Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.กรุงศรี พัฒนสิน : KSS Daily Strategy

340

 

"Domestic Plays"

 

KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "Sideways/Up" ต้าน 1462/1471 จุด รับ 1447/1443 จุด ดัชนี S&P500 แกว่งแคบๆ รอถ้อยแถลงประธาน Fed วันนี้ และ รายงานภาคแรงงานวันศุกร์ ขณะที่หุ้น Tech นำตลาด ดัชนี NASDAQ ทำ All time high ภาพบวกจาก US Bond Yield 10 ปี ที่ค่อยๆลง 4.2% +/- อีกทั้งผลประกอบการรายตัวดี อาทิ Salesforce, Okta สะท้อนกลุ่ม Digital Services เชิงบวก หนุนหุ้นในธีม Infra Tech ไทยเด่นต่อเนื่อง ส่วนราคาน้ำมันขึ้นเฉลี่ย 2.65% ก่อนประชุม OPEC+ และสถานการณ์ตะวันออกกลางตึงเครียดขึ้น อิสราเอล - ฮิซบอลเลาะห์ยังไม่หยุดยิง แม้ทำข้อตลงกันแล้ว ภายในวานนี้ ครม. มีมติอนุมัติทั้งมาตรการระยะสั้นกระตุ้นบริโภค (ไร่ละพัน) ระยะยาวโครงการลงทุน (มอเตอร์เวย์บางขุนเทียน - บางบัวทอง, เดินหน้าร่าง พ.ร.บ. ตั๋วร่วมเพื่อเป้าหมายโครงการรถไฟฟ้า 20 บาท) เป็นบวกต่อเศรษฐกิจไทยระยะสั้น-กลาง ผสาน Fund Flows เป็นบวก ต่างชาติซื้อหุ้นไทยครั้งแรกในรอบ 5 วัน สูงสุดใน 11 วัน เงินบาทแข็งค่า 34.3 +/- บาท ประเมิน SET แกว่งขึ้นได้ต่อ หุ้นนำ คือ หุ้น Domestic หุ้นในธีม Infra Tech และหุ้นพลังงานต้นน้ำ วันนี้แนะนำ BTS, GPSC, TRUE

 


Daily outlook: "Sideways/Up" ต้าน 1462/1471 จุด รับ 1447/1443 จุด

What happened around the world ?

(*) US Stocks: ตลาดหุ้นสหรัฐฯแกว่งตัวรอความเห็นประธาน Fed คุณ Powell วันนี้ และรายงานภาคจ้างงาน (ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตร และอัตราว่างงาน) ปลายสัปดาห์ ดัชนี S&P +0.05% Dow Jones -0.17% ขณะที่ NASDAQ +0.3% ทำจุดสูงสุดใหม่ หนุนโดย Apple ที่ขึ้นทำ New High ในรอบ 52 สัปดาห์

(*) US Econ: ตัวเลขแรงงานสหรัฐเมื่อคืน การเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) เดือน ต.ค. เพิ่มขึ้น 3.72 แสนราย เป็น 7.744 ล้านราย จาก 7.372 ล้านรายในเดือน ก.ย. และสูงกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ 7.52 ล้านราย หลักๆ เป็นการเปิดรับงานเพิ่มของภาคธุรกิจบริการ, ที่พัก อาหาร ส่วนงานภาครัฐลดลง อย่างไรก็ตามเราประเมินตลาดจะมุ่งความสนใจไปที่ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตร (Nonfarm payrolls) ในวันศุกร์นี้มากกว่า ซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนการจ้างงานเพิ่มขึ้นราว 2 แสนต่ำแหน่ง เพิ่มขึ้นจาก 1.2 หมื่นตำแหน่งในเดือน ต.ค. (จากผลกระทบของพายุเฮอริเคน)

(*/+) US Cyber Monday: Adobe Analytics รายงานยอดขายในวัน Cyber Monday ของสหรัฐมีมูลค่ารวม 1.35 หมื่นล้านดอลลาร์มากกว่าคาดการณ์เดิมที่ 1.32 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 8.87%yoy ส่งผลให้ยอดขายรวม 5 วันนับตั้งแต่วันขอบคุณพระเจ้าจนถึงวันไซเบอร์มันเดย์มียอดรวมสูงถึง 40,600 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 7%yoy คาดเป็นผลจากภาวะเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงหนุนกำลังซื้อผู้บริโภคเพิ่ม เรามองเป็นบวกสะท้อนเศรษฐกิจสหรัฐยังดีให้ภาพระยะกลางยาวเป็น Soft landing เป็นบวกกับกระแส Fund flow เคลื่อนย้ายสู่ตลาดเกิดใหม่รวมถึงตลาดหุ้นไทย

(-) South Korea Politics: นายยุน ซอกยอล ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ประกาศกฎอัยการศึก โดยกล่าวหาว่าพรรคฝ่ายค้านเข้าครอบงำรัฐสภา เป็นอุปสรรคขัดขวางการบริหารประเทศของรัฐบาล การประกาศกฏอัยการศึกส่งผลลบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของประชาชนและนักลงทุน โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนจากต่างประเทศ เหตุการณ์นี้คาดว่าจะกดดันให้ค่าเงินวอนของเกาหลีใต้อ่อนค่าลงรวมไปถึงการลงทุนในตลาดหุ้นน่าจะเห็นแรงขายแบบ panic และอาจจะส่งผลต่อภาคการค้าโลกโดยเฉพาะ supply chain ในกลุ่มสินค้าเทคโนโลยี โดยเกาหลีใต้มีขนาด GDP ราว 1.7 ล้านล้านดอลลาร์ (1.8% ของทั้งโลก หรือมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 13 ของโลก ส่วนไทยมีมูลค่าการค้ากับเกาหลีใต้ (2023) 1.5 หมื่นล้านล้านดอลลาร์ (ส่งออก 5.2 พันล้านดอลลาร์ 2%ของการส่งออกรวม, นำเข้า 9.8 พันล้านล้านดอลลาร์) เป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นที่มีรายได้ส่งออกไปเกาหลีใต้ โดยเฉพาะกลุ่ม อิเล็กฯ (KCE, HANA, DELTA), กลุ่มท่องเที่ยวจะได้ประโยชน์ทางอ้อมจากการเปลี่ยนเส้นทางท่องเที่ยวของต่างชาติ และจิตวิทยาบวกกลุ่มเสริมความงามที่ลูกค้าอาจเปลี่ยนใช้บริการจากเกาหลีใต้ อาทิ MASTER, KLINIQ

(-) Trade war: จีนประกาศแบนการส่งออกเจอร์มาเนียม กัลเลียม พลวง และวัสดุที่มีความแข็งพิเศษ ไปยังสหรัฐฯ เพื่อตอบโต้หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโจ ไบเดน เพิ่มมาตรการควบคุมเทคโนโลยีกับจีน การจำกัดการค้าของทั้งสองประเทศทำให้สถานการณ์ตึงเครียดขึ้นอย่างไรก็ตามตลาดไม่ได้วิตกกับประเด็นนี้เนื่องจากจีนเคยสั่งห้ามสินค้าเหล่านี้มาแล้วเมื่อปีที่ผ่านมาอีกทั้งสหรัฐหันไปใช้วัตถุดิบอื่นทดแทน และแทบจะไม่มีการนำเข้าสินค้าเหล่านี้จากจีนในปีนี้

(*/+) China GDP Target: คณะผู้นำของจีนกำหนดการประชุมคณะทำงานว่าด้วยเรื่องเศรษฐกิจ หรือ Central Economic Work Conference (CEWC) ในวันพุธหน้า (11 ธ.ค.) เพื่อกำหนดเป้าหมายทางเศรษฐกิจและแผนกระตุ้นเศรษฐกิจสำหรับปี 2025 ประเด็นนี้คาดว่าจะผลักดันให้นักลงทุนเข้าเก็งกำไรในตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงมากขึ้นคาดหวังเห็นการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม นอกเหนือจากการกำหนดเป้าหมาย GDP

(*/-) Refinery : ค่าการกลั่น ณ โรงกลั่น สิงคโปร์ ปิดล่าสุด 3 ธ.ค. ลดลง 0.14$ ปิดที่ระดับ 6.41$/bbl (-2.14%) มองเป็นการพักตัวจากที่ปรับขึ้นต่อเนื่องในช่วง 2 สัปดาห์ก่อนหน้า แต่ภาพรวมค่าการกลั่นยังทรงตัวในระดับสูง (ต้นเดือน ต.ค. เฉลี่ยราว 2.76$/bbl) หากเทียบกับล่าสุดนับว่าปรับขึ้นแรงกว่า 2 เท่าตัว เรายังมองบวกต่อหุ้นในกลุ่มโรงกลั่น เน้น SPRC เป้าหมาย 9.50 บาท

(*)Oil : น้ำมันดิบ Brent +2.59%d-d ปิดที่ USD 73.69/barrel น้ำมันดิบ West Texas +2.7%d-d ปิดที่ USD 69.94/barrel ตลาดเก็งภาพก่อนการประชุม OPEC+ 5 ธ.ค. ว่ามีโอกาสเลื่อนการเพิ่มกำลังผลิตออกไป + สถานการณ์ตะวันออกกลางตึงเครียดขึ้น อิสราเอล - ฮิซบอลเลาะห์ยังไม่หยุดยิง แม้ทำข้อตลงหยุดยิงกันแล้ว

(*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐ อิงอายุ 2 ปี ปิดทรงตัว อยู่ที่ 4.17% อายุ 10 ปีปรับขึ้น +4 bps อยู่ที่ 4.23% (หากอิงสถิติ US Bond yields 10 ปี และ Thai Bond yield 10 ปี มีค่าสหสัมพันธ์สูงราว 0.6 หรือไปทางใดเดียว) ส่วน Dollar Index ผันผวนแกว่งตัวริเวณ 106.4 +/- จุด ยังต่ำกว่าแนวต้านสำคัญคือ 107.2 จุด

 

What happened in Thailand?

(+) SET : SET Index ปรับตัวขึ้น +17.65 จุด หรือ +1.23% ปิดที่ 1454.76 จุด กลุ่มหนุน คือ กลุ่มโรงไฟฟ้า (GULF, PTTEP) GULF หุ้นแนะนำของเราตอบรับจิตวิทยาบวกคุณเจนเซ่น หวง CEO ของ NVIDIA เดินทางเยือนไทย สร้างความเชื่อมั่นศักยภาพไทยก้าวเป็นหนึ่งศูนย์กลาง Infra Tech ของโลก PTTEP เก็งการประชุม OPEC+ ที่ตลาดคาดเลื่อนการเพิ่มกำลังผลิตน้ำมัน กลุ่มสื่อสาร (ADVANC, INTUCH) ADVANC หุ้นแนะนำของเราตอบรับจิตวิทยาบวกคุณเจนเซ่น หวง CEO ของ NVIDIA เดินทางเยือนไทย สร้างความเชื่อมั่นศักยภาพไทยก้าวเป็นหนึ่งศูนย์กลาง Infra Tech ส่วน INTUCH เคลื่อนไหวสอดคล้อง GULF กลุ่มถ่วง คือ กลุ่มชิ้นส่วน (DELTA, HANA) จิตวิทยาลบเงินบาทเคลื่อนไหวแข็งค่า กลุ่มปิโตรเคมี (IVL) ประเมินเป็นการขายทำกำไร

(*/+) Flows: เงินทุนต่างชาติวันทำการล่าสุดไหลเข้า ซื้อหุ้น +40.9 ล้านเหรียญฯ ขายพันธบัตร -10.7 ล้านเหรียญฯ TFEX Net Long +36,951 สัญญา เงินบาทแกว่งตัวบริเวณ 34.3+/- บาท

(+) TH Bond Yield: Bond yields ไทยอายุ 10 ปีปรับลงเนื่อง 5 วันติด วานนี้ -3 bps อยู่ที่ 2.25% เป็นระดับต่ำสุดในรอบ 1.5 ปี เป็นการปรับลดลงต่อเนือง หลังสัปดาห์ก่อนต่อเนื่องต้นสัปดาห์นี้ปรับลดลงราว -15 bps

เราคาดบวกต่อ SET ทั้งจิตวิทยาบวกต่อ Fund inflow โดยวานนี้เราเริ่มเห็นภาพต่างชาติกลับมาซื้อหุ้นไทย ขณะที่หากอิงกลไก Equity Risk Premium จะหนุนผลตอบแทนตลาดหุ้นเชิงเปรียบเทียบน่าสนใจมากขึ้น ทั้งนี้ จากการศึกษาความสัมพันธ์ Yield กับ SET เราพบว่า Yield ที่ลดลงทุกๆ -10 bps มักจะหนุน SET ราว 20-25 จุด

ด้านหุ้นเด่นในภาวะดังกล่าว เราแนะนำ กลุ่มโรงไฟฟ้า GULF, GPSC กลุ่มการเงิน AEONTS KTC , JMT กลุ่มค้าปลีก CPALL, BJC, CRC หุ้น High Yield อาทิ ADVANC

(*/+) Cabinet: ที่ประชุม ครม. มีมติสำคัญด้านเศรษฐกิจหลายส่วน ได้แก่

+ 1.) ครม. ได้เห็นชอบการจ่ายเงินช่วยเหลือชาวนา ในโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการ และพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว โดยช่วยเหลือในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ด้วยงบ 3.85 หมื่นล้านบาท บวกต่อหุ้น Domestic ค้าปลีก เน้น CPALL, BJC เช่าซื้อ เน้น JMT, AEONTS ธนาคาร เน้น KBANK, SCB

*/+ 2.) อนุมัติมาตรการช่วยเหลือ-เยียวยาน้ำท่วมใต้วงเงิน 5 พันลบ. มองจิตวิทยาบวกหุ้นวัสดุ TASCO กลุ่มจำหน่ายสินค้าปรับปรุงบ้าน GLOBAL, HMPRO

*/+ 3.) ครม. อนุมัติหลักการร่าง พ.ร.บ.การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม เพื่อกำหนดมาตรฐานทางเทคโนโลยีของระบบตั๋วร่วมให้เป็นมาตรฐานกลาง ขณะที่การกำหนดอัตราค่าโดยสารร่วมให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง เรามองเป็นเปิดทางสู่การซื้อสัมปทานรถไฟฟ้าของรัฐฯคืน ความคืบหน้าดังกล่าวเรามองเป็นบวกต่อ BTS ที่ได้ประโยชน์จากการเดินหน้านโยบายดังกล่าว > BEM

*/+ 4.) เห็นชอบหลักการสร้างทางด่วน M9 บางขุนเทียน-บางบัวทอง มูลค่า 4.7 หมื่นล้านบาท คาดเปิดประมูลปี 2025 เปิดบริการปี 2029 เป็นสัญญาร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนในรูปแบบ PPPNET Cost เอกชนจะเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายการลงทุน แต่จะได้รับสิทธิในการจัดเก็บรายได้ และต้องรับความเสี่ยงในเรื่องของรายได้ บวกต่อหุ้นรับเหมา อาทิ CK, STECON

* 5.) อนุมัติกฎหมายหวยเกษียณ ขั้นตอนต่อไปจะส่งร่าง พ.ร.บ. กอช. เข้าสภาฯพิจารณา แม้วัตถุประสงค์หลัก คือ การมุ่งเน้นประชาชนมีเงินออมยามเกษียณ โดยคาดมีเม็ดเงินใหม่ต่อปีราว 1.3 หมื่นล้านบาท สำหรับกลุ่มประชาชนที่ซื้อได้ในปัจจุบัน คือ ผู้ประกันตน มาตรา 40+แรงงานนอกระบบ ซึ่งต้องถือครองถึงอายุ 60 ปี+ผู้สูงอายุ > 60 ปี ซึ่งต้องถือครอง 10 ปี (260 ล้านใบต่อปี ใบละ 50 บาท) ทั้งนี้ เราแนะนำจับตาการขยายขอบขตผู้ออมไปยังกลุ่มที่มีรายได้ประจำระยะถัดไป หากเม็ดเงินมีขนาดใหญ่ขึ้น เราประเมินมีโอกาสอาจจะเป็นกลายเม็ดเงินลงทุน Domestic Long Term Fund เพิ่มจากกองทุน ThaiESG และกองทุนวายุภักษ์ได้

(*) Tax Reform: รมว. คลังเปิดเผยว่า มีแนวทางศึกษา 1.) ปรับภาษีเงินได้นิติบุคคลลดลงเหลือ 15% จาก 20% 2.) ปรับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอาจพิจารณาเหลือจาก 15% จาก 35% 3.) ปรับเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มสอดคล้องทั่วโลก 15-25% จากปัจจุบัน 7% (ซึ่งลดจากระดับปกติที่ 10%) โดยแผนทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งการลดช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจน ทั้งนี้ เบื้องต้นเราประเมินผลกระทบกรณีต่างๆ ดังนี้

- การลดภาษีเงินได้นิติบุคคล คาดทำให้รัฐฯเสียภาษีราว -2.0 แสนล้านบาท (อิงฐานภาษีเงินได้นิติบุคคลตามงบประมาณปี 2024 ที่ 7.8 แสนล้านบาท) ส่วน Upside ต่อกำไรตลาดอิงสมมติฐานปี 2025F ที่ 96 บาท จะหนุนเพิ่มขึ้น +6.3%

- การลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภายใต้สมมติฐานปรับลดเฉพาะส่วนที่เกินกว่า 15% เหลือ 15% คาดส่งผลให้รัฐฯเสียรายได้ราว -3.8 หมื่นล้านบาท

+ การปรับเพิ่ม VAT ทุกๆ 1% จากฐาน 7% จะหนุนรัฐฯมีรายได้ภาษีเพิ่ม 1.35 แสนล้านบาท กรณีเพิ่มเป็น 10% และ 15% รายได้จะเพิ่มขึ้น 4.0 แสน และ 1.0 ล้านล้านบาท ตามลำดับ

ดังนั้น กรณีที่ใช้รูปแบบ 15 – 15 -15 รัฐฯจะมีภาษีเพิ่มขึ้นราว 7.6 แสนล้านบาท โดยหากอิงตามเป้าหมาย กระทรวงการคลังที่ต้องการลดความเหลื่อมล้ำ ประเมินมีโอกาสที่เงินดังกล่าวอาจจะถูกนำไปใช้ภายใต้แนวทาง Negative Income Tax (ชดเชยรายได้ให้กับผู้ที่มีรายได้น้อย ส่งเสริมให้เกิดการทำงาน) ทั้งนี้ เนื่องจากเรื่องดังกล่าวยังอยู่ในช่วงการศึกษา เราประเมินตลาดจะยังไม่ไห้น้ำหนักจนกว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้น ส่วนผลกระทบต่อเศรษฐกิจ เราคาดว่าน่าจะเป็นไปในทางบวก เพราะการกระจายรายได้ในประเทศจะเป็นภาพบวกมากขึ้น รวมถึงเป็นการประชาชนเข้าสู่ระบบภาษี

(*) TH Tourism: นักท่องเที่ยวต่างชาติสัปดาห์ล่าสุด 25 พ.ย. – 1 ธ.ค. ปรับตัวลดลง -5.7%w-w มาที่ 1.0 แสนราย หลักๆ เป็นการปรับลดลงมีนัยฯ ในส่วนนักท่องเที่ยวมาเลเซียที่ชะลอ หลังหาดใหญ่ประสบปัญหาน้ำท่วม ทำให้ภาพกลุ่มท่องเที่ยวเป็นลบเล็กๆ โดยตลาดน่าจะให้น้ำหนักเรื่องผลกระทบน้ำท่วมภาคใต้มากขึ้น ซึ่งต้องติดตามผลกระทบสถานการณ์ฝนระลอกภัดไป อย่างไรก็ดี นักท่องเที่ยว YTD (1 ธ.ค.) ทะลุ 32 ล้านคน อิงฐานนักท่องเที่ยวเฉลี่ยวันละ 1.0 แสนรายในช่วงหลัง ผสาน ธ.ค. 24 ถือเป็นเดือนที่ปกติดีสุดของปี เราคาดนักท่องเที่ยวปี 2024F ที่ 35.5-36 ล้านคน ได้ตาม Consensus ประเมิน และปี 2025F น่าจะขยับเข้าสู่ Pre-COVID ที่ 40 +/- ล้านราย เชิงกลยุทธ์ แนะนำสะสมหุ้นท่องเที่ยว ภาคบริการต่อเนื่อง เน้น AOT CPALL CPAXT BJC ERW AWC

(*) To Monitor: สัปดาห์นี้ ปัจจัยภายในติดตาม 1.) 2-4 ธ.ค. งาน Entertainment Complex Summit 2.) 4 ธ.ค. CEO ของ NVIDIA แถลงวิสัยทัศน์ และ 3.) 6 ธ.ค. เงินเฟ้อ CPI พ.ย. 24 ตลาด +1.2%y-y, +0.2%m-m vs prev. +0.83%y-y, -0.06%m-m

 

Daily Strategy : BTS, GPSC, TRUE เด่น

ระยะสั้น วันนี้มองตลาดหุ้นไทย "Sideways/Up" แม้ต่างประเทศเป็นภาพรอความคืบหน้าถ้อยแถลงประธาน Fed และรายงานภาคแรงงานปลายสัปดาห์ แต่ US Bond Yield ที่แกว่งตัว 4.2%+/- เรามองเป็นแรงหนุนการลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง ขณะที่ภาพบวกกลุ่ม Tech สหรัฐฯ โดยเฉพาะผลประกอบการ Okta และ Salesforce ที่รายงานหลังปิดตลาดยังออกมาดี รวมถึงราคาน้ำมันแกว่งขึ้นรับสถานการณ์ตะวันออกกลางกลับมาตึงเครียดขึ้น และภายในกระแสมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเริ่มเพิ่มขึ้น ซึ่งน่าจะยังมีเข้ามาอีกมากพอสมควรในช่วงปลายปี โดยรวมมองหุ้นนำตลาด 1.) หุ้น Domestic (ค้าปลีก ธนาคาร เช่าซื้อ) 2.) กลุ่ม Infra Tech (สื่อสาร โรงไฟฟ้า) และ 3.) กลุ่มพลังงานต้นน้ำ

หุ้นที่มีโอกาสถูกเพิ่มน้ำหนักจากกองทุนวายุภักษ์
กลุ่มที่ 1 หุ้นที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น, อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และมีแนวโน้มเติบโตดีในช่วง 2024 – 2025 ได้แก่ AOT, KTB, PTT

กลุ่มที่ 2 หุ้นที่อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และซื้อขายในระดับ Valuation Zone รวมถึงมีแนวโน้มการเติบโตดี ได้แก่ CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO, SCGP

กลุ่มที่ 3 หุ้นที่มีน้ำหนักใน SETESG สูงและมีแนวโน้มการเติบโตดี อยู่ใน Theme Data Center ได้แก่ ADVANC, GULF มีโอกาสเป็นเป้าหมาย

กลุ่มที่ 4 หุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์ Theme ที่ 4 คือ Div Yield 2024-2025 สูง >5% และอยู่ใน ThaiESG หุ้น (KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH)

กลุ่มที่ 5 หุ้นที่ยังมีน้ำหนักในกองทุนวายุภักษ์น้อย ขณะที่เข้าเกณฑ์ ESG Score (ถ้าอยู่ใน SET100 เรทติ้ง A ขึ้นไป ต่ำกว่า SET100 AA ขึ้นไป การเติบโตปี 2024-25 เกณฑ์ดี CPALL CPAXT BDMS CRC HMPRO IVL MTC BJC WHA

หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, STPI, DELTA ADVANC, TRUE, INSET, BE8, BBIK)
หุ้นในธีม Trump 2.0 (AMATA, WHA, PTT, PTTEP, CPF, SCB, KBANK, KTB, CPALL, BJC, HMPRO, ADVANC, GULF, GPSC)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (AOT, BTS, VGI, BJC, STECON, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ (IVL, AOT, AU, PTTGC, SCC, CPALL, BJC)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, BA, AAV, MTC, AEONTS, TRUE, CPALL, BJC)
• DEC24 Best Picks : ADVANC, BJC, BTS, GULF, AOT, IVL, MALEE

• 4Q24 Stock Picks : GULF, GPSC, MTC, CPALL, BJC, BDMS, AOT, KTB, ADVANC, HMPRO Mid-Small Cap Play : BTS, MALEE, MOSHI, CHG, ERW, BA

 

Tactical & Investment Idea

 

Research Highlight

 

• Strategy Update: SET50/100 1H25 Update

ทีมกลยุทธ์ได้คำนวณหุ้นเข้า/ออก SET50-SET100 สำหรับรอบ 1H25 ก่อนที่ตลาดจะประกาศการคัดเลือกหุ้นเข้าออกรอบนี้ในช่วงกลางเดือน ธ.ค. 2024 และมีผลเริ่มใช้ 1 ม.ค. 2025 โดยสำหรับผลการคำนวนในรอบนี้ใช้ข้อมูลตั้งแต่ 1 ธ.ค. 2023 – 29 พ.ย. 2024 (ครบตามที่ตลาดฯ ใช้จริงในการคำนวณหาหุ้นเข้า/ออก) ผลของการคาดการณ์น่าจะมีความแม่นยำสูง โดยเราหวังว่าบทวิเคราะห์ฉบับนี้จะช่วยให้นักลงทุนเตรียมตัวสำหรับการลงทุนในดัชนี SET50 และ SET100 ล่วงหน้าได้ โดยมีรายละเอียดดังนี้

• หุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET50 รอบนี้มี 4 บริษัท คือ BANPU (โอกาสเข้า 100%), SAWAD (โอกาสเข้า 100%), COM7 (โอกาสเข้า 95%) และ CCET (โอกาสเข้า 95%)

• หุ้นคาดว่าจะหลุด SET50 รอบนี้ 4 บริษัท คือ CENTEL (โอกาสหลุด 95%), BCP (โอกาสหลุด 95%), TIDLOR (โอกาสหลุด 95%) และ EA (โอกาสหลุด 100%)

• หุ้นที่คาดเข้า SET100 รอบนี้มี 4 บริษัท คือ JTS, CCET, PR9, COCOCO

• หุ้นที่คาดว่าจะหลุด SET100 รอบนี้ 4 บริษัท คือ MBK, RBF, TIPH, TOA

กลยุทธ์ แนะนำให้หลีกเลี่ยงหุ้นที่คาดว่าจะหลุด SET50-SET100 เนื่องจากมีความเสี่ยงในการลดน้ำหนักจาก Index Fund ขณะที่แนะนำเก็งกำไรหุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET50 รอบนี้เราแนะนำ SAWAD และ BANPU เด่น

• Strategy Update : Preliminary 2025 KSS Yearly Equity Strategy 2025 ภายนอกผันผวน โอกาสขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันภายใน หนุน Domestic Plays

การเคลื่อนไหวสินทรัพย์ต่างๆ ของโลกในปี 2024 พบว่า ตลาดหุ้นเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูง ดัชนี MSCI World (YTD) ให้ผลตอบแทนราว +16.3% แรงขับเคลื่อนมาจากเงินเฟ้อคลายตัว หนุนวงจรดอกเบี้ยโลกเข้าสู่ขาลง สะท้อนผ่าน US Bond Yield 10 ปีปรับลง -6.7% จากระดับสูงสุดช่วงปลายปี 2023 ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ อยู่ในภาวะ Goldilocks - Soft Landing ส่วน SET Index ให้ผลตอบแทน YTD ที่ +3.3% ต่ำกว่าภาพรวม จากเสถียรภาพทางการเมืองในช่วง 1H24 อย่างไรก็ตาม ภาวะเศรษฐกิจในช่วง 3Q24 ที่เริ่มเร่งขึ้น จากแรงส่งจากภาครัฐฯ หนุน SET ฟื้นตัว

สำหรับปี 2025 แนวโน้มเศรษฐกิจไทยน่าจะยังเร่งตัวไปถึงช่วงกลางปี 2025 เป็นอย่างน้อย อย่างไรก็ตามความเสี่ยงมหภาคผันผวนมากขึ้น จากชัยชนะของคุณ โดนัลด์ ทรัมป์ และ พรรค Republican ในแบบ Red Sweep ส่งผลให้การผลักดันนโยบายต่างๆ จะสร้างผลกระทบกับประเทศอื่นๆ เช่นเดียวกับตลาดเกิดใหม่(EM) โดยเฉพาะนโยบาย "Make American Greatest Again" ผ่านการสนับสนุนประชาชนอเมริกัน ลดภาษีต่างๆ การใช้งบประมาณที่สูง เพิ่มปัญหาขาดดุลทางการคลัง ขณะที่กีดกันต่างชาติ สงครามการค้า (Trade war) โดยเฉพาะ จีน ถือเป็นประเด็นหลักสร้างความเสี่ยงให้เงินเฟ้อลดลงช้ากว่าที่ตลาดคาดหวัง ผลของนโยบาย กีดกันผู้อพยพ, การขึ้นภาษีนำเข้า ผสาน ขาดดุลการคลังที่สูงขึ้น จะผลักดันให้ US Bond Yield ระยะกลางสูงกว่าคาดการณ์เดิม ค่าเงินสกุลดอลลาร์แข็งค่า โดยปัจจุบัน US Bond Yield 10 ปีขยับขึ้นจากโซนฐาน ณ ต้น ต.ค. ราว 75-80 bps, Dollar Index แข็งค่า +6-7%

ส่วนความเสี่ยงผลกระทบจากสงครามการค้า เริ่มเห็นภาพของตลาดหุ้น Asia ที่ บจ. มีรายได้เชื่อมโยงกับจีนและสหรัฐฯ ในสัดส่วนสูง อาทิ ยุโรป เกาหลีใต้ ไต้หวัน ให้ผลตอบแทน (MTD) Underperform โลก เรามองการเคลื่อนไหวสินทรัพย์ข้างต้น บ่งชี้ภาพตลาดให้น้ำหนักต่อปัจจัยที่จะกำหนดทิศทางการลงทุนในปี 2025 ขึ้นกับแนวทางขับเคลื่อนนโยบายของคุณ Trump เป็นหลัก

หากอิงตามกรอบเวลาขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ จะสร้างความผันผวนต่อ EM Asia 2 ส่วน คือ

1.) US Bond Yield ผันผวนตามทิศทางดอกเบี้ยซึ่งบางส่วนขึ้นกับนโยบายคุณ Trump, แนวโน้มดอลลาร์แข็งค่าจะเพิ่มแรงกดดันต่อ Fund Flows และ Multiple ของตลาดหุ้น

2.) สงครามการค้า ถือเป็น Downside Risk ต่อประมาณการเศรษฐกิจ แม้ผลกระทบจากการบังคับใช้น่าจะส่งผลในช่วง 2H25 หรืออาจจะข้ามไปมีผล 2026 แต่เราประเมินตลาดหุ้นจะปรับตัวสะท้อนความเสี่ยงดังกล่าวก่อน โดยเฉพาะปลายไตรมาส 2 ประเทศที่มีความเสี่ยงกลุ่มที่มีสัดส่วนรายได้เชื่อมโยงสูง โดยเฉพาะ EM Asia ฝั่งจีน ไต้หวัน เกาหลีใต้ จะผันผวนในปี 2025

เราประเมิน Upside หลักจากมุมมองบวกต่อแผนจัดตั้งหน่วยงาน DOGE เพิ่มประสิทธิภาพให้หน่วยงานรัฐ ลดภาระทางการคลัง ส่วนนี้ หากทำได้ดีจะลดแรงกดดันต่อ US Bond Yield ในขณะเดียวกันผลกระทบจริงของ Trade War มีโอกาสต่ำกว่าตลาดกังวล เนื่องจากประเทศต่างๆ ได้ปรับโครงสร้าง Supply Chain ไปแล้วนับตั้งแต่ Trade War รอบแรก อาทิ จีนพึ่งพาสหรัฐฯ ลดลง ยอดส่งออกของจีนไปสหรัฐฯ เหลือ 14.5% ของยอดรวม (vs ก่อน Trade War รอบก่อนที่ 19%) และ โอกาสเห็นจีนกระตุ้นเศรษฐกิจเร่งตัวใน 2H25 หากการขยายตัวเริ่มมีเสี่ยงต่ำกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้

ขณะที่กลุ่ม TIPs (บริษัทจดทะเบียน) มีรายได้เชื่อมโยงจีนและสหรัฐต่ำกว่าภูมิภาคอื่น โดยเฉพาะไทยมีสัดส่วนรายได้เชื่อมโยงสหรัฐฯ + จีน ต่ำกว่า 5% (Asia โดยเฉลี่ยราว 10%) ตรงกันข้ามแรงกดดันจาก Trade War จะหนุนการเติบโตใหม่ (New S-Curve) จากกระแสย้ายฐานการลงทุนจากต่างชาติเร่งขึ้น ผสาน ไทยมีจุดเด่นเฉพาะตัว คาดGDP จะเติบโตทำระดับสูงสุดของปีใน 4Q24 ที่ 3.5-4.0% และปี 2025 คาดขยายตัวต่อเนื่อง 2.8-3.0% เทียบปี 2024 ทั้งปีคาดขยายตัว 2.4-2.6% เม็ดเงินลงทุนระยะยาวในประเทศแข็งแรงขึ้น หนุนภาพกำไรตลาดและการลงทุนในปีหน้ายังดี KSS คาดการณ์กำไรตลาดปี 2025 เบื้องต้นที่ 96บาทต่อหุ้น ขณะที่กรอบ PER เป้าหมาย 17.3x ระดับค่าเฉลี่ย จะได้เป้าหมาย SET ปี 2025 เบื้องต้นที่ 1660 จุด (คิดเป็น Equity Risk Premium 3.3% สูงกว่าค่าเฉลี่ย 3.06%)

กลยุทธ์ลงทุน แนะนำอุตสาหกรรม Domestic ที่กำลังฟื้นตัวตามแรงขับเคลื่อนภายใน + ได้ประโยชน์นโยบาย Trump 2.0 ทั้งเชิงธุรกิจ หรือประโยชน์จาก Sector Rotation กระแสเม็ดเงินลงทุนที่หลบออกจากกลุ่ม Global Plays ที่มีความเสี่ยง

• กลุ่มได้ประโยชน์การย้ายฐานการผลิต ลดความเสี่ยงการกีดกันทางการค้า : นิคม WHA(TP-6.4) โรงไฟฟ้า GULF (TP Max-75) GPSC (TP-47)

• กลุ่ม Domestic ที่มีแรงหนุนภายใน

o กลุ่มธนาคาร BBL (TP Con-172), SCB (TP Con-119) และ KBANK (TP-180)

o กลุ่มสื่อสาร ADVANC (TP-305)

o กลุ่มที่อยู่ในช่วงฤดูกาล AOT(TP-64.5) CENTEL (TP-40)

o ค้าปลีก CPALL(TP-80)

o กลุ่มเช่าซื้อ

• Strategy Update : กองทุนลดหย่อนภาษีเด่นปลายปี 2024 ที่ไม่ควรพลาด

ทีมกลยุทธ์ชวนวางแผนลดหย่อนภาษีช่วงโค้งสุดท้ายปลายปี ผ่านกองทุนลดหย่อนภาษี SSF, RMF และ TESG โดยอิงจากน้ำหนักการลงทุน KSS Rating ที่ทีมกลยุทธ์ให้ไว้ในบทวิเคราะห์ Cross Asset Strategy ตามตาราง Exhibit 1 เราเลือกการลงทุนสินทรัพย์ประเภท Fixed Income (ทั่วโลก), Equities (ไทย จีน เอเชีย) เป็น Top pick สำหรับการลงทุนกองทุนลดหย่อนภาษีในปี 2024 นี้ และกองทุน Top pick ได้แก่ UGIS-SSF/UGISRMF, KFACHINSSF/KFACHINRMF, K-TNZ-ThaiESG, KFTHAIESGA

สำหรับผู้ที่มีเงินได้ในปี 2024 และต้องการลดหย่อนภาษีผ่านกองทุนลดหย่อนภาษี และต้องการลงทุนระยะยาว สามารถเลือกลงทุนได้ผ่านกองทุนลดหย่อนภาษีในทุกประเภท ทั้ง SSF, RMF และ TESG โดยกองทุน RMF และ SSF สามารถลดหย่อนภาษีได้ไม่เกินร้อยละ 30 ของรายได้ โดยกองทุนทั้ง 2 ประเภท เมื่อรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่นๆ แล้วต้องไม่เกิน 5 แสนบาท ส่วนกองทุน TESG สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกินร้อยละ 30 ของรายได้ และสูงสุดไม่เกิน 3 แสนบาท รายละเอียดเพิ่มเติมแสดงไว้ใน Exhibit 2

สำหรับผู้มีเงินได้ที่ต้องการลดหย่อนภาษีผ่านกองทุนลดหย่อนภาษี และใส่ใจในระยะเวลาถือครอง แนะนำสำรวจช่วงอายุของนักลงทุน โดยสำหรับนักลงทุนที่อายุต่ำกว่า 51 ปี กองทุน TESG

กลยุทธ์ Tax Allowance Fund Strategy:

กองทุน SSF และ RMF (ลดหย่อนได้ประเภทละ 30% แต่ SSF ไม่เกิน 200,000 บาท และรวมกันกับ RMF และกองทุนเพื่อการเกษียณอื่นๆ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท ) แนะนำ UGIS-SSF/UGISRMF (GlobalBond), KFACHINSSF/KFACHINRMF (China)

กองทุน TESG (ลดหย่อนได้ 30% หรือสูงสุด 300,000 บาท) แนะนำ KFTHAIESGA และ K-TNZ-ThaiESG

 

 

 

• CBG (Buy, TP-89): Management held an analyst briefing to update three issues: 1) legal implications of Took Dee CVS who has been in the news as its franchisees sued Took Dee for taking advantage of them, 2) increasing aluminium price that could affect its costs and gross margin and 3) its confidence of rising market share of the domestic energy drink. We maintain BUY, all estimates and TP THB89. Our BUY recommendation rests on the EPS growth of 17.7% in FY25F, driven by the gain of its domestic energy drink market share of 3ppt yoy to 29%.

• DOHOME (Neutral, TP-11): We resume coverage with TP THB11, with a NEUTRAL rating. We believe DOHOME is on the cusp of recovery with: 1) same-store-sales to turnaround to +3% in 4Q24 (from -4.5% in 3Q24) and 5% in 2025 from more government budget disbursement benefiting the home-improvement sector, 2) three new stores added in 2025 (to 27 stores) , could lead to 29% in core profit growth in 2025F, a turnaround from -4.2% in 2024F. Nevertheless, we think the demanding valuation of 36.4 FY25F P/E, the highest in the Thai retailing sector has priced in the good outlook. Hence, our NEUTRAL recommendation.

• SVI (Buy, TP-8.5): We still have a positive view on SVI's growth potential in 2025 given that they could post the strongest revenue growth among the sector thanks to 1) the new order, and 2) the strong demand from Bitcoin mining. However, due to a huge impact on currency in 3Q24, we trim SVI's earnings for 24/25 slightly by 6%/9%. Maintain BUY with the new TP of Bt8.50. SVI is trading at the lowest P/E among its peers, while its outlook is stronger.

• MOSHI (Buy, TP-64): มอง Positive โดย SSSG พ.ย. ยังบวกถึง +23% y-y และ QTD +26% (หากไม่รวม NCT Collection พ.ย. ยังบวก +20% y-y ดีขึ้นจากต.ค. +12-13% y-y) ขณะที่ ภาพการแข่งขันยังจำกัดมาก น้อยกว่าที่คิด และประมาณการเริ่มมี Upside แนะนำ Buy จาก TP65F 64.0 บาท อิง DCF เป็นบริษัทที่ยังเห็นการเติบโตดีระยะยาวองค์ประกอบเติบโตครบทั้ง SSSG และ New Store

 


4Q24F Equity Outlook : Thailand Inflection Point

Stock Best Picks : GULF, GPSC, MTC, CPALL, BJC, BDMS, AOT, KTB, ADVANC, HMPRO

Mid-Small Cap Play : BTS, MALEE, MOSHI, CHG, ERW, BA

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

1200 แตก By: แม่มดน้อย

แม่ดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ และแล้ว ดัชนีตลาดหุ้นไทย ก็แตก 1,200 จุด ด้วยพ่อใหญ่อย่าง DELTA แม่ใหญ่ AOT เป็นหัวหอก....

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้