สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(16 ตุลาคม 2567)----นายสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการบริษัท บริษัท กิฟท์ อินฟินิท จํากัด (มหาชน)GIFT เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมของบริษัทฯ ครั้งที่ 8/2567 ซึ่งประชุมเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2567ได้มีมติให้เสนอที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 2/2567 เพื่อพิจารณาอนุมัติแผนการปรับโครงสร้างกลุ่มบริษัทของบริษัท อาร์เอส จํากัด (มหาชน) (“RS”) และบริษัทฯ (“แผนการปรับโครงสร้างกลุ่มบริษัท”) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้บริษัทฯ เป็นบริษัทย่อยที่เป็นผู้นําของกลุ่มบริษัท RS (Flagship Company) ในการประกอบธุรกิจเทคโนโลยีและนวัตกรรม(Tech & Innovations) ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (Food & Beverage) และธุรกิจสุขภาพและความงาม (Hospitality, Wellnessand Beauty) ต่อไป ทั้งนี้ สืบเนื่องจากในปัจจุบัน บริษัทฯ ดําเนินธุรกิจเกี่ยวกับเทคโนโลยีและนวัตกรรม (Tech & Innovations)ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (Food & Beverage) และธุรกิจสุขภาพและความงาม (Hospitality, Wellness and Beauty) โดยที่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ ได้แก่ นายสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์(“นายสุรชัย”) เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ใน RS ซึ่ง RS มีการประกอบธุรกิจที่หลากหลาย ซึ่งรวมถึงธุรกิจจําหน่ายผลิตภัณฑ์แบบหลายช่องทาง โดยเมื่อพิจารณาจากลักษณะการประกอบธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจสุขภาพและความงาม (Hospitality, Wellness and Beauty) ของบริษัทฯ และธุรกิจจําหน่ายผลิตภัณฑ์แบบหลายช่องทางของ RS จะพิจารณาได้ว่าธุรกิจทั้งสองดังกล่าวเป็นธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง และสนับสนุนซึ่งกันและกัน ดังนั้น เพื่อประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจ การต่อยอดธุรกิจ การผนึกกําลังและสร้างร่วมกัน (Synergy) การบริหารจัดการ และความโปร่งใส ปราศจากเหตุที่อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์ที่อาจมีขึ้นในอนาคต บริษัทฯ จึงเห็นควรดําเนินการตามแผนการปรับโครงสร้างกลุ่มบริษัท
เพื่อให้ RS เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ โดยภายใต้แผนการปรับโครงสร้างกลุ่มบริษัทในครั้งนี้ RS จะเข้าถือหุ้นในบริษัทฯ ในสัดส่วนไม่ถึงร้อยละ 50 ของจํานวนสิทธิออกเสียงทั้งหมดของบริษัทฯ และบริษัทฯ จะมีสถานะเป็นบริษัทย่อยของ RSเนื่องจาก RS จะมีอํานาจควบคุมคะแนนเสียงส่วนใหญ่ในที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ รวมถึงบริษัทฯ จะเข้าลงทุนในธุรกิจจําหน่ายผลิตภัณฑ์แบบหลายช่องทางของ RS ทั้งนี้ ภายหลังการดําเนินการตามแผนปรับโครงสร้างกลุ่มบริษัท RS ในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่และผู้มีอํานาจควบคุมของบริษัทฯ ตระหนักและรับทราบว่าการดําเนินธุรกิจที่คล้ายคลึงกันอาจเข้าข่ายเป็นการประกอบธุรกิจที่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ ดังนั้น RS และบริษัทฯ จึงได้กําหนดให้มีมาตรการและแนวทางในการจัดการความขัดแย้งทางผลประโยชน์เพื่อให้เกิดความโปร่งใส และผลประโยชน์ที่ดีที่สุดของผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มโดยรวม
โดยมีรายละเอียดังต่อไปนี้
(1) บริษัทฯ จะออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจํานวนไม่เกิน 651,759,296 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ0.50 บาท คิดเป็นไม่เกินร้อยละ 29.28ของจํานวนหุ้นที่ออกและจําหน่ายแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ (ภายหลังการจดทะเบียนเพิ่มทุนชําระแล้ว) ในราคาเสนอขายหุ้นละ 4.20 บาท คิดเป็ นมูลค่าทั้งสิ้นไม่เกิน2,737,389,043.20 บาท ให้แก่ RS โดย RS จะชําระค่าหุ้นดังกล่าวด้วยการโอนหุ้นในบริษัท จี เวลล์ จํากัด(“G WELL”)ซึ่งเป็นบริษัทที่ถือหุ้นในบริษัท อาร์เอส ลิฟเวลล์ จํากัด (“RS Livewell”) ซึ่งประกอบธุรกิจจําหน่ายผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงามแบบหลายช่องทาง จํานวน 34,999,998 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาทคิดเป็นร้อยละ 99.99ของจํานวนหุ้นที่ออกและจําหน่ายแล้วทั้งหมดใน G WELL ให้แก่บริษัทฯ แทนการชําระค่าหุ้นด้วยเงินสด (Share Swap) โดยมีอัตราการแลกเปลี่ยนหุ้น (Share Swap Ratio) ที่ 1 หุ้นของ G WELLต่อประมาณ 18.62 หุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯ โดยภายหลังจากที่บริษัทฯ ได้มาซึ่งหุ้นดังกล่าวใน G WELLแล้ว G WELL จะโอนกิจการทั้งหมดของ G WELL ให้แก่บริษัทฯ ซึ่งรวมถึงหุ้นใน RS Livewell จํานวน34,999,998 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท คิดเป็นร้อยละ 99.99ของจํานวนหุ้นที่ออกและจําหน่ายแล้วทั้งหมดใน RS Livewell และภายหลังจากที่ G WELL โอนกิจการทั้งหมดให้แก่บริษัทฯ แล้ว G WELLจะยุติการประกอบธุรกิจ และดําเนินการชําระบัญชีเพื่อเลิกกิจการต่อไป
(2) บริษัทฯ และ/หรือ บริษัทย่อยของบริษัทฯ จะรับโอนธุรกิจที่ดําเนินการด้านการจําหน่ายผลิตภัณฑ์ของคู่ค้าและพันธมิตรแบบหลายช่องทาง (Product Partner) รวมถึงทรัพย์สินและหนี้สินที่เกี่ยวข้องกับการดําเนินงานของธุรกิจดังกล่าว ที่ดําเนินการโดยบริษัท อาร์เอส มอลล์ จํากัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ RS ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ99.99ของจํานวนหุ้นที่ออกและจําหน่ายแล้วทั้งหมดในบริษัท อาร์เอส มอลล์ จํากัด โดยคู่สัญญากําหนดราคาซื้อขายโดยอ้างอิงจากมูลค่าของธุรกิจดังกล่าว (Enterprise Value) ณ วันที่ธุรกรรมเสร็จสมบูรณ์ แต่รวมทั้งสิ้นไม่เกิน 600,000,000 บาท โดยบริษัทฯ จะชําระราคาซื้อขายสําหรับธุรกิจดังกล่าวให้แก่บริษัท อาร์เอส มอลล์จํากัด เป็นเงินสดทั้งจํานวนเนื่องจากในปัจจุบัน RS1 ไม่ได้ถือครองหลักทรัพย์ใด ๆ ในบริษัทฯ ดังนั้น การออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ RS ภายใต้แผนการปรับโครงสร้างกลุ่มบริษัทในจํานวนไม่เกิน 651,759,296 หุ้น หรือคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 29.28 ของจํานวนหุ้นที่ออกและจําหน่ายแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ (ภายหลังการจดทะเบียนเพิ่มทุนชําระแล้ว) ในครั้งนี้ จะส่งผลให้ RS ได้มาซึ่งหุ้นสามัญใน
1 ณ วันที่ของสารสนเทศฉบับนี้ ไม่มีบุคคลตามมาตรา 258 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 (รวมทั้งที่มีการแก้ไขเพิ่มเติม) ของ RS รายใดถือหุ้นในบริษัทฯ
บริษัทฯ จนมีสัดส่วนข้ามจุดที่จะต้องทําคําเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของกิจการ (Mandatory Tender Offer) ตามที่กําหนดในประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุน ที่ ทจ.12/2554เรื่อง หลักเกณฑ์เงื่อนไขและวิธีการในการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงํากิจการ ลงวันที่13 พฤษภาคม 2554(รวมทั้งที่มีการแก้ไขเพิ่มเติม) (“ประกาศ ทจ. 12/2554”) อย่างไรก็ดีRS มีความประสงค์ที่จะขอผ่อนผันการทําคําเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของบริษัทฯ โดยอาศัยมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นของกิจการ (Whitewash) ตามประกาศสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ที่ สก. 29/2561เรื่อง หลักเกณฑ์ในการขอผ่อนผันการทําคําเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของกิจการ โดยอาศัยมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นของกิจการ ลงวันที่ 30 พฤษภาคม 2561 (รวมทั้งที่มีการแก้ไขเพิ่มเติม) (“ประกาศ สก. 29/2561”) ทั้งนี้โปรดพิจารณาข้อมูลเพิ่มเติมในรายละเอียดเกี่ยวกับการขอผ่อนผันการทําคําเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของกิจการ โดยอาศัยมติที่ประชุมผู้ถือหุ้น (Whitewash) (สิ่งที่ส่งมาด้วย 4)
นอกจากนี้ ภายหลังจากที่ RS ได้มาซึ่งหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯ ในครั้งนี้แล้ว RS จะซื้อหุ้นสามัญเดิมในบริษัทฯ จากนายสุรชัย จํานวนไม่เกิน 238,460,960 หุ้น หรือคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 10.71ของจํานวนหุ้นที่ออกและจําหน่ายแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ(ภายหลังการจดทะเบียนเพิ่มทุนชําระแล้ว) มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ในราคาหุ้นละ 4.20 บาท คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้นไม่เกิน 1,001,536,032 บาท และ RS จะรับโอนกิจการทั้งหมดของบริษัท เชษฐโชติ โฮลดิ้งส์ จํากัด (“CCH”) ซึ่งรวมถึงหุ้นสามัญในบริษัทฯ จํานวน 316,500,000 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 14.21ของจํานวนหุ้นที่ออกและจําหน่ายแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ (ภายหลังการจดทะเบียนเพิ่มทุนชําระแล้ว) มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ในราคาหุ้นละ 4.20 บาท คิดเป็ นมูลค่ารวมทั้งสิ้นไม่เกิน1,329,300,000 บาท
ดังนั้น เมื่อแผนการปรับโครงสร้างกลุ่มบริษัทเสร็จสมบูรณ์RS จะเป็นผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงสูงสุดในบริษัทฯ โดยมีสัดส่วนทั้งหมดไม่ถึงร้อยละ 50ของจํานวนสิทธิออกเสียงทั้งหมดของบริษัทฯ (ภายหลังการจดทะเบียนเพิ่มทุนชําระแล้ว)อย่างไรก็ดีเนื่องจากจํานวนการใช้สิทธิของใบสําคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทฯรุ่นที่2 (GIFT-W2) ซึ่งมีกําหนดการใช้สิทธิครั้งสุดท้ายในวันที่30 ธันวาคม 2567 ยังมีความไม่แน่นอน ดังนั้น หากผู้ถือใบสําคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทฯรุ่นที่2(GIFT-W2) ไม่ได้ใช้สิทธิครบทั้งจํานวน ซึ่งจะส่งผลให้จํานวนทุนชําระแล้วของบริษัทฯ ที่ใช้เป็นฐานในการคํานวณสัดส่วนการถือหุ้นของ RS ในบริษัทฯ ลดลงด้วย ซึ่งในกรณีดังกล่าว RS อาจต้องลดจํานวนหุ้นสามัญเดิมในบริษัทฯ ที่ RS จะซื้อจากนายสุรชัยลงเพื่อทําให้ RS มีสัดส่วนการถือหุ้นทั้งหมดในบริษัทฯ ไม่ถึงร้อยละ50ของจํานวนสิทธิออกเสียงทั้งหมดของบริษัทฯ
ในการนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัทฯ จึงเห็นควรอนุมัติธุรกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดําเนินการตามแผนปรับโครงสร้างกลุ่มบริษัท โดยมีมติที่สําคัญที่จะต้องแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (“ตลาดหลักทรัพย์ฯ”) ดังนี้
1. อนุมัติให้นําเสนอต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 2/2567 เพื่อพิจารณาและอนุมัติการเข้าซื้อธุรกิจจําหน่ายผลิตภัณฑ์แบบหลายช่องทางจาก RS ภายใต้แผนการปรับโครงสร้างกลุ่มบริษัท (“ธุรกรรมการได้มาซึ่งสินทรัพย์”) โดยมีรายละเอียดดังนี้
1.1 การเข้าซื้อหุ้นใน G WELLซึ่งเป็นบริษัทที่ถือหุ้นใน RS Livewellซึ่งประกอบธุรกิจจําหน่ายผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงามแบบหลายช่องทางจาก RS และผู้ถือหุ้นรายย่อยของ G WELL ดังต่อไปนี้
1.2 การเข้าซื้อธุรกิจที่ดําเนินการด้านการจําหน่ายผลิตภัณฑ์ของคู่ค้าและพันธมิตรแบบหลายช่องทาง (ProductPartner) รวมถึงทรัพย์สินและหนี้สินที่เกี่ยวข้องกับการดําเนินงานของธุรกิจดังกล่าว ที่ดําเนินการโดยบริษัทอาร์เอส มอลล์ จํากัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ RS ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 99.99 ของจํานวนหุ้นที่ออกและจําหน่ายแล้วทั้งหมดในบริษัท อาร์เอส มอลล์จํากัด โดยคู่สัญญากําหนดราคาซื้อขายโดยอ้างอิงจากมูลค่าของธุรกิจดังกล่าว (Enterprise Value) ณ วันที่ธุรกรรมเสร็จสมบูรณ์แต่รวมทั้งสิ้นไม่เกิน 600,000,000 บาทโดยบริษัทฯ หรือบริษัทย่อยของบริษัทฯ ที่เป็นผู้รับโอนจะชําระราคาซื้อขายให้แก่บริษัท อาร์เอส มอลล์ จํากัดเป็นเงินสดทั้งจํานวน
2. อนุมัติให้นําเสนอต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 2/2567 เพื่อพิจารณาและอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯจํานวน 325,879,649 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิมจํานวน 881,082,298.00 บาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่จํานวน1,206,961,947 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจํานวน 651,759,298 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท เพื่อรองรับการออกและเสนอขายหุ้นให้แก่บุคคลในวงจํากัด (Private Placement) นอกจากนี้ได้มีมติอนุมัติให้เสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาและอนุมัติการแก้ไขเพิ่มเติมหนังสือบริคณห์สนธิของบริษัทฯ ข้อ4เพื่อให้สอดคล้องกับการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ
3. อนุมัติให้นําเสนอต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 2/2567 เพื่อพิจารณาและอนุมัติการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจํานวนไม่เกิน 651,759,298 หุ้น หรือคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 29.28ของจํานวนหุ้นที่ออกและจําหน่ายแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ(ภายหลังการจดทะเบียนเพิ่มทุนชําระแล้ว) มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท เพื่อเสนอขายให้แก่บุคคลในวงจํากัด(Private Placement) ได้แก่ RS และผู้ถือหุ้นรายย่อยใน G WELL ในราคาเสนอขายหุ้นละ 4.20 บาท คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้นไม่เกิน 2,737,389,051.60 บาท โดย RS และผู้ถือหุ้นรายย่อยใน G WELL จะชําระค่าหุ้นสามัญเพิ่มทุนดังกล่าวด้วยการโอนหุ้นสามัญเดิมใน G WELLให้แก่บริษัทฯ จํานวนรวมทั้งสิ้น 35,000,000 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 100ของจํานวนหุ้นที่ออกและจําหน่ายแล้วทั้งหมดใน G WELL มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท ในราคาเสนอขายหุ้นละประมาณ78.21 บาท คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้นไม่เกิน 2,737,389,051.60 บาท แทนการชําระค่าหุ้นด้วยเงินสด (Share Swap) โดยมีอัตราการแลกเปลี่ยนหุ้น (Share Swap Ratio) ที่ 1 หุ้นสามัญของ G WELL ต่อประมาณ 18.62 หุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯ
พร้อมกันนี้ อนุมัติให้นําเสนอต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่2/2567 เพื่อพิจารณาและอนุมัติการแก้ไขวัตถุประสงค์ วงเงินงบประมาณ และระยะเวลาการใช้เงินเพิ่มทุนที่ได้รับจากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจากบุคคลในวงจํากัด(Private Placement) และอนุมัติการดําเนินการในส่วนที่เป็ นสาระสําคัญแตกต่างไปจากที่ระบุไว้ในคําเสนอซื้อหลักทรัพย์ (แบบ 247-4) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนําเงินเพิ่มทุนคงเหลือจํานวน 129.50 ล้านบาทไปใช้ลงทุนในธุรกิจที่ดําเนินการด้านการจําหน่ายผลิตภัณฑ์ของคู่ค้าและพันธมิตรแบบหลายช่องทาง (Product Partner) รวมถึงทรัพย์สินและหนี้สินที่เกี่ยวข้องกับการดําเนินงานของธุรกิจดังกล่าวภายใต้แผนการปรับโครงสร้างกลุ่มบริษัท
นอกจากนี้ อนุมัติให้นําเสนอต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 2/2567 เพื่อพิจารณาและอนุมัติการเปลี่ยนชื่อบริษัทฯจากเดิมชื่อ“บริษัท กิฟท์อินฟิ นิท จํากัด (มหาชน)” เป็นชื่อใหม่ “บริษัท อาร์เอสเอ็กซ์วายแซด จํากัด (มหาชน)” และการแก้ไขเปลี่ยนแปลงตราประทับ หนังสือบริคณห์สนธิและข้อบังคับของบริษัทฯ เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนชื่อและตราประทับของบริษัทฯ โดยให้มีผลในวันที่ RS เข้าถือหุ้นในบริษัทฯ ตามรายละเอียดข้างต้น ทั้งนี้โปรดพิจารณาข้อมูลเพิ่มเติมในรายละเอียดเกี่ยวกับการเปลี่ยนชื่อบริษัทฯและการแก้ไขเปลี่ยนแปลงตราประทับ พร้อมทั้งการแก้ไขเพิ่มเติมหนังสือบริคณห์สนธิและข้อบังคับของบริษัทฯ เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนชื่อบริษัทฯ และตราประทับของบริษัทฯ
อนุมัติการแต่งตั้งบริษัท พาย แอ๊ดไวเซอรี่จํากัด ซึ่งเป็นที่ปรึกษาทางการเงินที่อยู่ในบัญชีรายชื่อที่สํานักงาน ก.ล.ต.ให้ความเห็นชอบ เป็นที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ (IFA) เพื่อให้ความเห็นต่อผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ในเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับ(1) ธุรกรรมการได้มาซึ่งสินทรัพย์ของบริษัทฯ(2) การออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่บุคคลในวงจํากัด(Private Placement) ที่เข้าข่ายเป็นกรณีมีนัยสําคัญ และรายการระหว่างกัน และ (3) การขอผ่อนผันการทําคําเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของกิจการโดยอาศัยมติที่ประชุมผู้ถือหุ้น (Whitewash) รวมถึงจัดเตรียมเอกสารอื่นใดที่จําเป็นและเกี่ยวข้องตามที่หน่วยงานที่มีอํานาจกํากับดูแลกําหนด
กําหนดวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่2/2567 ในวันที่29 พฤศจิกายน 2567เวลา12.30 น. โดยเป็นการจัดการประชุมผู้ถือหุ้นผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์(e-EGM) เพียงรูปแบบเดียว ตามพระราชกําหนดว่าด้วยการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์พ.ศ. 2563รวมถึงกฎหมายและหลักเกณฑ์อื่นที่เกี่ยวข้องกับการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์เพื่อพิจารณาเรื่องต่างๆ ภายใต้แผนการปรับโครงสร้างกลุ่มบริษัท และเนื่องจากทุกวาระภายใต้แผนการปรับโครงสร้างกลุ่มบริษัทมีความเกี่ยวเนื่องกัน ดังนั้น ทุกวาระจะต้องได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น จึงจะถือว่าแผนการปรับโครงสร้างกลุ่มบริษัทได้รับอนุมัติ หากมีวาระใดที่ไม่ได้รับอนุมัติ จะถือว่าวาระอื่นภายใต้แผนการปรับโครงสร้างกลุ่มบริษัทไม่ได้รับอนุมัติทั้งหมด