Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.เอเซีย พลัส : Market Talk

452

 

ดูเหนื่อยมากขึ้น
ผลการเลือกตั้ง ปธน. สหรัฐฯ (อย่างไม่เป็นทางการ) DONALD TRUMPและ REPUBLICAN ได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาด ซึ่งทำให้ถูกคาดหมายว่าการเดินนโยบายต่างๆ ที่ได้หาเสียงไว้น่าจะดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพเรามองผลกระทบในหลายมิติ เริ่มจากมิติของการค้าระหว่างประเทศ แนวทางการตั้งกำแพงภาษีของสินค้าที่นำเข้าสู่สหรัฐฯ น่าจะทำให้ปริมาณการค้าระหว่างประเทศอยู่ภายใต้แรงกดดัน ซึ่งมีโอกาสที่จะทำให้ภาคการส่งออกของบ้านเราชะลอตัว แต่ก็อาจได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิต ในมิติของตลาดการเงินถูกคาดหมายว่า FED อาจปรับลดดอกเบี้ยนโยบายได้น้อยลงทำให้USD แข็งค่า ส่วนการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลก็จะทำให้EPS GROWTH ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ สูงขึ้น ภาพรวมอาจทำให้FUND FLOW ไหลกลับตลาดการเงิน สหรัฐฯ
เป็นไปได้ที่จะเห็นทิศทางของ FUND FLOW ไหลออก ซึ่งน่าจะทำให้SETINDEX กลับมาอยู่ภายใต้แรงกดดัน วันนี้ประเมินกรอบ 1455 –1480 จุดหุ้น TOP PICK วันนี้เลือก CPALL, PR9 และTASCO


การย้ายฐานการผลิตจากจีนมาไทย หุ้นใดได้ประโยชน์
หลังจากที่รู้ผลลัพธ์ที่ค่อนข้างแน่นอนแล้วว่า พรรค REPUBLICAN ชนะ โดยมีDONALD TRUMP เป็น ปธน.คนที่ 47 ซึ่งนโยบายหลักๆ ที่มีโอกาสเกิดขึ้นและส่งผลต่อประเทศอื่น คือ การเพิ่มภาษีนำเข้าจากต่างประเทศ 10% และจากจีน 60% (ซึ่งล่าสุดอาจตั้งกำแพงภาษีเพิ่มเป็น 150 –200% ถ้าจีนบุกไต้หวัน), ตั้งกำแพงภาษีกลุ่มBRICS 100% รวมถึงการกลับมาของ AMERICAN FIRST อาจเสี่ยงทำให้สงครามการค้าจีน-สหรัฐ (TRADE WAR) ซึ่งต้องติดตามว่านโยบายต่างๆ จะเกิดขึ้นจริงและรุนแรงขนาดไหนโดยตอนที่ DONALD TRUMP เป็น ปธน. สมัยที่ 1 และมีการเกิด TRADE WAR
ระหว่างสหรัฐฯ-จีน ณ ตอนนั้นยอดเงินลงทุนยอดส่งเสริมลงทุนจากต่างประเทศ (BOI)พุ่งขึ้นจาก 2.1 แสนล้านบาท สู่ระดับ 4.6 แสนล้านบาท (+116%YOY) จึงทำให้มีโอกาสที่จะเห็นยอดเงินลงทุนยอดเม็ดเงินลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ (FDI) เร่งตัวขึ้นเฉกเช่นในอดีต


ซึ่งหากพิจารณาจากผลตอบแทนสินทรัพย์ต่างๆ ในช่วงต้นปี 2017 - ต้นปี 2021 ที่นายโดนัลด์ทรัมป์บริหารสหรัฐฯ SET +13.7% แต่มีกลุ่มหุ้นที่ขึ้นได้ดี คือ
• หุ้นกลุ่มนิคมอย่าง AMATA +126%, ROJNA +56%, WHA +35%
• หุ้นกลุ่มเดินเรือที่ BDI +98% หุ้นกลุ่มเดินเรืออย่าง RCL +68%, PSL +28%
• หุ้นกลุ่มขนส่งอย่าง SJWD +55% WICE +43%

 

TRUMP 2.0 กับความเสี่ยงการค้าระหว่างประเทศ
ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ 2024 ทรัมป์ คว้าชัยเป็น ปธน. สมัยที่ 2 ได้สำเร็จ โดยหนึ่งในนโยบายชูโรงของ TRUMP คือ แผนการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่ม 60%และประเทศคู่ค้าอื่นๆ เพิ่ม 10% -20%ผลกระทบกรณีสหรัฐฯ ตั้งกำแพงภาษีจีน เพิ่มแรงกดดันโดยตรงต่อภาคการค้าระหว่างประเทศ สังเกตได้จากช่วงกลาง 2017 – 2019 (TRADE WAR) ที่การส่งออกระหว่างสหรัฐฯ – จีน พึ่งพากันน้อยลงอย่างชัดเจน พร้อมกับทำให้GDP GRWOTHปรับตัวลดลงต่อเนื่อง จาก 6.8%YOY สู่ 5.8%YOY


เช่นเดียวกับบ้านเรา ที่ภาคการนำเข้า-ส่งออก ช่วง TRADE WAR ทรุดหนักหลายไตรมาสติดต่อกัน ซึ่งกดดันให้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ช้าลงตามไปด้วยขณะที่แนวโน้มส่งออกของไทยไปยังประเทศปลายทางในช่วงนั้น มีการพึ่งพาสหรัฐฯมากกว่าจีน หลังเศรษฐกิจจีนเติบโตน้อยลง โดยในปี 2019 ไทยส่งออกไปจีนลดลง -3.8%YOY และส่งออกไปสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น +11.8%YOY


สำหรับกลุ่มสินค้าส่งออกจากไทยไป US ที่สำคัญ อาทิ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่องจักรกล, เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์, รถยนต์ อุปกรณ์และ
ส่วนประกอบ, ทูน่ากระป๋อง เป็นต้น ฝ่านวิจัยคาดว่าจะได้อานิสงค์ต่อ หากไทยส่งออกไป US มากขึ้น มองเป็นบวกต่อหุ้น DELTA, KCE, HANA, TUอย่างไรก็ตามอาจจะต้องจับตาการเข้ามาของสินค้าจีน ที่มีโอกาสแย่งส่วนแบ่งตลาดในบ้านเรา โดยสินค้าที่ไทยนำเข้าจากจีน ที่สำคัญ อาทิ น้ำมันสำเร็จรูป, ผลิตภัณฑ์ทำจากพลาสติก, เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน, เครื่องใช้และเครื่องตกแต่งภายในบ้านเรือน,เสื้อผ้า รองเท้า และผลิตภัณฑ์สิ่งทออื่น ๆ, ผัก ผลไม้


ตลาดหุ้นโลกและไทยมีโอกาสผันผวนมากขึ้น
ทรัมป์ เป็นว่าที่ ปธน. สหรัฐ คนที่ 47 วานนี้ เริ่มต้นทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตอบสนองในเชิงบวกแรง โดยวานนี้ตลาดหุ้นสหรัฐ +2.5% ถึง 5.9% จากความคาดหวังการลดภาษีนิติบุคคลลงจาก 21% เหลือ 15% โดยตลาดคาดว่าจะหนุน EPSGROWTH25F ของดัชนี S&P500 ขึ้น 4% เป็น 9.4 เหรียญต่อหุ้น อิง P/E 25 เท่าTARGET หุ้นสหรัฐขึ้น 235 จุด ราว 3.9% แสดงให้เห็นว่าตลาดหุ้นสหรัฐตอบสนองประเด็นนี้ไประดับหนึ่งแล้ว


ส่วนประเด็นสำคัญที่อาจกดดดันให้ตลาดหุ้นโลกรวมถึงตลาดหุ้นไทยผันผวน คือความกังวลประเด็นสงครามการค้าครั้งที่ 2 อาจจะกลับมา ถ้าจำกันได้ในตอนที่เกิดประเด็นสงครามการค้าในปี 2018 แม้ตลาดหุ้นสหรัฐจะมี EPS GROWTH โตแรง21% แต่ตลาดหุ้น S&P500 ก็ยังปรับฐานลึก -6.2% ในปีนั้น ส่วนตลาดหุ้นไทยในปี2018 เป็นปีที่ FUND FLOW ไหลออกมากสุดในประวัติศาสตร์ -2.87 แสนล้านบาทกดดัน SET INDEX -10.8% พร้อมกับ EPS GORWTH ลดลงต่อเนื่อง ปี 2018 -2.85% และปี 2019 -7.4%

 


Research Division
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส

ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

อ่อนตัว By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ วันนี้ พรุ่งนี้ ประเทศไทย เข้าสู่ฤดูฝน ตอนนี้แถว รัชดาฯฝนตก อากาศเย็นสบาย นั่งมองหุ้นหลาย....

หมดข่าว เลิก By : นายกล้วยหอม

นายกล้วยหอม เห็น นักลงทุนต่างชาติ ขายหุ้นไทยออก วานนี้ หลังจาก สหรัฐกับจีน ตกลงการค้า จบด้วยดี.....

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้