สำนักข่าวหุ้นอินไซด์( 15 พฤศจิกายน 2567)--นายชยุตม์ หลีหเจริญกุล ประธานเจ้าหน้าที่บัญชีและการเงิน บริษัท เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) SSP เปิดเผยว่า ขอแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(“ตลาดหลักทรัพย์”) ให้ทราบว่า ที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัท ครั้งที่7/2567เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2567 มีมติอนุมัติการเข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมบนชายฝั่ง (Onshore Wind Power Plant Project) (“โครงการ”)จํานวน 1 โครงการ ผ่านทาง Sermsang Sustainable Singapore Private Limited (“SSSG”) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ100ของทุนจดทะเบียนโดยบริษัท เสริมสร้างอินเตอร์เนชั่นแนล จํากัด (“SI”) โดย SI เป็นบริษัทย่อยที่ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 100โดยบริษัท การเข้าลงทุนในโครงการดังกล่าวดําเนินการโดย SSSG เข้าซื้อหุ้นสามัญของ BagoNegros Energy Corporation(BNEC) จํานวน 1,000,000 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 100ของจํานวนหุ้นที่จําหน่ายแล้วทั้งหมดซึ่งถือเป็นการเข้าทํารายการได้มาซึ่งสินทรัพย์ของบริษัท โครงการดังกล่าวตั้งอยู่ที่เมืองบาโก สาธารณรัฐฟิ ลิปปินส์ ขนาดกําลังการผลิตติดตั้ง 150เมกะวัตต์ ด้วยมูลค่าการลงทุนจํานวนไม่เกิน 250 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 8,114 ล้านบาท(อ้างอิงอัตราแลกเปลี่ยนที่ 32.4563 บาทต่อดอลล่าห์ จากธนาคารแห่งประเทศไทย ณ วันที่ 30 กันยายน 2567) ซึ่งทางฝ่ ายจัดการของบริษัท ได้ดําเนินการศึกษาความเป็นไปได้ และรายละเอียดของโครงการแล้ว จึงตัดสินใจเข้าทํารายการดังกล่าว

ในการนี้ บริษัทเล็งเห็นถึงศักยภาพของโครงการที่เป็นไปตามเป้าหมายของบริษัทในการขับเคลื่อนธุรกิจพลังงานหมุนเวียนเพื่อมุ่งสู่การเป็นบริษัทพลังงานชั้นนําแห่งเอเชีย โดยเป็นผู้ผลิตและจัดหาพลังงานหมุนเวียนที่ยั่งยืนเพื่อประโยชน์สูงสุดของสังคม โดยการเข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในสาธารณรัฐฟิ ลิปปินส์ ซึ่งเป็นโครงการที่มีศักยภาพ โดยมีสัญญารับซื้อไฟระยะยาวในอัตราค่าไฟฟ้าคงที่กับ National Transmission Corporation (Transco) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจที่ควบคุมการผลิตและจําหน่ายไฟฟ้าในสาธารณรัฐฟิ ลิปปินส์ การลงทุนดังกล่าวจะช่วยต่อยอดและสนับสนุนการดําเนินธุรกิจหลักของบริษัท และเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันและสร้างโอกาสในการเติบโตของบริษัทและสร้างประโยชน์ให้กับผู้ถือหุ้นในระยะยาว

ทั้งนี้ธุรกรรมการเข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมดังกล่าวเข้าข่ายเป็นรายการได้มาซึ่งสินทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียนตามประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุนที่ ทจ. 20/2551 เรื่อง หลักเกณฑ์ในการทํารายการที่มีนัยสําคัญที่เข้าข่ายเป็นการได้มาหรือจําหน่ายไปซึ่งทรัพย์สิน ลงวันที่ 31 สิงหาคม 2551 (และที่ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติม)และประกาศคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรื่อง การเปิดเผยข้อมูลและการปฏิบัติการของบริษัทจดทะเบียนในการได้มาหรือจําหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ พ.ศ. 2547 ลงวันที่ 29 ตุลาคม 2547 (และที่ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติม)(“ประกาศรายการได้มาหรือจําหน่ายไป
ซึ่งสินทรัพย์”) ซึ่งเมื่อพิจารณาขนาดของรายการดังกล่าวด้วยวิธีการคํานวณตามเกณฑ์ต่าง ๆ ภายใต้ประกาศรายการได้มาหรือจําหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์แล้ว พบว่าการเข้าทําธุรกรรมดังกล่าวมีขนาดของรายการสูงสุดเท่ากับร้อยละ 33.10 ตามเกณฑ์มูลค่ารวมของสิ่งตอบแทน โดยการคํานวณขนาดรายการอ้างอิงจากงบการเงินรวมของบริษัท สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2567ซึ่งผ่านการสอบทานจากผู้สอบบัญชีของบริษัท ทั้งนี้ เมื่อรวมกับขนาดรายการได้มาซึ่งสินทรัพย์อื่นในระยะเวลา 6 เดือน ก่อนการเข้าทําธุรกรรมครั้งนี้ขนาดรายการรวมสูงสุดเท่ากับร้อยละ 48.07 ตามเกณฑ์ตามเกณฑ์มูลค่ารวมของสิ่งตอบแทน ดังนั้น ธุรกรรมการเข้าทํารายการดังกล่าวจึงเข้าข่ายเป็นรายการประเภทที่ 2 ตามประกาศรายการได้มาหรือจําหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ คือมีขนาดรายการเท่ากับร้อยละ15 หรือสูงกว่า แต่ตํ่ากว่าร้อยละ 50 บริษัทจึงจะต้องจัดทํารายงานและเปิดเผยสารสนเทศการเข้าทํารายการดังกล่าวของบริษัท ต่อตลาดหลัทรัพย์ตามบัญชี (1) ท้ายประกาศรายการได้มาจําหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ทันที และต้องจัดส่งหนังสือเวียนให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัท ภายใน 21วันนับแต่วันที่เปิดเผยสารสนเทศการเข้าทํารายการดังกล่าวต่อตลาดหลักทรัพย์

นอกจากนี้ธุรกรรมการเข้าทํารายการดังกล่าว ไม่เข้าข่ายเป็นการเข้าทํารายการที่เกี่ยวโยงกันของบริษัท ตามนัยของประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุนที่ ทจ. 21/2551 เรื่อง หลักเกณฑ์ในการทํารายการที่เกี่ยวโยงกัน ลงวันที่ 31สิงหาคม 2551 (และที่ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติม) และประกาศคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรื่อง การเปิดเผยข้อมูลและการปฏิบัติการของบริษัทจดทะเบียนในรายการที่เกี่ยวโยงกัน พ.ศ. 2546 ลงวันที่ 19 พฤศจิกายน 2546(และที่ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติม)