Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.เอเซีย พลัส : Market Talk

487


ขับเคลื่อน ด้วยกำลังภายใน
มองเห็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยที่ชัดเจนขึ้น เริ่มจากผลของการกระจายเม็ดเงินให้กลุ่มเปราะบาง 1.4 แสนล้านบาท, งบประมาณปี 25683.75 ล้านล้านบาท ที่เริ่มเบิกจ่ายได้ตั้งแต่ 1 ต.ค.67, การเข้ามาลงทุนDATA CENTER ของผู้เล่นระดับโลก รวมถึงการเข้าสู่ช่วง HIGHSEASON ของภาคการท่องเที่ยว องค์ประกอบดังกล่าวน่าจะทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตในอัตราที่สูงอย่างน้อยในช่วง 6 เดือนข้างหน้า ส่วนตลาดหุ้นไทย แม้ระยะหลังFUND FLOWจากต่างประเทศจะเริ่มแผ่วลง แต่ก็เชื่อว่าเป็นการชะลอในระยะสั้น ขณะเดียวกัน แรงขับเคลื่อนจากเม็ดเงินในประเทศผ่านนักลงทุนสถาบัน จากกองทุนวายุภักษ์ และ THAILAND ESGFUND ก็น่าจะเข้ามาเสริมแทน โดยภาพรวมอาจกล่าวได้ว่า ทั้งเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ ถูกขับเคลื่อนด้วยกำลังภายในวันนี้ประเมินว่า SET INDEX น่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 1445 – 1457จุด โดยทิศทางในระยะกลางยังเป็นบวก และมีโอกาสขึ้นไปทดสอบ 1500 จุดได้ในระยะต่อไป หุ้น TOP PICK วันนี้เลือก GPSC, MTC และ WHA

 

FED ส่งสัญญาณไม่รีบลดดอกเบี้ยเร็ว คาดชะลอเงินบาทแข็งค่า
วานนี้ นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธาน FED ได้กล่าวสุนทรพจน์ในงานประชุมของสมาคมเศรษฐศาสตร์ธุรกิจแห่งชาติส่งสัญญาณเดินหน้าปรับลดดอกเบี้ยต่อไปให้อยู่ในระดับ NEUTRAL สอดคล้องกับการเติบโตของเศรษกิจสหรัฐฯ แต่เน้นย้ำว่าแนวทางการปรับดอกเบี้ยในอนาคต อาจไม่ได้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ (ไม่รีบลดดอกเบี้ยลงเร็วๆ) ท่ามกลางเศรษฐกิจสหรัฐฯในปัจจุบันยังดูดีทั้งนี้ การตัดสินใจดำเนินนโยบายการเงินของFED จะพิจารณาข้อมูลที่เข้ามา MEETING-BY-MEETINGความเคลื่อนไหวดังกล่าวส่งผลให้ตลาดฯ เทน้ำหนักมากขึ้นเป็น 63% ที่คาดว่า FEDจะลดดอกเบี้ยเพียง 0.25% ในการประชุมครั้งถัดไปในวันที่ 7 พ.ย. นี้


ในอีกแง่มุมหนึ่งจากผลที่ FED มีโอกาส DOVISH มากขึ้นคือ ทิศทางค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มชะลอการอ่อนค่าลง ซึ่งในเชิงเปรียบเทียบจะทำให้เงินบาทชะลอการแข็งค่าตามไปด้วย อาจไม่เป็นที่ดึงดูดให้เม็ดเงินจากต่างชาติไหลเข้ามาในไทยอย่างไรก็ตามบ้านเรายังได้แรงขับเคลื่อนจากเม็ดเงินภายในประเทศทั้ง THAI ESGรวมถึงกองทุนวายุภักษ์ ซึ่งจะเริ่มเข้าซื้อขายใน SET วันนี้เป็นวันแรก ฝ่ายวิจัยฯ แนะนำ10 หุ้นเด่นกองทุนวายุภักษ์ ESG “AAA” ได้แก่ PTT BCP KTB ADVANC SCCKBANK CRC CPF SCGP OR

สรุป การประชุม FED รอบเดือน พ.ย. นี้ ตลาดคาดอาจเห็นการปรับลดดอกเบี้ยแค่0.25% (เดิมคาด 0.5%) มีโอกาสส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มชะลอการอ่อนค่าลง และเงินบาทชะลอการแข็งค่า กดดัน FUND FLOW ต่างชาติไหลเข้าไทยน้อยลงอย่างไรก็ตาม บ้านเรายังมีเม็ดเงินหนุนภายในประเทศทั้งจาก TESG และกองทุนวายุภักษ์

 

งบประมาณปี 68 เตรียมอัดฉีดเข้าระบบ ดันเศรษฐกิจพุ่งทยานหุ้นกลุ่มใดได้ประโยชน์บ้าง
หลังจากที่มติวุฒิสภา เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2568 ในวาระ 3 ด้วยคะแนน174 เสียง ต่อ 3 เสียง ล่าสุด พ.ร.บ.ดังกล่าวได้รับการ โปรดเกล้าฯ ลงมา และเตรียมอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจในระยะถัดไป โดยมีผลตั้งแต่1 ต.ค.67 ซึ่งคาดหนุนให้เศรษฐกิจบ้านเราเติบโตได้ไม่ยากนัก เนื่องจาก รัฐบาลปัจจุบันมีเม็ดเงินที่สามารถนำมากระตุ้นเศรษฐกิจได้ทันที จากเม็ดเงินคงเหลือของงบประมาณปี 2567 + เม็ดเงินใหม่จากการอนุมัติงบประมาณปี 2568เพื่อทยอยขับเคลื่อน GDP GROWTH ไทยในช่วง 4Q67-2568 ขณะที่เป้าหมายการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยของภาครัฐฯ ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การใช้จ่ายภาครัฐ (G) ที่เห็นสัญญาณจากการเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุนที่มีโอกาสเร่งตัวขึ้นเรื่อยๆ (ล่าสุดมีการใช้จ่ายไปเพียง63% ของงบประมาณลงทุนทั้งหมด) และการบริโภคภาคครัวเรือน (C) เป็นหลัก

ขณะที่นโยบายที่ถูกพูดถึงมากที่สุด คือ หนีไม่พ้นโครงการ DIGITAL WALLET ที่ รมช.คลัง เผยว่าโครงการดังกล่าว พร้อมเดินหน้าต่อ หลังมีการตั้งงบฯกลางซึ่งรวมถึงการแจกเงิน DIGITAL WALLET เฟส 2 ที่ 1.87 แสนล้านบาทไว้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งต้องรอบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจสรุปว่าจะจ่ายเงิน 5000 บาท / 10000 บาท และจะมาในรูปแบบของเงินสด / DIGITAL ขณะที่โครงการคนละครึ่ง ซึ่งหลายฝ่ายเรียกร้อง ก็เป็นเรื่องที่จะนำไปหารือกันในอนาคตส่วนหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์ คือ

การใช้จ่ายภาครัฐ (G) : SCC SCCC STEC CK TASCO
การบริโภคภาคครัวเรือน (C) : CPF CPALL CRC BJC HMPRO CBG MTCSAWAD TIDLOR

GOOGLE ประกาศลงทุน สร้างคลาวด์ – ดาต้าเซ็นเตอร์ในไทยมีผลต่อหุ้นกลุ่มใดบ้าง
วานนี้ GOOGLE ประกาศแผนการลงทุนในประเทศไทยมูลค่า 1,000 ล้านดอลลาร์(36,000 ล้านบาท) เพื่อสร้าง DATA CENTER และ CLOUD REGION ในกรุงเทพฯ และชลบุรีคาดจะช่วยจ้างงานในพื้นที่ได้อีกอย่างน้อย 14,000 ตำแหน่ง และมีส่วนต่อการเพิ่มGDP ได้อย่างน้อย 140,000 ล้านบาท (ราว 0.9% ต่อ GDP ต่อปี) ในช่วงปี 2568 –2572 ขณะที่การกระทำดังกล่าว จะช่วยรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นของการใช้งานGOOGLE CLOUD และ นวัตกรรม AI อีกทั้งบริการต่างๆ ของ GOOGLE ซึ่งเป็นที่นิยมเช่น GOOGLE SEARCH, GOOGLE MAPS และ GOOGLE WORKSPACE ที่องค์กรต่าง ๆ และคนไทยใช้ในชีวิตประจำวัน


ในเชิงของภาพรวม ถือเป็นมุมมองเชิงบวกต่อผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าทั้งกลุ่ม เนื่องจากธุรกิจ DATA CENTER เป็นระบบจัดเก็บข้อมูลจำเป็นต้องมีระบบไฟฟ้าสนับสนุนการทำงานตลอดเวลา จึงจำเป็นต้องใช้ไฟฟ้าในการดำเนินงานเป็นจำนวนมาก อีกทั้งการขยายธุรกิจ DATA CENTER อาจส่งผลกระทบต่อด้านสิ่งแวดล้อม จึงทำให้มีการสนับสนุนการใช้พลังงานหมุนเวียน (RENEWABLE ENERGY) สำหรับธุรกิจ DATACENTER เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยช่วยหนุนให้รัฐบาลเร่งเดินหน้าดานการออกกฏระเบียบเพื่อส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าพลังงานสะอาด อาทิ การทำสัญญาซื้อขายพลังงานไฟฟ้าได้โดยตรง (DIRECT PPA), การขายไฟฟ้าสีเขียว (UTG), หรือการเพิ่มทางเลือกใหม่ๆเพื่อเข้าถึงพลังงานสะอาดได้มากขึ้น อีกทั้งยังเป็นส่วนช่วยเพิ่มการเปิดกรับซื้อ
ไฟฟ้าพลังงานสะอาดใหม่ๆเพิ่มขึ้นในประเทศ ส่งผลให้ผู้ประกอบการโรงไฟฟ้ายังมีโอกาสที่จะได้ขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาดในประเทศไทยเพื่อเตรียมรองรับความต้องกรารใช้ไฟฟ้าที่มีแนวโน้มสูงขึ้นในอนาคต

ส่วนหุ้นโรงไฟฟ้าที่คาดได้ประโยชน์ คือ GULF เนื่องจากบริษัทได้มีการประกาศลงนามสัญญาความร่วมมือกับบริษัท กูเกิ้ล เอเชีย แปซิฟิก จำกัด (GOOGLE) เพื่อดำเนินธุรกิจการให้บริการระบบ GOOGLE DISTRIBUTED CLOUD AIRGAPPED (GDCAIR-GAPPED) ซึ่งเป็นระบบที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานในสภาพแวดล้อมที่ไร้ซึ่งการเชื่อมต่อกับเครือข่ายอินเตอร์เน็ตสาธารณะโดยสิ้นเชิง ซึ่งมีจุดเด่นด้านความเสถียรภาพ และมีความปลอดภัยสูง เหมาะแก่การใช้สำหรับองค์กรในประเทศไทย โดยกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลักเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ต้องจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลที่มีความสำคัญ หรือเป็นความลับ เช่น การให้บริการทางการแพทย์ พลังงานและสาธารณูปโภค หรือการให้บริการด้านความปลอดภัยสาธารณะ เป็นต้น ทั้งนี้ GULFจะเป็นผู้ดำเนินงานในฐานะ MANAGED GDC PROVIDER ผ่านการให้คำปรึกษาและบริการจากผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงการจัดการ ดูแลระบบอย่างครบวงจร ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งในการต่อยอดในธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของ GULF ในการรองรับความต้องการพื้นที่จัดเก็บและประมวลผลข้อมูลที่จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมถึงช่วยต่อยอดในธุรกิจไฟฟ้าของ GULF ได้ในอนาคต และหุ้นโรงไฟฟ้าอื่นๆ มีโอกาสเห็นการใช้พลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้นในอนาคต อย่าง BGRIM GPSC WHAUP เป็นต้นส่วนต่อมา กลุ่มนิคม AMATA และ WHA มีศักยภาพเพียงพอที่จะรองรับ DATACENTER โดยประเมินว่า WHA มีโอกาสได้คว้างานมากกว่า AMATA เนื่องจากฐานลูกค้าของ WHA เป็นกลุ่มอุตสาหกรรม NEW ECONOMY ประกอบกับ WHA มีการพัฒนาบริษัทให้มีความเป็น TECH COMPANYตามด้วยหุ้นกลุ่มสื่อสารขนาดใหญ่อย่าง ADVANC,TRUE ที่แม้ทาง GOOGLE จะมีการสร้างดาต้าเซ็นเตอร์เอง แต่ยังจำเป็นที่จะต้องมีการเชื่อมต่อกับลูกค้าเป้าหมาย
จะต้องอาศัยโครงข่ายพื้นฐาน เช่น เส้นใยแก้วนำแสง ซึ่งมีโอกาสที่ GOOGLE จะเลือกใช้บริการดังกล่าว จากกลุ่ม ADVANC หรือ TRUEส่วนหุ้นกลุ่มรับเหมาสื่อสารมีธุรกิจเกี่ยวกับ DATA CENTER และ CLOUD SERVICEก็คาดได้ประโยชน์เช่นกัน อาทิ AIT, INSET, ITEL ฯลฯ

 

Research Division
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส

เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม, CISA
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน และทางเทคนิค
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

ประคับประคอง By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ บ่ายวันนี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทย คงประคับ ประคอง แกว่งตัวไปมา ท่ามกลาง บริษัทจดทะเบียนไทย...

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้