้มดอลลาร์แข็งค่าจะเพิ่มแรงกดดันต่อ Fund Flows และ Multiple ของตลาดหุ้น

2.) สงครามการค้า ถือเป็น Downside Risk ต่อประมาณการเศรษฐกิจ แม้ผลกระทบจากการบังคับใช้น่าจะส่งผลในช่วง 2H25 หรืออาจจะข้ามไปมีผล 2026 แต่เราประเมินตลาดหุ้นจะปรับตัวสะท้อนความเสี่ยงดังกล่าวก่อน โดยเฉพาะปลายไตรมาส 2 ประเทศที่มีความเสี่ยงกลุ่มที่มีสัดส่วนรายได้เชื่อมโยงสูง โดยเฉพาะ EM Asia ฝั่งจีน ไต้หวัน เกาหลีใต้ จะผันผวนในปี 2025

เราประเมิน Upside หลักจากมุมมองบวกต่อแผนจัดตั้งหน่วยงาน DOGE เพิ่มประสิทธิภาพให้หน่วยงานรัฐ ลดภาระทางการคลัง ส่วนนี้ หากทำได้ดีจะลดแรงกดดันต่อ US Bond Yield ในขณะเดียวกันผลกระทบจริงของ Trade War มีโอกาสต่ำกว่าตลาดกังวล เนื่องจากประเทศต่างๆ ได้ปรับโครงสร้าง Supply Chain ไปแล้วนับตั้งแต่ Trade War รอบแรก อาทิ จีนพึ่งพาสหรัฐฯ ลดลง ยอดส่งออกของจีนไปสหรัฐฯ เหลือ 14.5% ของยอดรวม (vs ก่อน Trade War รอบก่อนที่ 19%) และ โอกาสเห็นจีนกระตุ้นเศรษฐกิจเร่งตัวใน 2H25 หากการขยายตัวเริ่มมีเสี่ยงต่ำกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้

ขณะที่กลุ่ม TIPs (บริษัทจดทะเบียน) มีรายได้เชื่อมโยงจีนและสหรัฐต่ำกว่าภูมิภาคอื่น โดยเฉพาะไทยมีสัดส่วนรายได้เชื่อมโยงสหรัฐฯ + จีน ต่ำกว่า 5% (Asia โดยเฉลี่ยราว 10%) ตรงกันข้ามแรงกดดันจาก Trade War จะหนุนการเติบโตใหม่ (New S-Curve) จากกระแสย้ายฐานการลงทุนจากต่างชาติเร่งขึ้น ผสาน ไทยมีจุดเด่นเฉพาะตัว คาดGDP จะเติบโตทำระดับสูงสุดของปีใน 4Q24 ที่ 3.5-4.0% และปี 2025 คาดขยายตัวต่อเนื่อง 2.8-3.0% เทียบปี 2024 ทั้งปีคาดขยายตัว 2.4-2.6% เม็ดเงินลงทุนระยะยาวในประเทศแข็งแรงขึ้น หนุนภาพกำไรตลาดและการลงทุนในปีหน้ายังดี KSS คาดการณ์กำไรตลาดปี 2025 เบื้องต้นที่ 96บาทต่อหุ้น ขณะที่กรอบ PER เป้าหมาย 17.3x ระดับค่าเฉลี่ย จะได้เป้าหมาย SET ปี 2025 เบื้องต้นที่ 1660 จุด (คิดเป็น Equity Risk Premium 3.3% สูงกว่าค่าเฉลี่ย 3.06%)

กลยุทธ์ลงทุน แนะนำอุตสาหกรรม Domestic ที่กำลังฟื้นตัวตามแรงขับเคลื่อนภายใน + ได้ประโยชน์นโยบาย Trump 2.0 ทั้งเชิงธุรกิจ หรือประโยชน์จาก Sector Rotation กระแสเม็ดเงินลงทุนที่หลบออกจากกลุ่ม Global Plays ที่มีความเสี่ยง

• กลุ่มได้ประโยชน์การย้ายฐานการผลิต ลดความเสี่ยงการกีดกันทางการค้า : นิคม WHA(TP-6.4) โรงไฟฟ้า GULF (TP Max-75) GPSC (TP-47)

• กลุ่ม Domestic ที่มีแรงหนุนภายใน

o กลุ่มธนาคาร BBL (TP Con-172), SCB (TP Con-119) และ KBANK (TP-180)

o กลุ่มสื่อสาร ADVANC (TP-305)

o กลุ่มที่อยู่ในช่วงฤดูกาล AOT(TP-64.5) CENTEL (TP-40)

o ค้าปลีก CPALL(TP-80)

o กลุ่มเช่าซื้อ

• Strategy Update : กองทุนลดหย่อนภาษีเด่นปลายปี 2024 ที่ไม่ควรพลาด

ทีมกลยุทธ์ชวนวางแผนลดหย่อนภาษีช่วงโค้งสุดท้ายปลายปี ผ่านกองทุนลดหย่อนภาษี SSF, RMF และ TESG โดยอิงจากน้ำหนักการลงทุน KSS Rating ที่ทีมกลยุทธ์ให้ไว้ในบทวิเคราะห์ Cross Asset Strategy ตามตาราง Exhibit 1 เราเลือกการลงทุนสินทรัพย์ประเภท Fixed Income (ทั่วโลก), Equities (ไทย จีน เอเชีย) เป็น Top pick สำหรับการลงทุนกองทุนลดหย่อนภาษีในปี 2024 นี้ และกองทุน Top pick ได้แก่ UGIS-SSF/UGISRMF, KFACHINSSF/KFACHINRMF, K-TNZ-ThaiESG, KFTHAIESGA

สำหรับผู้ที่มีเงินได้ในปี 2024 และต้องการลดหย่อนภาษีผ่านกองทุนลดหย่อนภาษี และต้องการลงทุนระยะยาว สามารถเลือกลงทุนได้ผ่านกองทุนลดหย่อนภาษีในทุกประเภท ทั้ง SSF, RMF และ TESG โดยกองทุน RMF และ SSF สามารถลดหย่อนภาษีได้ไม่เกินร้อยละ 30 ของรายได้ โดยกองทุนทั้ง 2 ประเภท เมื่อรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่นๆ แล้วต้องไม่เกิน 5 แสนบาท ส่วนกองทุน TESG สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกินร้อยละ 30 ของรายได้ และสูงสุดไม่เกิน 3 แสนบาท รายละเอียดเพิ่มเติมแสดงไว้ใน Exhibit 2

สำหรับผู้มีเงินได้ที่ต้องการลดหย่อนภาษีผ่านกองทุนลดหย่อนภาษี และใส่ใจในระยะเวลาถือครอง แนะนำสำรวจช่วงอายุของนักลงทุน โดยสำหรับนักลงทุนที่อายุต่ำกว่า 51 ปี กองทุน TESG

กลยุทธ์ Tax Allowance Fund Strategy:

กองทุน SSF และ RMF (ลดหย่อนได้ประเภทละ 30% แต่ SSF ไม่เกิน 200,000 บาท และรวมกันกับ RMF และกองทุนเพื่อการเกษียณอื่นๆ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท ) แนะนำ UGIS-SSF/UGISRMF (GlobalBond), KFACHINSSF/KFACHINRMF (China)

กองทุน TESG (ลดหย่อนได้ 30% หรือสูงสุด 300,000 บาท) แนะนำ KFTHAIESGA และ K-TNZ-ThaiESG

 

• Industrial Estate (Neutral): We believe FDI to Thailand will not significantly impacted from Thailand implement GMT of 15% on MNE from 2025 because (i) major FDI competitors in ASEAN will implement the same rule; (ii) competition will change to non-tax benefits and Thailand has competitive advantage on more completed infrastructures and strong supply chains; (iii) National Competitiveness Enhancement fund will mitigate the impact; (iv) a flexible policy for MNE to change the scheme for their maximum benefits; and (v) small to medium MNE is not impacted. We believe production relocation and increased trade war tension will play more important role for FDI decision. We maintain BUY all IE stocks in our universe - WHA, AMATA, ROJNA.

• Avaition (Bullish): เรามอง Positive ยอด นทท.สัปดาห์ที่ 50/24 +11%ww เข้าสู่ High season เต็มตัว คาดสัปดาห์หน้าโต ww ต่อเนื่อง เราคงน้ำหนัก Bullish หุ้นกลุ่มการบิน คาดกำไร 4Q24F เติบโตแกร่งจากปริมาณผู้โดยสารโต ราคาตั๋วโดยสารสูง และราคาน้ำมันต่ำ และเรายังเลือก AAV (Buy, TP 3.9) เป็นหุ้น Top pick กลุ่มฯ จากโอกาสได้ประโยชน์จาก High season และราคาน้ำมันต่ำมากสุดในกลุ่มฯ

• AWC (Buy, TP-4.4): We maintain a Buy rating for AWC with a target price of Bt4.40, from i) The launch of Jurassic World at Asiatique, a strategic move to expand the customer base and enhance the company's asset to drive long-term revenue growth. ii) We anticipate strong yoy and qoq earnings growth in 4Q24F-1Q25F, fueled by Thailand's peak tourist season, which will boost RevPAR by double-digits, and the opening new hotel will further contribute to growth. Additionally, the recent decline in AWC's share price presents an opportunity for investors to capitalize on projected earnings growth.

• GUNKUL (Buy, TP-3.85): เรามอง Positive ต่อข่าว 2 ประเด็นเกี่ยวกับอุตสาหกรรมโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนซึ่งออกมาเมื่อวานนี้ โดย i) GUNKUL เป็นผู้ได้รับคัดเลือกพลังงานหมุนเวียนเฟส 2 ในปริมาณมากที่สุดรวม 319 MW ซึ่งจะทยอย COD ในปี 2027-2030F เราประเมินโครงการดังกล่าวเป็น Upside ต่อประมาณการปี 27-30F ราว 16% ซึ่งเรายังไม่รวมเข้ามา ii) มีปัจจัยบวกจากข่าวยกเว้นการขอใบอนุญาตติดตั้ง Solar rooftop ในทุกขนาด ซึ่งคาดว่าจะเป็นปัจจัยหนุนการเติบโตของธุรกิจ Solar rooftop (จากปัจจุบันมีสัดส่วน 8% ของรายได้รวม) ด้าน Outlook คาดกำไรปกติ 4Q24F เติบโต y-y ลดลง q-q หลังปริมาณแรงลมลดลงตาม Seasonality คงคำแนะนำ Buy และราคาเป้าหมาย (TP25F) ที่ 3.85 บาท อิง SOTP

 

4Q24F Equity Outlook : Thailand Inflection Point

Stock Best Picks : GULF, GPSC, MTC, CPALL, BJC, BDMS, AOT, KTB, ADVANC, HMPRO

Mid-Small Cap Play : BTS, MALEE, MOSHI, CHG, ERW, BA

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

อ่อนตัว By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ วันนี้ พรุ่งนี้ ประเทศไทย เข้าสู่ฤดูฝน ตอนนี้แถว รัชดาฯฝนตก อากาศเย็นสบาย นั่งมองหุ้นหลาย....

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้