"Selective Plays"
KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "Sideways to Sideways/Up" ต้าน 1450/1455 จุด รับ 1437/1432 จุด ดัชนี S&P500 +0.82% หนุนหลักดัชนี Nasdaq ทำ All time high +1.77% ทะลุ 20,000 จุด เงินเฟ้อ CPI พ.ย. 24 +2.7%y-y, +0.3%m-m ตามคาด โดยเงินเฟ้ออสังหาฯ ที่สร้างแรงกดันช่วงที่ผ่านมามีพัฒนาการทางบวก หลังรายงาน ผลสำรวจตลาด 99% คาด Fed จะปรับลดดอกเบี้ย -25 bps ในการประชุม 17-18 ธ.ค. ยังหนุนบรรยากาศลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง ฝั่งเอเชีย 11-12 ธ.ค. ติดตามการประชุม CEWC ของจีน หากท่าที Proactive ต่อความเสี่ยงมากขึ้นจะหนุนบรรยากาศลงทุนภูมิภาค ด้านไทยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกต่อเนื่อง นำโดยมาตรการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน เราประเมินบวกต่อกลุ่มธนาคาร เช่าซื้อในฝั่ง Upside ต่อคุณภาพสินทรัพย์ ส่วนวันนี้ติดตามมาตรการเพิ่มเติม จากการแถลงผลงาน 3 เดือนของนายก ประเมินตลาดวันนี้ Sideways to Sideways/Up กลุ่มนำ คือ หุ้นน้ำมัน (ราคาน้ำมันขึ้นเฉลี่ย 2.2% จาก EU ตกลงคว่ำบาตรรัสเซียรอบใหม่+ความคาดหวังจีนกระตุ้นเศรษฐกิจ) หุ้น Domestic และหุ้น China Plays วันนี้แนะนำ PTTEP, IVL, HMPRO
Daily outlook: "Sideways to Sideways/Up" ต้าน 1450/1455 จุด รับ 1437/1432 จุด
What happened around the world?
(*/-) US Stock Market: ตลาดหุ้นสหรัฐ อิง ดัชนี Dow jones -0.22%(ถูกถ่วงจาก Unitedhealth -5%หลังจากสมาชิกจากพรรเดโมแครตและรีพับลิกันได้เสนอร่างกฎหมายที่จะบังคับให้บริษัทที่เป็นเจ้าของธุรกิจประกันต้องแยกธุรกิจร้านขายยาออกไปภายในระยะเวลา 3 ปี, McDonald -1.5%, Merck&co -1.2%), แต่หุ้นกลุ่ม Tech นำโดยดัชนี S&P500 +0.82% และดัชนี Nasdaq +1.76% รับข่าวเงินเฟ้อสหรัฐออกมา inline ตามคาด โดย Sector หุ้นที่เคลื่อนไหวเด่น คือ กลุ่ม ICT, Consumer Discretionary, IT ส่วนกลุ่มที่ปรับลงหลักๆ คือ Health care, Consumer Staples, Utilites ฯลฯ หุ้นที่เคลื่อนไหวโดดเด่น คือ Broadcom +6.6% หลังจากมีรายงานว่า Apple กำลังร่วมมือกับบรอดคอมในการพัฒนาชิปเซิร์ฟเวอร์ที่ออกแบบขึ้นเป็นพิเศษสำหรับ(AI), Tesla +5.9%ตลาดมองได้ประโยชน์จากประธานาธิบทรัมป์เป็นประธานษธิบดี, Alphabet +5.5%, Amazon+2.2%
(*) US CPI : ตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯเดือน พ.ย. Headline CPI +0.3%m-m , +2.7%y-y ตามตลาดคาด เช่นเดียวกับเงินเฟ้อพื้นฐาน +0.3%m-m, +3.3%y-y และตามตลาดคาดทุกองค์ประกอบของเงินเฟ้อ โดยสินค้าที่ปรับขึ้นแรงหลักๆคือ หมวดราคารถมือ 2, พลังงาน น้ำมัน อาหาร ฯลฯ โดยรวมยังหนุนสร้างความเชื่อมั่น Fed น่าจะปรับลดดอกเบี้ยอีก -25 bps ในการประชุม เดือน ธ.ค. อิง Fed Watch Tool คาดโอกาสความน่าจะเป็นในการลดดอกเบี้ย 25 bps สูงถึง 98.6% ยังมองบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยง
(*)China Monitor : วันนี้ติดตามการประชุมคณะทำงานเศรษฐกิจจีน (China Economic Work Conference: CEWC) KSS ประเมินมีโอกาสเห็นการวางกรอบนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมมีโอกาสเห็นการปรับเพิ่มระดับขาดดุลทางการคลังปี 2025 ขึ้นเพิ่มขึ้นเป็น 4.0% - 4.5% ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนเรามองน่าสะสมหุ้น China Play นำโดย IVL SCC PTTGC
(*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐปรับขึ้นอิงอายุ 2 ปีปรับขึ้น 3 วันติด + 1 bps อยู่ที่ 4.16% แต่อายุ 10 ปีปรับขึ้น 3 วันติด +5 bps อยู่ที่ 4.27% (หากอิงสถิติ US Bond yields 10 ปี และ Thai Bond yield 10 ปี มีค่าสหสัมพันธ์สูงราว 0.6 หรือไปทางใดเดียว) ประเมินเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นประกันชีวิต BLA, TLI หุ้นธนาคาร KBANK, BBL ส่วน Dollar Index แข็งค่าต่อขึ้นมาบริเวณ 106.4 จุด( แนวต้านสำคัญคือ 107.2 จุด) หนุนค่าเงินสกุลเอเชียอ่อนค่า เป็นปัจจัยลบต่อ Fundflow
(+) Oil : น้ำมันดิบ Brent +1.84%d-d ปิดที่ USD 73.52/barrel น้ำมันดิบ WTI +2.48%d-d ปิดที่ USD 70.29/barrel โดย WTI มีแนวต้านระยะสั้นที่ 71.5$ แรงหนุนหลักมาจาก 1.)ข่าวสหภาพยุโรป(EU) มีมติตกลงที่จะคว่ําบาตรน้ํามันของรัสเซียเพิ่มเติม (Sanction) ผสาน 2.) ความคาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากจีน 3.) EIAเผยว่าสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 1.4 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว มากกว่าตลาดคาดจะลดเพียง 1.0 ล้านบาร์เรล โดยรวมมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นพลังงานต้นน้ำ อาทิ PTT, PTTEP
(*/-) Refinery: ค่าการกลั่นฟื้นตัว วานนี้ค่าการกลั่น ณ โรงกลั่นสิงคโปร์ ปิดล่าสุด 11 ธ.ค. ลดลง 0.28$ (-4.96%) ปิดที่ระดับ 5.37$/bbl ระยะสั้นค่าการกลั่นผันผวนสูงแต่เทรนด์โดยรวมยังเป็นขาขึ้นสะท้อนจากค่าการกลั่นในช่วงปลาย 3Q24 เฉลี่ยที่ 2-3$/bbl แต่ปัจจุบันเคลื่อนไหวที่ระดับ 5-6$/bbl นับเป็นสัญญาณบวกต่อการดำเนินงานปกติของกลุ่มโรงกลั่นใน 4Q24 Top Pick คือ SPRC
(+) Bitcoin. : ราคาบิทคอย +4.85%d-d ปิดที่ 101,612USD ยังยืนเหนือระดับ 1 แสน$ แนวต้านระยะสั้นคือ 107,481 $ และเป้าระยะกลาง คือ 129,687$ แรงหนุนมาจากประเด็น ทรัมป์เสนอชื่อนายพอล แอตกินส์ ให้ดำรงตำแหน่งประธาน กลต. สหรัฐ (SEC) ซึ่งจะช่วยให้รัฐบาลสามารถดำเนินนโยบายตามที่ให้คำมั่นสัญญาณในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นที่ทำธุรกิจเชื่อมโยง Crypto อาทิ BTC, JTS, TTA แนะนำเพียง Trading
(+) US Gas : ก๊าซธรรมชาติ NYMEX +6.80%d-d ปิดที่ USD3.378/MMBtu สูงสุดในรอบสีปดาห์เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่าอากาศจะหนาวเย็นขึ้นและความต้องการใช้ความร้อนจะสูงขึ้น โดยรวมมองบวกต่อหุ้นที่มีรายได้จากก๊าซ อาทิ BANPU แต่เป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นกลุ่มทีมีต้นทุนก๊าซ อาทิ โรงไฟฟ้า
(+) Soft Commodity : น้ำตาล +1.14%d-d ปิดที่ 21.28Cent/lb ยาง TOCOM +2.88%d-d ปิดที่ 378.3JPY/kg ประเมินเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มน้ำตาล อาทิ KSL, KTIS และกลุ่มยาง STA, NER
What happened in Thailand?
(*/-) SET : SET Index วันทำการล่าสุดปิดลบ -4.48 จุด ปิดที่ 1443.05 จุด มูลค่าซื้อขายเบาบาง 3.6 หมื่นล้านบาท ตลาดแกว่งตัวรอรายงานเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่จะประกาศช่วงค่ำ กลุ่มถ่วง คือ กลุ่มธนาคาร (SCB, KTB, KBANK, BBL) ประเมินถูก Sell on Fact หลังมีความชัดเจนการแถลงมาตรการแก้หนี้ครัวเรือน BOTx กระทรวงการคลังวันนี้ กลุ่มสื่อสาร (ADVANC) ประเมินถูกขายทำกำไร หลังสัปดาห์ก่อนปรับตัวขึ้นเด่นรับกระแสบวก NVIDIA เยือนไทย กลุ่มหนุน คือ กลุ่มขนส่ง (AOT) คาดเก็งโอกาสนายกฯ แถลงมาตรการของขวัญปีใหม่ที่อาจจะครอบคลุมถึงมาตรการท่องเที่ยว ผสาน 12 ธ.ค. เปิดประชุมสมัยสภา ร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้อง Entertainment Complex คาดมีโอกาสเดินหน้าระยะถัดไป กลุ่มค้าปลีก (CPALL, CRC, GLOBAL) ยอดขายสาขาเดิมฟื้นตัวต่อเนื่อง ขณะที่เก็ง Upside เพิ่มเติมจากมาตรการของขวัญปีใหม่ที่นายกฯเตรียมแถลง
(*/-) Flows: เงินทุนต่างชาติวันทำการล่าสุดไหลออก ขายหุ้น -63.3 ล้านเหรียญฯ ขายพันธบัตร -51.6 ล้านเหรียญฯ TFEX Net Short -15,314 สัญญา เงินบาทอ่อนค่าเล็กๆ 33.8+/- บาท
(*/+) Cabinet: มติครม. ที่สำคัญวานนี้ ประกอบด้วย
1.) ที่ประชุม ครม.อนุมัติมาตรการแก้หนี้ลูกหนี้รายย่อยและผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) และมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มเปราะบางอื่น ๆ ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ตามที่กระทรวงคลังเสนอ
2.) นายกฯ แถลงหลังประชุม ครม. ว่ามีโอกาสค่าแรงขั้นต่ำน่าจะปรับเพิ่มขึ้นเป็น 400 บาทได้ในปี 2025F หลังจาก รมว. แรงงานเปิดเผยคณะกรรมการค่าจ้าง (บอร์ดไตรภาคี) ชุดใหม่จะมีการประชุมในวันพรุ่งนี้ (12 ธ.ค.67) ซึ่งคาดว่าน่าจะได้ข้อสรุปและแนวทางที่ชัดเจน จากนั้นจะนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในสัปดาห์หน้า
ทั้งนี้ นโยบาย Digital Wallet เฟส2 ยังไม่เข้า ครม. แต่ รมช. คลังคาดการเบิกจ่ายยังทันตามกำหนดการเดิมปลาย ม.ค. 25
เชิงกลยุทธ์ โดยรวมเราประเมินบวกต่อหุ้น Domestic อาทิ ธนาคาร เน้น KBANK, SCB เช่าซื้อ เน้น JMT, KTC, AEONTS ค้าปลีก CPALL, BJC, HMPRO ส่วนกรณีการปรับเพิ่มค่าแรง หากปรับเพิ่มเป็น 400 บาท จะเพิ่มจากปัจจุบันราว 15% ประเมินเป็นลบต่ออุตสาหกรรมที่มีต้นทุนแรง/ต้นทุนรวมสูง อาทิ สถานีบริการน้ำมัน (30% ของต้นทุน) อสังหาฯ (15%) รับเหมา (10%)
นอกจากนี้ ในส่วนวาระลับ ครม. เห็นชอบ ร่าง พ.ร.ก. 2 ฉบับ คือ i.) ร่าง พ.ร.ก.ภาษีส่วนเพิ่ม พ.ศ. .... ii.) ร่าง พ.ร.ก.การแก้ไขพระราชบัญญัติการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย (ฉบับที่..) พ.ศ. .... โดย พ.ร.ก 2 ฉบับที่เสนอเป็นไปตามหลักเกณฑ์ OECD ภายใต้มาตรการ Pillar 2 เพื่อดำเนินการจัดเก็บภาษีเพิ่มเติมจากกลุ่มบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ที่มีรายได้ 750 ล้านยูโรขึ้นไป ในอัตรา 15% กลุ่มบริษัทข้ามชาติที่ได้ BOI แล้วเสียในอัตราต่ำกว่า 15% จะต้องเสียภาษีเพิ่ม ส่วนนิติบุคคลไทยเสียภาษีอัตรา 20% เท่าเดิม จะเริ่มบังคับใช้วันที่ 1 ม.ค. 25 โดยเงินส่วนเพิ่มจากที่เก็บได้จะนำมาเงินเข้ากองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เพื่อนำกลับไปสนับสนุนธุรกิจข้ามชาติที่ต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้น ขณะที่ หากปรับใช้มาตรการดังกล่าว ทำให้กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างพิจารณาปรับปรุงอัตราเดียวกัน 15% สำหรับทั้งไทยและต่างประเทศ เพื่อความเท่าเทียมกัน ซึ่งกรณีดังกล่าวจะเปิด Upside กำไรตลาดราว 6%
(*/+) Household Debt Restructuring: กระทรวงการคลังร่วมกับ BOT แถลงมาตรการแก้ไขหนี้ครัวเรือน ในโครงการ "คุณสู้ เราช่วย" ทิศทางมาตรการสอดคล้องกับกระแสข่าวในช่วงก่อนหน้าโครงการ จะครอบคลุมลูกหนี้ 1.9 ล้านราย 2.1 ล้านบัญชี หนี้คงค้าง 8.9 แสนล้านบาท (vs กระแสข่าว 1.3 ล้านล้านบาท) คิดเป็น 5.5% ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมด เริ่มลงทะเบียนร่วมโครงการตั้งแต่ 12 ธ.ค. – 28 ก.พ. แบ่งเป็น 2 มาตรการ
มาตรการที่ 1 "จ่ายตรง คงทรัพย์"
o สินเชื่อบ้าน (< 5 ล้านบาท) สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ (< 8 แสนบาท) สินเชื่อรถจักรยานยนต์ (<5 หมื่นบาท) สินเชื่อ SMEs (< 5 ล้านบาท)
o เน้นลูกหนี้ที่เริ่มมีความเสี่ยงเป็นหนี้ด้อยคุณภาพ คือ ค้างชำระ 31-365 วัน
o มาตรการจะช่วยเหลือโดยการพักชำระดอกเบี้ย 3 ปี ช่วงพักชำระเงินที่จ่ายจะลดภาระเงินต้นทั้งหมด และลูกหนี้จ่ายได้ 3 ปี จะยกเว้นดอกเบี้ยช่วง 3 ปีทั้งหมด
o รายได้ดอกเบี้ยที่ลดลงของธนาคาร จากการช่วยลูกหนี้ จะชดเชยบางส่วนจากการลดเงินนำส่ง FIDF เหลือ 0.23% จาก 0.46% ของเงินฝาก
o ข้อดี คือ จะช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้ลูกหนี้
o เราประเมินเป็นกลางถึงบวกต่อกลุ่มธนาคาร โดยเราประเมินคุณภาพหนี้ที่ดีขึ้น จะช่วยลดผลกระทบการลด FIDF อาจจะไม่ครอบคลุมรายได้ดอกเบี้ยทั้งหมด ขณะที่เปิดโอกาสให้ธนาคารยังน่าจะขยายสินเชื่อกับกลุ่มลูกค้าดังกล่าวได้ต่อ
กลยุทธ์ เน้นหุ้นธนาคารที่มีสัดส่วนสินเชื่อดังกล่าวสูง SCB(56% ของสินเชื่อ) KBANK (50%)
มาตรการส่วนที่ 1
มาตรการที่ 2 "จ่าย ปิด จบ"
o ครอบคลุมลูกหนี้ NPL ในสัญญาที่มียอดค้างไม่เกิน 5,000 บาท
o ลูกหนี้ที่จ่ายชำระหนี้บางส่วนของภาระหนี้คงค้าง จะถือเป็นการปิดชำระหนี้ปิดบัญชี
o หนี้ที่มีการ Haircut ของธนาคาร จากการช่วยลูกหนี้ จะชดเชยบางส่วนจากการลดเงินนำส่ง FIDF เหลือ 0.23% จาก 0.46% ของเงินฝาก
o เราประเมินหนี้ดังกล่าวส่วนใหญ่น่าจะเป็นหนี้บัตรเครดิต หนี้ส่วนบุคคล เป็นบวกต่อกลุ่มเช่าซื้อ ผู้ให้บริการบัตรเครดิต
กลยุทธ์ เน้นหุ้นธนาคารที่มีสัดส่วนสินเชื่อดังกล่าวสูง KTC (98% ของสินเชื่อ) AEONTS (92%)
(*/+) FDI: BOI อนุมัติ Foxsemicon ลงทุนกว่า 1 หมื่นล้านบาท ตั้งฐานผลิตเซมิคอนดักเตอร์ โดยลงทุนโรงงาน 2 แห่งที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี และนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ระยอง เรามองบวกต่อพัฒนาการดังกล่าว โดยอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ถือเป็นหนึ่งใน New S Curve ที่รัฐฯกำลังเร่งดึงเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศต่อจาก EV และ Data Center ในระยะถัดไป ขณะที่ระยะสั้นถือเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นนิคมที่จะได้ประโยชน์ก่อน เน้น WHA
(*/+) To monitor: 1.) 12 ธ.ค. นายกฯ แถลงผลงาน 3 เดือน พร้อมคาดว่าจะมีการประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นของขวัญปีใหม่ เราประเมินมีโอกาสเป็นลักษณะ การซื้อสินค้า - บริการแล้วคืนภาษี , มาตรการท่องเที่ยวลักษณะคนละครึ่ง และมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพต่างๆ 2.) 9-13 ธ.ค. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (CCI) พ.ย. 24 ไม่มีคาด vs prev. 56 จุด 3.) 12 ธ.ค. ห้างเซ็นทรัล ชิดลม มีกำหนดการปรับปรุง (Renovate) แล้วเสร็จ มองจิตวิทยาบวกต่อ CRC และงาน Mono Open House แนะนำรอติดตามแผนธุรกิจ MONO ที่ชัดเจนขึ้นหลังบริษัทในกลุ่ม JAS ได้ลิขสิทธิ์ EPL
Daily Strategy : PTTEP, IVL, HMPRO เด่น
ระยะสั้น วันนี้มองตลาดหุ้นไทย "Sideways to Sideways/Up" ปัจจัยกำหนดกลุ่มนำวันนี้ เราประเมิน 4 ส่วน 1.) ราคาน้ำมันดีดตัวขึ้นเฉลี่ย +2.2% หนุนกลุ่มน้ำมัน 2.) กลุ่ม China Plays เก็งกำไรมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีน วันนี้ประชุม CEWC วันสุดท้าย และ 3.) กลุ่ม Domestic (ค้าปลีก ธนาคาร) มองมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวันนี้ลุ้นมาตรการของขวัญปีใหม่เป็นแรงขับเคลื่อน
หุ้นที่มีโอกาสถูกเพิ่มน้ำหนักจากกองทุนวายุภักษ์
กลุ่มที่ 1 หุ้นที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น, อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และมีแนวโน้มเติบโตดีในช่วง 2024 – 2025 ได้แก่ AOT, KTB, PTT
กลุ่มที่ 2 หุ้นที่อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และซื้อขายในระดับ Valuation Zone รวมถึงมีแนวโน้มการเติบโตดี ได้แก่ CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO, SCGP
กลุ่มที่ 3 หุ้นที่มีน้ำหนักใน SETESG สูงและมีแนวโน้มการเติบโตดี อยู่ใน Theme Data Center ได้แก่ ADVANC, GULF มีโอกาสเป็นเป้าหมาย
กลุ่มที่ 4 หุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์ Theme ที่ 4 คือ Div Yield 2024-2025 สูง >5% และอยู่ใน ThaiESG หุ้น (KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH)
กลุ่มที่ 5 หุ้นที่ยังมีน้ำหนักในกองทุนวายุภักษ์น้อย ขณะที่เข้าเกณฑ์ ESG Score (ถ้าอยู่ใน SET100 เรทติ้ง A ขึ้นไป ต่ำกว่า SET100 AA ขึ้นไป การเติบโตปี 2024-25 เกณฑ์ดี CPALL CPAXT BDMS CRC HMPRO IVL MTC BJC WHA
หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, STPI, DELTA ADVANC, TRUE, INSET, BE8, BBIK)
หุ้นในธีม Trump 2.0 (AMATA, WHA, PTT, PTTEP, CPF, SCB, KBANK, KTB, CPALL, BJC, HMPRO, ADVANC, GULF, GPSC)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (AOT, BTS, VGI, BJC, STECON, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ (IVL, AOT, AU, PTTGC, SCC, CPALL, BJC)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, BA, AAV, MTC, AEONTS, TRUE, CPALL, BJC)
• DEC24 Best Picks : ADVANC, BJC, BTS, GULF, AOT, IVL, MALEE
• 4Q24 Stock Picks : GULF, GPSC, MTC, CPALL, BJC, BDMS, AOT, KTB, ADVANC, HMPRO Mid-Small Cap Play : BTS, MALEE, MOSHI, CHG, ERW, BA
Tactical & Investment Idea
Research Highlight
• Strategy Update: SET50/100 1H25 Update
ทีมกลยุทธ์ได้คำนวณหุ้นเข้า/ออก SET50-SET100 สำหรับรอบ 1H25 ก่อนที่ตลาดจะประกาศการคัดเลือกหุ้นเข้าออกรอบนี้ในช่วงกลางเดือน ธ.ค. 2024 และมีผลเริ่มใช้ 1 ม.ค. 2025 โดยสำหรับผลการคำนวนในรอบนี้ใช้ข้อมูลตั้งแต่ 1 ธ.ค. 2023 – 29 พ.ย. 2024 (ครบตามที่ตลาดฯ ใช้จริงในการคำนวณหาหุ้นเข้า/ออก) ผลของการคาดการณ์น่าจะมีความแม่นยำสูง โดยเราหวังว่าบทวิเคราะห์ฉบับนี้จะช่วยให้นักลงทุนเตรียมตัวสำหรับการลงทุนในดัชนี SET50 และ SET100 ล่วงหน้าได้ โดยมีรายละเอียดดังนี้
• หุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET50 รอบนี้มี 4 บริษัท คือ BANPU (โอกาสเข้า 100%), SAWAD (โอกาสเข้า 100%), COM7 (โอกาสเข้า 95%) และ CCET (โอกาสเข้า 95%)
• หุ้นคาดว่าจะหลุด SET50 รอบนี้ 4 บริษัท คือ CENTEL (โอกาสหลุด 95%), BCP (โอกาสหลุด 95%), TIDLOR (โอกาสหลุด 95%) และ EA (โอกาสหลุด 100%)
• หุ้นที่คาดเข้า SET100 รอบนี้มี 4 บริษัท คือ JTS, CCET, PR9, COCOCO
• หุ้นที่คาดว่าจะหลุด SET100 รอบนี้ 4 บริษัท คือ MBK, RBF, TIPH, TOA
กลยุทธ์ แนะนำให้หลีกเลี่ยงหุ้นที่คาดว่าจะหลุด SET50-SET100 เนื่องจากมีความเสี่ยงในการลดน้ำหนักจาก Index Fund ขณะที่แนะนำเก็งกำไรหุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET50 รอบนี้เราแนะนำ SAWAD และ BANPU เด่น
• Strategy Update : Preliminary 2025 KSS Yearly Equity Strategy 2025 ภายนอกผันผวน โอกาสขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันภายใน หนุน Domestic Plays
การเคลื่อนไหวสินทรัพย์ต่างๆ ของโลกในปี 2024 พบว่า ตลาดหุ้นเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูง ดัชนี MSCI World (YTD) ให้ผลตอบแทนราว +16.3% แรงขับเคลื่อนมาจากเงินเฟ้อคลายตัว หนุนวงจรดอกเบี้ยโลกเข้าสู่ขาลง สะท้อนผ่าน US Bond Yield 10 ปีปรับลง -6.7% จากระดับสูงสุดช่วงปลายปี 2023 ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ อยู่ในภาวะ Goldilocks - Soft Landing ส่วน SET Index ให้ผลตอบแทน YTD ที่ +3.3% ต่ำกว่าภาพรวม จากเสถียรภาพทางการเมืองในช่วง 1H24 อย่างไรก็ตาม ภาวะเศรษฐกิจในช่วง 3Q24 ที่เริ่มเร่งขึ้น จากแรงส่งจากภาครัฐฯ หนุน SET ฟื้นตัว
สำหรับปี 2025 แนวโน้มเศรษฐกิจไทยน่าจะยังเร่งตัวไปถึงช่วงกลางปี 2025 เป็นอย่างน้อย อย่างไรก็ตามความเสี่ยงมหภาคผันผวนมากขึ้น จากชัยชนะของคุณ โดนัลด์ ทรัมป์ และ พรรค Republican ในแบบ Red Sweep ส่งผลให้การผลักดันนโยบายต่างๆ จะสร้างผลกระทบกับประเทศอื่นๆ เช่นเดียวกับตลาดเกิดใหม่(EM) โดยเฉพาะนโยบาย "Make American Greatest Again" ผ่านการสนับสนุนประชาชนอเมริกัน ลดภาษีต่างๆ การใช้งบประมาณที่สูง เพิ่มปัญหาขาดดุลทางการคลัง ขณะที่กีดกันต่างชาติ สงครามการค้า (Trade war) โดยเฉพาะ จีน ถือเป็นประเด็นหลักสร้างความเสี่ยงให้เงินเฟ้อลดลงช้ากว่าที่ตลาดคาดหวัง ผลของนโยบาย กีดกันผู้อพยพ, การขึ้นภาษีนำเข้า ผสาน ขาดดุลการคลังที่สูงขึ้น จะผลักดันให้ US Bond Yield ระยะกลางสูงกว่าคาดการณ์เดิม ค่าเงินสกุลดอลลาร์แข็งค่า โดยปัจจุบัน US Bond Yield 10 ปีขยับขึ้นจากโซนฐาน ณ ต้น ต.ค. ราว 75-80 bps, Dollar Index แข็งค่า +6-7%
ส่วนความเสี่ยงผลกระทบจากสงครามการค้า เริ่มเห็นภาพของตลาดหุ้น Asia ที่ บจ. มีรายได้เชื่อมโยงกับจีนและสหรัฐฯ ในสัดส่วนสูง อาทิ ยุโรป เกาหลีใต้ ไต้หวัน ให้ผลตอบแทน (MTD) Underperform โลก เรามองการเคลื่อนไหวสินทรัพย์ข้างต้น บ่งชี้ภาพตลาดให้น้ำหนักต่อปัจจัยที่จะกำหนดทิศทางการลงทุนในปี 2025 ขึ้นกับแนวทางขับเคลื่อนนโยบายของคุณ Trump เป็นหลัก
หากอิงตามกรอบเวลาขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ จะสร้างความผันผวนต่อ EM Asia 2 ส่วน คือ
1.) US Bond Yield ผันผวนตามทิศทางดอกเบี้ยซึ่งบางส่วนขึ้นกับนโยบายคุณ Trump, แนวโน้มดอลลาร์แข็งค่าจะเพิ่มแรงกดดันต่อ Fund Flows และ Multiple ของตลาดหุ้น
2.) สงครามการค้า ถือเป็น Downside Risk ต่อประมาณการเศรษฐกิจ แม้ผลกระทบจากการบังคับใช้น่าจะส่งผลในช่วง 2H25 หรืออาจจะข้ามไปมีผล 2026 แต่เราประเมินตลาดหุ้นจะปรับตัวสะท้อนความเสี่ยงดังกล่าวก่อน โดยเฉพาะปลายไตรมาส 2 ประเทศที่มีความเสี่ยงกลุ่มที่มีสัดส่วนรายได้เชื่อมโยงสูง โดยเฉพาะ EM Asia ฝั่งจีน ไต้หวัน เกาหลีใต้ จะผันผวนในปี 2025
เราประเมิน Upside หลักจากมุมมองบวกต่อแผนจัดตั้งหน่วยงาน DOGE เพิ่มประสิทธิภาพให้หน่วยงานรัฐ ลดภาระทางการคลัง ส่วนนี้ หากทำได้ดีจะลดแรงกดดันต่อ US Bond Yield ในขณะเดียวกันผลกระทบจริงของ Trade War มีโอกาสต่ำกว่าตลาดกังวล เนื่องจากประเทศต่างๆ ได้ปรับโครงสร้าง Supply Chain ไปแล้วนับตั้งแต่ Trade War รอบแรก อาทิ จีนพึ่งพาสหรัฐฯ ลดลง ยอดส่งออกของจีนไปสหรัฐฯ เหลือ 14.5% ของยอดรวม (vs ก่อน Trade War รอบก่อนที่ 19%) และ โอกาสเห็นจีนกระตุ้นเศรษฐกิจเร่งตัวใน 2H25 หากการขยายตัวเริ่มมีเสี่ยงต่ำกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้
ขณะที่กลุ่ม TIPs (บริษัทจดทะเบียน) มีรายได้เชื่อมโยงจีนและสหรัฐต่ำกว่าภูมิภาคอื่น โดยเฉพาะไทยมีสัดส่วนรายได้เชื่อมโยงสหรัฐฯ + จีน ต่ำกว่า 5% (Asia โดยเฉลี่ยราว 10%) ตรงกันข้ามแรงกดดันจาก Trade War จะหนุนการเติบโตใหม่ (New S-Curve) จากกระแสย้ายฐานการลงทุนจากต่างชาติเร่งขึ้น ผสาน ไทยมีจุดเด่นเฉพาะตัว คาดGDP จะเติบโตทำระดับสูงสุดของปีใน 4Q24 ที่ 3.5-4.0% และปี 2025 คาดขยายตัวต่อเนื่อง 2.8-3.0% เทียบปี 2024 ทั้งปีคาดขยายตัว 2.4-2.6% เม็ดเงินลงทุนระยะยาวในประเทศแข็งแรงขึ้น หนุนภาพกำไรตลาดและการลงทุนในปีหน้ายังดี KSS คาดการณ์กำไรตลาดปี 2025 เบื้องต้นที่ 96บาทต่อหุ้น ขณะที่กรอบ PER เป้าหมาย 17.3x ระดับค่าเฉลี่ย จะได้เป้าหมาย SET ปี 2025 เบื้องต้นที่ 1660 จุด (คิดเป็น Equity Risk Premium 3.3% สูงกว่าค่าเฉลี่ย 3.06%)
กลยุทธ์ลงทุน แนะนำอุตสาหกรรม Domestic ที่กำลังฟื้นตัวตามแรงขับเคลื่อนภายใน + ได้ประโยชน์นโยบาย Trump 2.0 ทั้งเชิงธุรกิจ หรือประโยชน์จาก Sector Rotation กระแสเม็ดเงินลงทุนที่หลบออกจากกลุ่ม Global Plays ที่มีความเสี่ยง
• กลุ่มได้ประโยชน์การย้ายฐานการผลิต ลดความเสี่ยงการกีดกันทางการค้า : นิคม WHA(TP-6.4) โรงไฟฟ้า GULF (TP Max-75) GPSC (TP-47)
• กลุ่ม Domestic ที่มีแรงหนุนภายใน
o กลุ่มธนาคาร BBL (TP Con-172), SCB (TP Con-119) และ KBANK (TP-180)
o กลุ่มสื่อสาร ADVANC (TP-305)
o กลุ่มที่อยู่ในช่วงฤดูกาล AOT(TP-64.5) CENTEL (TP-40)
o ค้าปลีก CPALL(TP-80)
o กลุ่มเช่าซื้อ
• Strategy Update : กองทุนลดหย่อนภาษีเด่นปลายปี 2024 ที่ไม่ควรพลาด
ทีมกลยุทธ์ชวนวางแผนลดหย่อนภาษีช่วงโค้งสุดท้ายปลายปี ผ่านกองทุนลดหย่อนภาษี SSF, RMF และ TESG โดยอิงจากน้ำหนักการลงทุน KSS Rating ที่ทีมกลยุทธ์ให้ไว้ในบทวิเคราะห์ Cross Asset Strategy ตามตาราง Exhibit 1 เราเลือกการลงทุนสินทรัพย์ประเภท Fixed Income (ทั่วโลก), Equities (ไทย จีน เอเชีย) เป็น Top pick สำหรับการลงทุนกองทุนลดหย่อนภาษีในปี 2024 นี้ และกองทุน Top pick ได้แก่ UGIS-SSF/UGISRMF, KFACHINSSF/KFACHINRMF, K-TNZ-ThaiESG, KFTHAIESGA
สำหรับผู้ที่มีเงินได้ในปี 2024 และต้องการลดหย่อนภาษีผ่านกองทุนลดหย่อนภาษี และต้องการลงทุนระยะยาว สามารถเลือกลงทุนได้ผ่านกองทุนลดหย่อนภาษีในทุกประเภท ทั้ง SSF, RMF และ TESG โดยกองทุน RMF และ SSF สามารถลดหย่อนภาษีได้ไม่เกินร้อยละ 30 ของรายได้ โดยกองทุนทั้ง 2 ประเภท เมื่อรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่นๆ แล้วต้องไม่เกิน 5 แสนบาท ส่วนกองทุน TESG สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกินร้อยละ 30 ของรายได้ และสูงสุดไม่เกิน 3 แสนบาท รายละเอียดเพิ่มเติมแสดงไว้ใน Exhibit 2
สำหรับผู้มีเงินได้ที่ต้องการลดหย่อนภาษีผ่านกองทุนลดหย่อนภาษี และใส่ใจในระยะเวลาถือครอง แนะนำสำรวจช่วงอายุของนักลงทุน โดยสำหรับนักลงทุนที่อายุต่ำกว่า 51 ปี กองทุน TESG
กลยุทธ์ Tax Allowance Fund Strategy:
กองทุน SSF และ RMF (ลดหย่อนได้ประเภทละ 30% แต่ SSF ไม่เกิน 200,000 บาท และรวมกันกับ RMF และกองทุนเพื่อการเกษียณอื่นๆ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท ) แนะนำ UGIS-SSF/UGISRMF (GlobalBond), KFACHINSSF/KFACHINRMF (China)
กองทุน TESG (ลดหย่อนได้ 30% หรือสูงสุด 300,000 บาท) แนะนำ KFTHAIESGA และ K-TNZ-ThaiESG
• Commerce (Bullish): เราประเมินการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ในเดือนตุลาคมและพฤศจิกายนเป็นแนวโน้มเดียวกันกับใน 3Q24 นั่นคือสินค้าจำเป็นจะอยู่ในโซนบวกและสินค้าฟุ่มเฟือย (ยกเว้น DOHOME) อยู่ในเชิงลบ หุ้นเด่นของเรายังคงเป็น CPALL (ซื้อ, ราคาเป้าหมาย 80 บาท) และเรามีมุมมองบวกมากขึ้นต่อกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย (จากแนวโน้ม SSSG ที่ปรับตัวดีขึ้น) เราจึงเลือก HMPRO (ซื้อ, ราคาเป้าหมาย 13.50 บาท) เป็นอีกหนึ่งหุ้นเด่นเพราะ SSSG ที่เป็นบวกในปี 2025 ซึ่งน่าจะเป็นตัวเร่งเชิงบวกต่อราคาหุ้น
• BEM (Buy, TP-10.4): We maintain a Buy rating for BEM with the same TP Bt10.4. BEM announced the traffic movement both road and rail in November 2024. Favorable seasonality has still played a key role driving traffic growth for both road (+3% mom) and rail (+4%mom) in November. This takes two months of 4Q24 traffic particularly rail to grow both yoy and qoq. We retain our earnings growth forecast this year at 11% yoy.
• TAN (Buy, TP-17.0): เรามอง Slightly Positive โดย 1) SSSG พ.ย. +5% และ QTD +3.6% 2) ดีล PAÑPURI และ KOSÉ อาจเพิ่มการแข่งขันให้แก่ HARNN ในญี่ปุ่น แต่ประเมินผลกระทบจำกัดจากปัจจุบันยอดขาย HARNN ในญี่ปุ่นคิดเป็น 1% ของรายได้รวม ขณะที่ตลาดจีนยังเป็นจุดเด่นซึ่ง HARNN กำลังขยายไปและยอดขายเครือ KOSÉ โดยรวมในจีนยังเป็นขาลง จึงยังไม่น่ากังวล ด้าน Outlook 4Q24F คาดเติบโต y-y, q-q เนื่องจากเป็นช่วง Peak season ของปีบนกรอบประมาณการกำไรปี 24F เดิม เราคงคำแนะนำ Buy ที่ TP25F 17.0 บาท อิง PER25F ที่ 21 เท่า และปัจจุบันราคาหุ้นซื้อขายที่ PER ราว 10x ต่ำกว่ากลุ่มและค่าเฉลี่ยย้อนหลัง -1.5 SD
4Q24F Equity Outlook : Thailand Inflection Point
Stock Best Picks : GULF, GPSC, MTC, CPALL, BJC, BDMS, AOT, KTB, ADVANC, HMPRO
Mid-Small Cap Play : BTS, MALEE, MOSHI, CHG, ERW, BA