"Selective Plays"
KSS Daily Strategy : KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "ฟื้นตัว" ต้าน 1460/1465 จุด รับ 1445/1438 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐแกว่ง ดัชนี S&P500 -0.13% ขณะที่ Dow Jones +0.33% สะท้อนหุ้น Value นำ (พลังงาน, สาธารณูปโภค, สื่อสาร) หลังเงินเฟ้อ PCE สหรัฐ ต่ำคาด +2.7%y-y, +0.1%m-m ถ่วง US Bond Yield 10ปี แกว่งลง -3 bps กลุ่มพลังงานเด่น จากจิตวิทยาบวกสถานการณ์ตะวันออกกลางอิสราเอล vs ฮิซบอลเลาะห์ ผสานผลกระทบพายุต่ออ่าวเม๊กซิโก และ คุณ Harris หาเสียง 2 รัฐฯที่ผลิตก๊าซมากที่สุด หนุนการอนุญาตให้ส่งออกได้ หากชนะเลือกตั้ง หนุนราคาก๊าซธรรมชาติ NYMEX ดีดตัว +5.4% ส่วนภายใน ภาคบริการเด่นขึ้น จากการเข้าสู่ Golden Week ของจีน ตามด้วยช่วงฤดูกาล ขณะที่คาดว่าจะมีการออกมาตรการ เราเที่ยวด้วยกัน และการเดินหน้ามาตรการกระตุ้นบริโภค สร้างความต่อเนื่องในปี 2025 มอง SET วันนี้ฟื้น หุ้นนำ คือ กลุ่มได้ประโยชน์ดอกเบี้ยขาลง (โรงไฟฟ้า เช่าซื้อ) กลุ่มอิงภาคบริการ (ท่องเที่ยว ค้าปลีก) กลุ่มพลังงานต้นน้ำ กลุ่มลุ้นความคืบหน้า Infra Tech จาก Google เตรียมพบนายกวันนี้ แนะนำ AOT, ADVANC, GPSC เด่น
Daily outlook: "ฟื้นตัว" ต้าน 1455/1460 จุด รับ 1444/1438 จุด
What happened around the world ?
(*) US Stocks : ตลาดหุ้นสหรัฐแกว่งตัวขึ้นช่วงท้ายตลาด Dow jones (+0.04% apple +2.2%, chevron +1.22%), S&P500 +0.42%d-d Nasdaq +0.36%d-d โดยดัชนี S&P 500 Sectors ปรับขึ้นคือ กลุ่ม Energy, ICT , real estate, Health care ฯลฯ ส่วนกลุ่มที่ปรับลงและ Underperform นำโดย Materials , Consumer discretionary ส่วนหุ้นที่เคลื่อนไหวเด่น FedEx +2.3%, CVS Health corp +2.44%, Micron -3.53% หลังจากปรับขึ้นแรงช่วงก่อน ฯลฯ
(*) Fed Speaks ช่วงเช้ามืด ประธาน Fed Powell กล่าวสุนทรพจน์เผย ส่งสัญญาณธนาคารกลางสหรัฐจะกลับไปลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% การประชุม ในเดือน พ.ย. (จากการประชุมรอบรอบล่าสุดที่ Fed ลดดอกเบี้ยครั้งแรกลง 50 bps และตลาดคาดอาจจะเห็นการลดต่อในระดับ50 bps) โดยรวมทำให้ประเมินจาก Dotplot ที่คาดจะเห็นการลดดอกเบี่ยในปีนี้อีก 50 bps ทำให้ประเมินการประชุมอีก 2 ครั้ง คือรอบ พ.ย. และ ธ.ค. Fed จะลดดอกเบี้ยครั้งละ 25 bps ยังย้ำดอกเบี้ยขาลง
(*/+) China Property Stimulus 1.) PMI ผลิต จีน เดือน ก.ย. แม้จะยังต่ำ 50 จุด แต่เร่งขึ้นแรงมาอยู่ที่ 49.8 จุด สูงกว่าตลาดคาด 49.5 จุด แม้ PMI ภาคบริการ จะลดลงอยู่ที่ 50.0 จุดต่ำกว่า ตลาดคาด 50.4 จุด ส่วน Caixin PMI ผลิต พลิกลดลงอยู่ที่ 49.3 จุด ต่ำกว่าตลาดคาด 50.5 จุด อย่างไรก็ตามเนื่องจากภาคการผลิตของจีนมีสัดส่วนใน GDP สูงราว 26.2% และกลับมาฟื่นตัวเหนือ 50 จุดอีกครั้ง ผสานกับแนวโน้มจะดีขึ้นหนุนจาก มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีน อาทิ การผลักดันใช้ชิปในประเทศ คือ ไม่ให้บริษัทในประเทศซื้อชิปของ Nvidia เพื่อผลักดันอุตสาหกรรมชิปในประเทศจีน และเตรียมพร้อมให้กับบริษัทเทคฯ ขนาดเล็กที่อาจโดนสหรัฐฯ แบน และมาตรการกระตุ้นอสังหา อาทิ ธนาคารกลางจีนสั่งลดดอกเบี้ยบ้านที่ยังผ่อนไม่หมดให้ต่ำกว่าดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี (LPR) อย่างน้อย 0.30% ภายใน 31 ต.ค. 67 และ นโยบายผ่อนคลายข้อจำกัดการซื้อบ้านในเมืองกว่างโจว โดยให้หยุดตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ซื้อบ้านและไม่จำกัดจำนวนบ้านที่เป็นเจ้าของ ทำให้ตลาดประเมิน เศรษฐกิจโลกและประเทศหัวเรือใหญ่ของโลกจะได้อานิสงค์มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นตลาดหุ้นจีน ให้น้ำหนักการลงทุนเป็น Over weight เน้นลงทุนกองทุนใน KFCSI300-A, KFACHINA-A และหุ้นกลุ่ม China Play เน้น SCC, STA, IVL, PSL
(*/+) Chip : สำนักงานสถิติแห่งชาติเกาหลีใต้รายงาน Stocks ชิป Semiconductors เกาหลีใต้ปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็วที่สุดนับตั้งแต่ปี 2552 สต๊อกชิปคงคลังเดือนส.ค. ลดลง 42.6%y-y ขณะที่การผลิตและการจัดส่งขยายตัว 10.3% และ 16.1% ตามลำดับ หนุนจาก ความนิยมที่เพิ่มขึ้นของชิป Samsung Electronics และ SK Hynix ประเมินเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นชิ้นส่วนในไทย อาทิ DELTA, KCE HANA
(*) To monitor ฝั่งสหรัฐ 1 ต.ค. PMI ภาคผลิต (ISM) ไม่มีคาด vs prev. 47.3 จุด 3 ต.ค. PMI ภาคบริการ (ISM) ไม่มีคาด vs prev. 52.5 จุด 4 ต.ค. ยอดจ้างงานนอกภาคเกษตร ก.ย.24 ตลาดคาด 1.4 แสนตำแหน่ง vs prev. 1.42 แสนตำแหน่ง อัตราว่างงาน ตลาดคาด 4.2% vs prev. 4.2% ฝั่งยุโรป 1 ต.ค. เงินเฟ้อ CPIก.ย.24 ไม่มีคาด vs prev. 2.2%y-y, 0.1%m-m Golden Week: 1-7 ต.ค.ติดตามกระแสท่องเที่ยวชาวจีนในช่วง (Golden Week)
(*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐ พลิกปรับขึ่น. อายุ 2 ปี ปรับขึ้นอีกครั้ง +9 bps อยุ่ที่ 3.64% อายุ 10 ปี +3 bps อยู่ที่ 3.78% (US Bond yields 10 ปี และ Thai Bond yield10 ปี มีค่าสหสัมพันธ์สูงราว 0.6 หรือไปทางใดเดียว) ประเมินเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มประกันชีวิต ธนาคาร ส่วน Dollar Index แกว่งตัวบริเวณ 100.4
(*/+) Oil : น้ำมันดิบบวกต่อเป็นวันที่ 2 แต่อัตราการขึ้นเริ่มชะลอ อิง Brent +0.03%d-d ปิดที่ US$ 71.98/barrel. น้ำมันดิบ West Texas +0.02%d-d ปิดที่ US$ 68.29/barrel แรงหนุนจากความตึงเครียดสงครามในตะวันออกลางหลังอสราเอลโจมตีสำนักงานใหญ่กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ ผสานคาดการณ์เศรษฐกิจจีนจะดีขึ้นจากมาตรการกระตุ้นของทางการที่ออกมาต่อเนื่อง โดยรวมเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำ อาทิ PTT, PTTEP
(*/+) Steel Price : ราคาสินแร่เหล็กปรับขึ้น + 8.15%อยู่ที่ 815 รับข่าวเมืองใหญ่จีนผ่อนคลายข้อกำหนดซื้อบ้าน ทำให้คาดคาดการณ์แนวโน้มราคาเหล็กทั้งเหล็กรีดร้อนปรับขึ้นตาม มองเป็นบวกต่อหุ้น จีนกระตุ้นอสังหาฯ ราคาเหล็กปรับขึ้น อาทิ กลุ่มธุรกิจเหล็ก TSTH TMT PAP แนะนำเก็งกำไร เน้น TSTH กลุ่มค้าปลีกที่ขายเหล็ก อาทิ DOHOME ราคาเหล็กปรับขึ้น เป็นบวกกับ DOHOME เพราะมีสัดส่วนรายได้จากการขายเหล็กคิดเป็น 30-40%ของรายได้รวม และ GLOBALสัดส่วน 20%ของรายได้รวม
What happened in Thailand ?
(*) SET : SET Index ปรับลง -1.32 จุด (-0.09%) ปิดที่ 1448.83 จุด ตลาดยังรอประเด็นขับเคลื่อนใหม่ๆ กลุ่มหนุน คือ กลุ่มพลังงาน โรงไฟฟ้าเด่น (GPSC, GULF) ตอบรับภาพบวกเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง หนุนหนี้สินต่างประเทศ แปลงเป็นบาทจะมีมูลค่าลดลง ช่วยให้มีกำไร FX กลุ่มเช่าซื้อ (MTC, KTC, SAWAD) รับภาพบวกเงินเฟ้อ PCE สหรัฐฯ ต่ำกว่าคาด กลุ่มถ่วง คือ กลุ่มชิ้นส่วน (DELTA) จิตวิทยาลบเงินบาทแข็งค่า กลุ่มค้าปลีก (CPALL, CRC) มองเริ่มขายทำกำไรระยะสั้น หลังรับข่าวรัฐสนับสนุนเงินกลุ่มเปราะบาง+ผู้พิการไปในช่วงก่อนหน้า
(*/-) Flows: กระแสเงินทุนต่างชาติวันทำการล่าสุดไหลออก ขายพันธบัตร -24.2 ล้านเหรียญฯ ขายหุ้น -29.8 ล้านเหรียญฯ TFEX สถานะ Net short -4,281 สัญญา เงินบาททรงตัว 32.4 +/- บาท
(+) Vayuak Fund: วันนี้ (1 ต.ค.) เม็ดเงินลงทุนกองทุนวายุภักษ์จะเริ่มเข้าลงทุนได้เป็นวันแรก เรามองบวกต่อหุ้นที่กองทุนมีโอกาสเพิ่มน้ำหนักใน 5 ธีมเด่นที่เราวางไว้
กลุ่มที่ 1 หุ้นที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น, อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และมีแนวโน้มเติบโตดีในช่วง 2024 – 2025 ได้แก่ AOT, KTB, PTT
กลุ่มที่ 2 หุ้นที่อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และซื้อขายในระดับ Valuation Zone รวมถึงมีแนวโน้มการเติบโตดี ได้แก่ CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO, SCGP
กลุ่มที่ 3 หุ้นที่มีน้ำหนักใน SETESG สูงและมีแนวโน้มการเติบโตดี อยู่ใน Theme Data Center ได้แก่ ADVANC, GULF มีโอกาสเป็นเป้าหมาย
กลุ่มที่ 4 หุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์ Theme ที่ 4 คือ Div Yield 2024-2025 สูง >5% และอยู่ใน ThaiESG หุ้น (KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH)
กลุ่มที่ 5 หุ้นที่ยังมีน้ำหนักในกองทุนวายุภักษ์น้อย ขณะที่เข้าเกณฑ์ ESG Score (ถ้าอยู่ใน SET100 เรทติ้ง A ขึ้นไป ต่ำกว่า SET100 AA ขึ้นไป การเติบโตปี 2024-25 เกณฑ์ดี CPALL CPAXT BDMS CRC HMPRO IVL MTC BJC WHA
ทั้งนี้ หากพิจารณาปัจจัยอื่นๆที่เกิดขึ้นวานนี้ประกอบ ระยะสั้นแนะนำ AOT (Golden Week), KTB (เศรษฐกิจภายในฟื้นตัว) SCGP SCC (China Plays) GULF (Infra Tech)
(*/+) Cabinet: วันนี้ (1 ต.ค.) ติดตามการประชุม ครม. คาดว่าเริ่มมีการพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ จับตา 3 เรื่อง คือ
1) มาตรการอสังหาฯ (หากคืบหน้ามองบวกหุ้นอสังหาฯ ที่มี Backlog พรัอมขายเป็นหลัก เน้น AP, SC, SIRI, SPALI
2) มาตรการท่องเที่ยว แม้กระแสล่าสุดอยู่ในลักษณะการพิจาณามาตรการ เราเที่ยวด้วยกัน เฟสใหม่ มีผลช่วง มี.ค. - เม.ย. 25 แต่หากมีมาตรการเสริมก่อนหน้านั้นจะเป็นบวกจากความคาดหวังตลาดปัจจุบัน ทั้งนี้ บรรยากาศโดยรวมเข้าสู่ช่วง Golden Week ผสานการเข้าสู่ฤดูกาล และหุ้นท่องเที่ยวยัง Underperform แนะนำสะสมต่อเนื่องในส่วน AOT, ERW และ
3) การอนุมัติโครงการ Mega Projects หากเกิดขึ้นจะบวกต่อหุ้นรับเหมา อาทิ CK, STEC, SCC เน้น SCC หลังจากสัปดาห์ก่อนเน้นหนักไปที่การจัดสรรงบกลางปี 2567 ก่อนสิ้นสุดปีงบประมาณ
(+) Google x Thailand: Google ประกาศ แผนการลงทุนในไทย วงเงิน 1,000 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 3.6 หมื่นล้านบาท สร้าง Data Center และ Cloud Region ในประเทศไทยเรามองบวกต่อหุ้นในธีม Infra Tech อาทิ WHA, GULF, GPSC, STPI, INSET, DELTA, LST ADVANC, TRUE ระยะสั้น เน้นโรงไฟฟ้า GPSC, GULF ที่มีปัจจัย Yield ดิ่งลงตามวงจรดอกเบี้ยและเงินบาทแข็งค่าเป็นแรงหนุน
(*/+) Virtual Bank : รมช. คลัง ไม่เห็นด้วยกับ BOT ที่จำกัดการให้ใบอนุญาตประกอบธุรกิจ Virtual Bank ที่จำนวน 3 ใบอนุญาต โดยมองว่าควรใช้การพิจารณาจากคุณสมบัติมาตัดสินมากกว่า และเสนอแนะ BOT เร่งอนุมัติเร็วกว่า 6 เดือน ทั้งนี้ หากมีการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขตามข้อเสนอดังกล่าว แม้อาจสร้างความเสี่ยงการแข่งขันผู้ที่สนใจเพิ่มขึ้น แต่กรณีได้กลุ่มทุนใหญ่ที่มีความพร้อม เรามองผลกระทบจำกัด จากศักยภาพความพร้อมด้านการบริหารจัดการความเสี่ยง ขณะที่จะบวกต่อกลุ่ม Infra Tech ที่ความต้องการใช้ข้อมูล เพื่อการวิเคราะห์จะเพิ่มสูงขึ้นมีนัยฯ และกลุ่มที่ปรึกษา Digital อาทิ BE8 BBIK ที่มีโอกาสได้งานเร็ว+เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากระบบ Core Banking ของ Virtual Bank ถูกกำหนดให้ลงทุนแยกส่วนออกมา ทั้งนี้ ยังต้องติดตามท่าที BOT อีกครั้ง
(*/+) Entertainment Complex: รมช.คลัง เปิดเผยว่า เตรียมนัดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาในการพิจารณาไม่เกินต้นเดือน ต.ค.67 และจะมีข้อสรุปทั้งหมดออกมา จากนั้นจะรายงานความคืบหน้าให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบต่อไป มองจิตวิทยาบวกต่อหุ้นที่มีได้ประโยชน์หากโครงการดังกล่าวเดินหน้าต่อเนื่อง อาทิ AOT, BTS, VGI, BJC, STEC, ERW, BA, MBK
(*/+) SET50/100 Rebalance: KSS คาด หุ้นเข้า/ออก SET50 และ SET100 รอบ 1H25 โดยใช้ข้อมูล ณ สิ้นเดือนก.ย. ยังเหลือข้อมูลอีก 2 เดือน ประเมินว่า
หุ้นเข้า SET50 ได้แก่ BANPU (โอกาสเข้า SET50 : 90%), SAWAD (90%), COM7 (90%) และ TCAP (70%)
หุ้นออก SET50 ได้แก่ BCP (โอกาสหลุดออกจาก SET50 : 70%), TIDLOR (70%), CENTEL (90%) และ EA (100%)
หุ้นเข้า SET100 ได้แก่ CCET (โอกาสเข้า SET100 : 90%), COCOCO (70%), JTS (70%)
หุ้นออก SET100 ได้แก่ TIPH (โอกาสหลุดออกจาก SET100 : 70%), MBK (90%), RBF (100%)
(*) Thai Flood: สถานการณ์น้ำจากรายงานของคลังข้อมูลน้ำแห่งชาติ ณ วันที่ 30 ก.ย. 24 พบว่าปริมาณน้ำเก็บกักในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ 35 แห่งทั่วประเทศอยู่ที่ระดับ 75% ปรับขึ้นเล็กน้อยจากระดับ 73% ในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้ตัวเลขจะปรับขึ้นแต่ยังอยู่ต่ำกว่าระดับ 80% ยังสามารถบริหารจัดการได้ พื้นที่ภาคเหนือซึ่งประสบปัญหาน้ำท่วมหนักในสัปดาห์ที่ผ่านมาสถานการณ์เริ่มดีขึ้น จำนวนอ่างเก็บน้ำที่มีปริมาณระดับน้ำสูงกว่าระดับ 80% ลดลงเหลือ 3 แห่งจาก 4 แห่ง, จำนวนอ่างที่มีปริมาณน้ำล้นเขื่อน (มากกว่า 100%) ลดลงเหลือ 1 แห่งจาก 2 แห่ง ส่วนพื้นที่รับน้ำลำดับถัดไปคือ ภาคกลาง ระดับน้ำในอ่างเก็บน้ำปรับขึ้นสู่ระดับ 53% จาก 50% ในช่วงปลายสัปดาห์ ซึ่งยังอยู่ในระดับต่ำมาก ณ สถานการณ์ปัจจุบันหากไม่มีพายุเข้ามาซ้ำเติมในช่วง 1-2 สัปดาห์นี้ โอกาสที่ไทยจะประสบปัญหาน้ำท่วมใหญ่คล้ายปี 2554 ยังเป็นไปได้ต่ำ เบื้องต้น Krungsri research ประเมินผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมต่อ Downside GDP ปีนี้ที่ราว -0.2% **ฤดูฝนกดดัน SSSG ของกลุ่มค้าปลีกส่งผลให้แนวโน้มกำไรของกลุ่มฯ ชะลอตัว qoq ในไตรมาส 3 แต่จะพลิกดีขึ้นในไตรมาส 4 โดยเฉพาะกลุ่มค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง (DOHOME, GLOBAL) จะฟื้นตัวเด่นจากดีมานด์สินค้าวัสดุก่อสร้างเพื่อซ่อมแซมบ้านหลังน้ำท่วม
(*) To Monitor: : สัปดาห์นี้ ปัจจัยภายในติดตาม 1. ) ติดตามการหารือกันระหว่างกระทรวงการคลังกับ BOT ในส่วนเงินบาทที่แข็งค่าเร็ว และกรอบเงินเฟ้อใหม่ 2.) ปลายสัปดาห์เข้าสู่เทศกาลกินเจ 3-11 ต.ค. 24 มองจิตวิทยาลบกลุ่มจำหน่ายเนื้อสัตว์ (CPF, GFPT, BTG) และจิตวิทยาบวกต่อหุ้นได้ประโยชน์ช่วงเทศกาลกินเจ (CPALL, TVO) และ 3.) 1-7 ต.ค. ติดตาม กระแสท่องเที่ยวชาวจีนในช่วงวันหยุดยาว (Golden Week) มองกระแสมีโอกาสคึกคัก หนุนจิตวิทยาบวกต่อหุ้นการบิน ท่องเที่ยว และกลุ่ม China Plays
Daily Strategy : AOT, ADVANC, เด่น
ระยะสั้น วันนี้มองตลาดหุ้นไทย "ฟื้นตัว" ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ฟื้นตัว สอดรับความเชื่อมั่นวงจรดอกเบี้ยขาลง และเศรษฐกิจประคองได้ ส่วนเด่นขึ้น คือ จีน หลังประกาศกระตุ้นมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯเพิ่มเติม ท้ายที่สุดคาดว่าจะส่งผลบวกต่อไทยที่มีเศรษฐกิจใกล้ชิดเช่นกัน ถือเป็น Upside ต่อเศรษฐกิจไทยเพิ่มเติม จากภายในที่ยังเดินหน้าทางบวก นำโดยวานนี้ Google ประกาศลงทุนในไทย 3.6 หมื่นล้านบาท หนุนภาพระยะกลางการขึ้นเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Tech ชัดเจนขึ้น ขณะที่มาตรการระยะสั้นติดตามจากการประชุม ครม. โดยรวมมองหุ้นนำ 1.) หุ้นในกลุ่ม Infra Tech (GULF, ADVANC, TRUE, BE8, BBIK) 2.) กลุ่มดอกเบี้ยขาลงหนุน (GULF, GPSC, KTC) และ 3.) หุ้น China Plays โดยเฉพาะกลุ่มท่องเที่ยว (AOT, ERW) +กลุ่มได้ประโยชน์ราคาเหล็ก (DOHOME, GLOBAL)
หุ้นที่มีโอกาสถูกเพิ่มน้ำหนักจากกองทุนวายุภักษ์ที่กำลังจะกลับมา
กลุ่มที่ 1 หุ้นที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น, อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และมีแนวโน้มเติบโตดีในช่วง 2024 – 2025 ได้แก่ AOT, KTB, PTT
กลุ่มที่ 2 หุ้นที่อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และซื้อขายในระดับ Valuation Zone รวมถึงมีแนวโน้มการเติบโตดี ได้แก่ CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO, SCGP
กลุ่มที่ 3 หุ้นที่มีน้ำหนักใน SETESG สูงและมีแนวโน้มการเติบโตดี อยู่ใน Theme Data Center ได้แก่ ADVANC, GULF มีโอกาสเป็นเป้าหมาย
กลุ่มที่ 4 หุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์ Theme ที่ 4 คือ Div Yield 2024-2025 สูง >5% และอยู่ใน ThaiESG หุ้น (KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH)
กลุ่มที่ 5 หุ้นที่ยังมีน้ำหนักในกองทุนวายุภักษ์น้อย ขณะที่เข้าเกณฑ์ ESG Score (ถ้าอยู่ใน SET100 เรทติ้ง A ขึ้นไป ต่ำกว่า SET100 AA ขึ้นไป การเติบโตปี 2024-25 เกณฑ์ดี CPALL CPAXT BDMS CRC HMPRO IVL MTC BJC WHA
หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, STPI, LTS, DELTA ADVANC, TRUE, , INSET, BE8, BBIK)
กลุ่มที่ได้ประโยชน์เงินบาทแข็งค่า กลุ่มที่มีหนี้สินต่างประเทศสูง + กลุ่มนำเข้าสินค้า/บริการ/วัตถุดิบ รวมถึงงบลงทุนที่ต้องใช้อุปกรณ์จากต่างประเทศ (GULF, GPSC, BA, COM7, SYNEX, ADVICE, BE8, BBIK, TAN, MOSHI)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (AOT, BTS, VGI, BJC, STEC, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ (IVL, SCGP, DOHOME, GLOBAL, AOT, AAV)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, GPSC, BA, AAV, MTC, AEONTS, TRUE, MINT, CPALL, CPAXT)
• 4Q24 Stock Picks : GULF, GPSC, MTC, CPALL, BJC, BDMS, AOT, KTB, ADVANC, HMPRO Mid-Small Cap Play : TNP, MALEE, MOSHI, CHG, ERW, BA
Tactical & Investment Idea
Research Highlight
• Strategy Update : THB Appreciate
ค่าเงินบาท : เงินบาท/ดอลลาร์ แข็งค่าต่อเนื่องล่าสุด 32.9 บาท (แข็งค่ามากที่สุดในรอบ 1 ปี 8 เดือน -4 บาทจากสิ้น 2Q24 หรือแข็งค่าราว 10%qtd ผลจาก 1.) ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ-ไทยที่มีแนวโน้มแคบลง 2.)Capital Inflow 3.)เศรษฐกิจภายในมีสัญญาณการฟิ้นตัว หลังการเมืองชัด KSS ประเมินแนวโน้มมีโอกาสแข็งค่าต่อ แนวรับสำคัญทางเทคนิคค่าเงินบาทที่ 32.55/32.186 บาท/ดอลลาร์ แนวต้าน 33.17/ 33.34 บาท
ประเมิน Sensitivity เงินบาทที่แข็งค่าทุกๆ 1 บาท กลุ่มที่มี Upside บวกต่อกำไร มากที่สุดคือ กลุ่มการบิน AAV ทุกๆ 1 บาท Upside 1 พันล้านบาท (54% ของกำไรปี 2024) รองลงมาคือกลุ่มโรงไฟฟ้า (BGRIM เพิ่มราว 13%, EGCO เพิ่มราว 8%, GULF และ GPSC เพิ่มราว 3-4% ตามลำดับ) กลุ่มเกษตร TVO เพิ่มราว 3% หุ้น Mid /Small Cap ที่เน้นกลุ่มนำเข้าจากต่างประเทศ คือ MOSHI (นำเข้า 55% ของต้นทุน) KCG (50%) TAN (70%), SABINA (56%) โดยรวมทุกบริษัท ทุกๆ 1% ของค่าเงินที่เปลี่ยนมีผลต่อกำไร ตลาดในปี 2024F เพิ่มราว 1-1.5%. ฯลฯ กลุ่มที่กระทบจากเงินบาทแข็งค่าคือ กลุ่มส่งออก ชิ้นส่วน และ เกษตร มี Downside ราว -2.9%, -1.3% ตามลำดับ
กลยุทธ์การลงทุน : ทิศทางเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่า ประเมินเป็นจิตวิทยาบวกต่อ Fund Flow และบวกต่อการลงทุน 4Q24 โดยยังคงเป้าดัชนี ณ สิ้นปี 2024 ที่ระดับ 1,540 จุด แนะนำลงทุนหุ้นได้ประโยชน์ค่าเงินบาทแข็งค่า และได้ประโยชน์จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลง กลุ่ม Domestic play เน้น กลุ่มโรงไฟฟ้า เน้น GULF, GPSC กลุ่มสายการบิน เน้น AAV กลุ่มเกษตรเน้น TVO กลุ่ม Mid Small เน้น MOSHI, TAN ICHI
• Strategy Update : Vayupak Plays
การแถลงข่าวการนำกองทุนวายุภักษ์วานนี้ KSS มองจุดน่าจะหนุนตลาดหุ้นต่อเนื่อง ได้แก่
1.) เม็ดเงินที่จะระดมทุนรอบนี้ 1.5 แสนล้านบาท จะเป็นเม็ดเงินใหม่ที่ทยอยลงทุนในตลาดนับจาก 1 ต.ค. 24
2.) กองทุน แม้สามารถเลือกลงทุนได้หลากหลาย แต่จะเน้นการลงทุนที่หุ้นไทยเป็นหลัก
3.) เม็ดเงินกองทุนที่จะเพิ่มขึ้น คาดจะเห็นการกระจายเม็ดการลงทุน เน้นลงทุนหุ้นที่มี ESG Score สูง เน้นหุ้นที่มี SET100 ได้เรทติ้ง ESG A ขึ้นไป, ต่ำกว่า SET100 ได้เรทติ้ง AA ขึ้นไป
4.) ข้อจำกัดของกองทุนบางส่วน อาทิ การลงทุนในหุ้นใดหุ้นหนึ่งไม่เกิน 25% ของ NAV และกลุ่มธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งไม่เกิน 30% ของ NAV รวมถึงลงทุนในหุ้นใดหุ้นหนึ่งไม่เกิน 25% ของสิทธิ์ออกเสียง น่าจะทำให้โอกาสการเพิ่มเม็ดเงินใน PTT และ SCB จำกัดขึ้น
5.) กรอบผลตอบแทนวายุภักษ์ 3-9% น่าจะจูงใจเม็ดเงินใหม่ใกล้เป้าหมายระดมทุนที่ 1.5 แสนล้านบาท
เรามองบวกต่อความชัดเจนดังกล่าว มองเม็ดเงินใหม่ที่จะเข้ามาหนุนตลาดในงวด 4Q24 มีนัยฯ โดยการลงทุนกองทุนวายุภักษ์ที่กระจายมากขึ้นสู่หุ้นที่มี ESG Score สูงๆ จะหนุนมีทั้งฝั่งวายุภักษ์ 1.5 แสนล้านบาท และเม็ดเงินการลงทุนลดหย่อนภาษีกองทุน ThaiESG ซึ่งเกณฑ์มีความจูงใจ (ลดหย่อนได้ 30% ของรายได้ วงเงินสูง 3.0 แสนล้านบาท แยกจากวงเงินลดหย่อนภาษีรูปแบบเดิม) จะได้รับความนิยมมากขึ้น โดยรวมมองเม็ดเงินลงทุนเร่งขึ้นในช่วง 4Q24 สูงถึงราว 1.7-1.8 แสนล้านบาท
ทิศทางดังกล่าวคาดจะหนุน SET เดินหน้าสู่เป้าหมายสิ้นปี 2024 ประเมินที่ 1540 จุด ประเมินจะตอบรับเชิงบวกคล้ายกับในอดีต 1 ธ.ค. 2003 ซึ่งกองทุน Vayupak เริ่มซื้อขาย SET Index ปรับขึ้นรวมราว 146 จุดหรือ +22.9% ในช่วง 30 พ.ย. 2003 - 12 ม.ค.2004 จุด Peak ในรอบนั้น
กลยุทธ์การลงทุนแนะนำลงทุนหุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์และอยู่ใน ThaiESG ใน 5 กลุ่ม คือ
กลุ่มที่ 1 หุ้นที่คลังถือหุ้น, อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และมีเติบโตดี 2024 – 2025 (AOT, KTB, PTT)
กลุ่มที่ 2 หุ้นอยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และซื้อขายในระดับ Valuation Zone การเติบโตดี CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO, SCGP
กลุ่มที่ 3 หุ้นที่มีน้ำหนักใน SETESG สูงเติบโตดี อยู่ใน Theme Data Center ได้แก่ ADVANC, GULF
กลุ่มที่ 4 หุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์ Div Yield 2024-2025 สูง >5% และอยู่ใน ThaiESG KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH
กลุ่มที่ 5 หุ้นที่ยังมีน้ำหนักในกองทุนวายุภักษ์น้อย ขณะที่เข้าเกณฑ์ ESG Score (ถ้าอยู่ใน SET100 เรทติ้ง A ขึ้นไป ต่ำกว่า SET100 AA ขึ้นไป การเติบโตปี 2024-25 เกณฑ์ดี CPALL CPAXT BDMS CRC HMPRO IVL MTC BJC WHAใน ThaiESG หุ้น (KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH)
• Strategy Update : Data Center
กระแสเทคโนโลยีสมัยใหม่ Cloud, AI และในอนาคตในส่วนระบบ Automation แม้ไทยอาจจะไม่ได้อยู่ในกลุ่มประเทศต้นน้ำที่ได้ประโยชน์จากการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีขึ้นมาโดยตรง แต่กระแสหลักนี้ จะสร้างโอกาสให้ไทยช่วง 4-5 ปีนับจากนี้ ด้วยศักยภาพการเป็นศูนย์กลางโครงสร้างพื้นฐานสำคัญด้านเทคโนโลยี กล่าวคือ Data Center ในไทย มีจุดเด่นจากพื้นที่ตั้งเป็นศูนย์กลางภูมิภาค, ความพร้อมโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ 4G 5G ที่ครอบคลุม ความเสี่ยงต่อภัยพิบัติต่ำ และกระแสไฟฟ้าที่มีเสถียรภาพและมั่นคง ทำให้ไทยเป็นจุดสนใจ จากการขยาย Data Center จากสิงคโปร์ซึ่งเป็นศูนย์กลางเดิมที่เริ่มมีข้อจำกัด จากการรวบรวมตัวเลข KSS ในส่วนเม็ดเงินลงทุน Data Center ที่มีโอกาสเกิดขี้นในประเทศหลักๆ เราประเมินปัจจุบันมีเม็ดเงินมหาศาลรอลงทุน Data Center ในไทยช่วง 4-5 ปีจากนี้ ไม่น้อยกว่า 2.0 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนสูงราว 1.1% ของมูลค่า GDP ประเทศไทยในปัจจุบัน โดยหากทยอยลงทุน 4-5 ปี เท่ากับผลบวกต่อ GDP ราว 0.2-0.25% ต่อปี ซึ่งยังไม่รวมการนำมาสู่ประโยชน์ด้านดิจิตอลต่างๆ อีกจำนวนมากต่อประเทศ ถือเป็นหนึ่งใน S Curve ใหม่ของไทย และ Upside ของเศรษฐกิจระยะกลาง-ยาวที่เชื่อว่าตลาดยังแทบไม่รวมในประมาณการ GDP
มุมมองเชิงกลยุทธ์ ประเมินว่า Upside จากแรงขับเคลื่อนด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ มีจุดเด่นสำคัญ คือ ปริมาณข้อมูลที่ใช้สนับสนุนจะเติบโตแบบทวีคูณ (Exponential) ซึ่งน่าจะสร้างโอกาสทางธุรกิจสูงกว่าที่ตลาดคาดคิดไว้ และเป็น Thematic Theme ระยะกลาง-ยาว 1-5ปี KSS มีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นที่อยู่ในระบบนิเวศน์ของ Data Center โดยฝั่ง Data Center เราแนะนำผู้ได้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานขยายตัวโดยตรง อาทิ GULF INTUCH ADVANC TRUE INSET DELTA STPI(Non-Coverage) กลุ่ม Digital Tech ที่ Data Center จะนำมาสู่ Upside งานประเภท Cloud Adoption และ AI รวมถึง Automation Adoption ระยะหนุนอุตสาหกรรมเข้าสู่รอบใหญ่ของการขยายตัวอีกครั้ง อาทิ BE8 BBIK ส่วนกระแส Cycle เทคโนโลยี AI ที่ผลักดันอุปกรณ์สื่อสารต่างๆ พัฒนาให้มี AI พื้นฐานติดเครื่องมากขึ้น จะสร้างโอกาส ฟื้นตัวจากรอบการเปลี่ยนอุปกรณ์ตามกระแส AI เราคาดไม่ต่างไปจากยุค 3G 4G หนุนหุ้นได้ประโยชน์ อาทิ HANA , ADVICE(Non-Coverage), SYNEX(Non-Coverage)
Best Picks : GULF, TRUE, DELTA, INSET, BE8, HANA, ADVICE
• SCB (Neutral, TP110): เรามีมุมมอง Slightly Positive ต่อข่าวการปิดการเจรจาซื้อขาย Robinhood ของบริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส จำกัด เพราะ SCB จะรับรู้ค่าใช้จ่ายด้วยค่าสินทรัพย์ (Impairment Asset) น้อยลง 400 ลบ. ส่งผลให้ประมาณประมาณการกำไรสุทธิ 3Q24F ของเราคาดที่ 9.70 พันลบ. เพิ่มขึ้นเป็น 1.01 หมื่นลบ. ภาพรวมเรายังคงคาด dividend yield ของ SCB อยู่ที่ประมาณ 8-9% ต่อปี ซึ่งสูงสุดในกลุ่มธนาคาร
• Energy & Petrochemical (Neutral): ฝั่งต้นน้ำ (น้ำมันดิบ) ทรงตัว w-w ผันผวนในช่วงสัปดาห์ ปัจจัยบวกกังวลสงครามรุนแรงในช่วงต้นสัปดาห์ ถูกหักล้างด้วยความกังวล OPEC+ ไม่เลื่อนการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบ ในสภาวะที่ตลาดกังวลความไม่แน่นอนของ demand น้ำมัน คาด ต.ค. 24 ราคาน้ำมันดิบยังผันผวน เรามองสุดท้าย OPEC จะไม่เลือกกลยุทธ์ที่ฉุดรายได้ประเทศรุนแรง (คาดรายได้ขายน้ำมันดิบราว 22-51% ของ GDP ประเทศผู้ผลิตหลักใน OPEC Vs. ราว 1% สำหรับ U.S.)
ฝั่งโรงกลั่น ค่าการกลั่นสิงคโปร์ (SG GRM) +14% w-w หนุนจาก gasoil spread +11% w-w ได้ความต้องการใช้ของ U.S. +6% w-w, โรงกลั่นในจีนบางส่วนปิดซ่อม และโควต้าส่งออกน้ำมันจีนไม่สูงเท่าตลาดกังวล คาดค่าการกลั่นฟื้น m-m ใน ต.ค. 24 ได้ความต้องการ re-stock รับฤดูหนาว และ supply ที่ตึงตัวขึ้นหลังโรงกลั่นบางส่วนลด run
ฝั่งปิโตรเคมี ส่วนใหญ่ทรงตัว w-w การฟื้นตัวของ demand ยังช้า และยังไม่เห็นการ re-stock i) สายโอเลฟินส์ HDPE spread -2% w-w ส่วน PP spread ทรงตัว w-w ii) สายอะโรเมติกส์ PX spread +7% w-w ได้ demand downstream หนุน และ BZ spread -3% w-w ส่วน iii) สายโพลีเอสเตอร์ (PET) integrated spread -1% w-w คาด ต.ค. 24 สายโอเลฟินส์มีแนวโน้มฟื้นตามการ re-stock/ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในจีน
ภาพสัปดาห์ โรงกลั่นได้ปัจจัยบวกหนุนจาก SG GRM ที่ฟื้นตัวต่ออีกสัปดาห์ แต่ก็มีปัจจัยลบราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลงกลับมากดดันประเด็น stock loss ใน 3Q24F อีก แนะนำรอผ่านช่วง preview กำไร 3Q24F (กลางเดือน ต.ค. 24) ไปก่อน ค่อยกลับมาเก็งกำไรระยะสั้นกลุ่มโรงกลั่น 4Q24F ค่าการกลั่นมีแรงหนุน winter season และ crude premium ที่ลดลง ได้
4Q24F Equity Outlook : Thailand Inflection Point
Stock Best Picks : GULF, GPSC, MTC, CPALL, BJC, BDMS, AOT, KTB, ADVANC, HMPRO
Mid-Small Cap Play : TNP, MALEE, MOSHI, CHG, ERW, BA