"THB Appreciation Plays"
KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "Up" ต้าน 1470/1482 จุด รับ 1455/1450 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐแกว่งตัว ดัชนี S&P500 +0.25% หุ้นเทคเด่นฝั่ง NVIDIA +3.9% ภาพความเชื่อมั่นผู้บริโภค CCI (Conf board) ก.ย. 24 ต่ำกว่าคาด ลดลงเหลือ 98.7 จุด ต่ำสุดใน 5 เดือน จากความกังวลของตลาดแรงงาน กดดัน US Bond Yield 10 ปั ที่รีบาวน์มาสั้นๆ เริ่มลดลง -2 bps และ Dollar Index อ่อนค่า ส่วนเอเชียมีภาพบวก เนื่องจากจีนเริ่มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ช่วยชดเชยผลกระทบเศรษฐกิจโลก บรรยากาศโดยรวมหนุนสินทรัพย์เสี่ยงโดยเฉพาะจีน+TIPs ที่ Laggard และมีปัจจัยเร่ง เป็นเป้าหมายการลงทุน ล่าสุดเงินบาทแข็งค่าสู่ 32.5 บาท แข็งสุดตั้งแต่ต้นปี 22 ผสานพัฒนาการเศรษฐกิจเริ่มมีกระแสมาตรการอสังหาฯ จะมาต่อเนื่องจากท่องเที่ยว และมาตรการกระตุ้นบริโภค 1.45 แสนล้านบาท คาด SET ปรับขึ้นต่อ หุ้นนำ คือ หุ้น Domestic (ค้าปลีก อสังหา ท่องเที่ยว) กลุ่มดอกเบี้ยขาลง (เช่าซื้อ) เงินบาทแข็งหนุน (โรงไฟฟ้า การบิน นำเข้า หนี้สูง High Yield) กลุ่ม China Plays วันนี้แนะ GPSC, AAV, SC
Daily outlook: "Up" ต้าน 1470/1482 จุด รับ 1455/1450 จุด
What happened around the world ?
(+) US Stocks : ตลาดหุ้นสหรัฐแกว่งตัวขึ้น รับตัวเลขความเชื่อมั่นบริโภคสหรัฐชะลอ Dow jones (+0.2%), S&P500 +0.25%d-d Nasdaq +0.57%d-d โดยดัชนี S&P 500 Sectors ปรับขึ้นคือ กลุ่ม Materials, IT, Consumer discretionary ฯลฯ ส่วนกลุ่มที่ปรับลงและ Underperform นำโดย Financials, Utilities, Consumer staples ฯลฯ ส่วนหุ้นที่เคลื่อนไหวเด่น NVIDIA+3.9%, Broadcom +1.1% เป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนอิเ,กทรอนิกส์ไทย Alibaba ADR +7.9% เป็นจิตวิทยาบวกต่อ DR ไทย คือ BABA80
(-)US Econ : 1.) ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค Conf. Board กย. ลดลงอยู่ที่ 98.7 จุด (ต่ำ 100 ครั้งแรกในรอบ 5 เดือน และต่ำกว่าตลาดคาด 102.8 จุด) สะท้อนความเชื่อภาคการบริโภคสหรัฐมีสัญญาณอ่อนตัว 2.) House price Index เดือน กค ชะลอ 4.5%y-y prev. 5.3% และ 0.1%m-m ต่ำกว่าตลาดคาด 0.2% สะท้อนภาพเงินเฟ้อหมวด Shelter สหรัฐมีแนวโน้มลง KSS ประเมินความเชื่อเศรษฐกิจสหรัฐยังผสมผสาน คือ ภาคบริโภคชะลอ แต่ภาคบริการยังขยายตัว ยังคงมุมมองเป็นภาพ Soft landing สนับสนุนวงจรดอกเบี้ยสหรัฐเป็นขาลง
(+)US Tradewar : CNBC เผย อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวเต็งผู้ลงสมัครชิงประธานษธิบดีสหรัฐ ที่จะมีการเลือกตั่งเดือน พ.ย.24 เผย หาก John Deere ผู้นำด้านเครื่องจักรกลการเกษตร หากย้ายการผลิตไปที่โรงงานในเม็กซิโกบริษัทจะต้องเผชิญกับภาษีนำเข้า 200% โดยรวมย้ำภาพการกีดกันการค้าจะยังเดินหน้าต่อไม่ว่าใครจะเป็นประธานษธิบดีสหรัฐคนถัดไป หนุนกระแสย้ายฐานการผลิตมายังประเทศที่ไม่ได้รับผลกระทบ มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มนิคม WHA, AMATA
(+) China Stimulus คุณ Pan Gongsheng ผู้ว่าการธนาคารกลางจีน (PBOC) เปิดเผยว่า PBOC เตรียมกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.)ปล่อยกู้ของธนาคารพาณิชย์จีนผ่านการปรับลดอัตราเงินสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) ระดับ 0.5% 2.)เตรียมปรับลดอัตราดอกเบี้ยซื้อคืน 7 วันจากระดับ 1.7% ลงสู่ระดับ 1.5%, 3)ลดอัตราวางเงินดาวน์สำหรับผู้ซื้อบ้านหลังที่ 2 จาก 25% เหลือ 15% นอกจากนี้ยังมีมาตรการสร้างเสถียรภาพในตลาดทุนด้วยการจัดตั้งกองทุนรักษาเสถียรภาพมูลค่า 8 แสนล้านหยวน (113,000 ล้านดอลลาร์) คิดเป็น 1.76% ของ Market Cap ตลาดหุ้นจีนที่ 6.4 ล้านล้านดอลลาร์ KSS เชื่อว่าหากภาคอสังหาริมทรัพย์ยังฟื้นตัวได้ช้า จะเห็นการกระตุ้นเพิ่มเติมอีก โดยเฉพาะระหว่างการประชุม Politburo ด้านเศรษฐกิจช่วงปลายเดือน ต.ค.
โดยรวมมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มที่มีธุรกิจเชื่อมโยงกับจีน อาทิ BANPU มี 2 เหมืองถ่านหินในจีนปริมาณขายถ่านหิน 10 ล้านตันต่อปี, มี 3 โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมกำลังการผลิตติดตั้ง 613MW, มีโรงไฟฟ้า Solar cell 7 แห่งกำลังการผลิตรวม 177.32MW , IVL มีกำลังการผลิต PET ในจีนคิดเป็น 5% ของกำลังการผลิตรวมของ PTA และ PET ทั้งหมดของ IVL AH รายได้จากจีน 5%, กลุ่ม LogistiCAMA เรือขนส่งน้ำมันพืช น้ำมันปาล์ม มีเส้นทางขนส่งคือจีนเป็นเส้นทางหลักคิด 50% ของการขนส่งทั้งหมด WICE มีสัดส่วนรายได้ในประเทศจีนประมาณ 20-25% กลุ่มที่ได้ประโยชน์ทางอ้อมจีนกระตุ้นอสังหาฯ ราคาเหล็กปรับขึ้น กลุ่มธุรกิจเหล็ก TSTH TMT PAP กลุ่มค้าปลีก อาทิ DOHOME รายได้จากการขายเหล็กคิดเป็น 30-40%ของรายได้รวม GLOBAL มี 20%ของรายได้รวม เน้น IVL ที่ผ่านการตั้งด้อยค่าสินทรัพย์ไปแล้ว และ DOHOME GLOBAL หุ้นอยู่ในโซนฐาน ลุ้นรับประโยชน์ทั้งราคาเหล็กและการซ่อมแซ่มหลังน้ำท่วม นอกจากนี้ แนะนำหุ้นภาคบริการที่มีลูกค้าจีนเป็นฐานหลักด้วย อาทิ AOT AAV
(+) JP Econ: Ueda Speech ผู้ว่า BoJ ส่งสัญญาณจะไม่รีบปรับขึ้นดอกเบี้ย ประเมินความเสี่ยงทางด้านเงินเฟ้อทยอยลดลง ค่าเงินเยนแข็งค่าช่วยลดต้นทุนการนำเข้า อย่างไรก็ตาม BoJ พร้อมปรับเปลี่ยนนโยบายหากปัจจัยแวดล้อมทางเศรษฐกิจมีการเปลี่ยนแปลงจากที่ประเมินไว้ (Data dependence) ** สุนทรพจน์ของประธาน BoJ สอดคล้องกับมุมมองของ KSSซึ่งประเมินว่า BOJ จะใช้ความระมัดต่อการดำเนินนโยบายมากขึ้น เพื่อสร้างเสถียรภาพให้กับค่าเงินเยน และทำให้การลดสถานะ Carry Trade เกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป (MUFG คาด BoJ จะขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% ใน 4Q24) ประเด็นนี้จะทำให้ความผันผวนจาก Yen carry trade ลดลง เป็นบวกต่อการลงทุนในตลาดสินทรัพย์เสี่ยงโดยเฉพาะตลาดหุ้น อย่างไรก็ตามยังคงคำแนะนำ Neutral ในตลาดหุ้นญี่ปุ่น
(*) To monitor ฝั่งสหรัฐ 26 ก.ย. GDP งวด 3Q24 รายงานครั้งที่สาม คาด +2.9%q-q จากรายงานรอบก่อน +3.0%q-q, 27 ก.ย. ติดตามเงินเฟ้อ Core PCE ส.ค. ไม่มีคาด เดือนก่อน +2.6%y-y, +0.2%m-m ฝั่งจีน 25 ก.ย. ติดตามการตัดสินใจดอกเบี้ยกู้ยืมอายุ 1 ปี (1yr Facility Rate) ของ PBOC คาดคงไว้ที่ระดับ 2.3%
(*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐ เป็นภาพแกว่งออกข้าง อายุ 2 ปี ปรับลงต่อวันที่ 2 -4 bps อยุ่ที่ 3.54% อายุ 10 ปี -2 bpsแกว่งอยู่ที่ 3.72% (US Bond yields 10 ปี และ Thai Bond yield10 ปี มีค่าสหสัมพันธ์สูงราว 0.6 หรือไปทางใดเดียว) ประเมินเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มการเงิน MTC กลุ่มโรงไฟฟ้า GULF, GPSC กลุ่มชิ้นส่วน DELTA, HANA ส่วน Dollar Index แกว่งตัวอ่อนค่าบริเวณ 100.04 จุด
(*/+) Oil : น้ำมันดิบ Brent +1.08%d-d ปิดที่ US$ 74.47/barrel. น้ำมันดิบ West Texas +1.7%d-d ปิดที่ US$ 71.5/barrel แรงหนุนจาก Dollar อ่อนค่า และคาดหวังเศรษฐกิจจีนจะฟื้นตัวจากคาดหวังมาตรการกระตุ้นรัฐ เป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำ อาทิ PTT, PTTEP
What happened in Thailand ?
(+) SET : Set วันทำการล่าสุดปรับตัวขึ้นเด่นสอดคล้องภูมิภาค +14.2 จุด หรือ 0.98% ปิดที่ 1462.1 จุด รับอานิสงส์จีนประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ กลุ่มหนุน คือ กลุ่มพลังงาน (PTT, PTTEP, OR) ตอบมุมมองความต้องการน้ำมัน เพิ่มหลังจีนกระตุ้นเศรษฐกิจ หนุนราคาน้ำมันฟื้นตัวระหว่างวันเฉลี่ย 1.5% กลุ่มชิ้นส่วน (DELTA, HANA) กลุ่มปิโตรเคมี (PTTGC, IVL)ตลาดมองเป็นอีกกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการกระตุ้นของจีน กลุ่มถ่วง คือ กลุ่มค้าปลีก (CRC, GLOBAL) และกลุ่มเช่าซื้อ (MTC) ที่ถูกขายทำกำไร หลังจาก Outperform ช่วงก่อนหน้า ขณะที่ MTC มีปัจจัยเฉพาะตัวการประกาศออกหุ้นกู้สกุลดอลลาร์ที่มีต้นทุนสูงขึ้นกว่าต้นทุนเฉลี่ยปัจจุบัน ซึ่งมุมบวกช่วยให้สภาพคล่องการออกระยะกลาง-ยาวดีขึ้น เพิ่มศักยภาพการขยายตัวธุรกิจ
(*/+) Flows: กระแสเงินทุนต่างชาติวันทำการล่าสุดไหลออก ซื้อพันธบัตร +19.1 ล้านเหรียญฯ ซื้อหุ้น +77.7 ล้านเหรียญฯ TFEX สถานะ Net Long 29,351 สัญญา เงินบาทแข็งค่าสู่ 32.7 +/- บาท
(*/+) Rate Cut Speculation: รมว.คลัง เตรียมหารือ ผู้ว่า BOT ในส่วนผลบวก ผลกระทบค่าเงินบาทที่แข็งค่าเร็ว และกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อสัปดาห์หน้า มองอาจนำมาสู่กระแสตลาดมองไปถึงโอกาสลดดอกเบี้ย มองอาจเก็งกำไรหุ้นที่ได้ประโยชน์ดอกเบี้ยขาลง อาทิ โรงไฟฟ้า GULF GPSC หนี้สูง MINT TRUE เช่าซื้อ MTC JMT High Yield ADVANC + กลุ่ม REIT+Property Fund รวมถึงกลุ่มอสังหาฯ ที่เริ่มมีปัจจัยเร่งเข้ามาฝั่งโอกาสพิจารณาออกมาตรการกระตุ้น เน้น AP, SIRI, SPALI
(*/+) Consumption Stimulus: กรแสความคึกคักการบริโภคนับจากวันนี้คาดเร่งขึ้น โดยวันนี้ (25 ก.ย.) เวลา 09.00 น. นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีจะมีงานเปิดตัว (Kick Off) โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2024 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ จำนวน 14.5 ล้านคน โดยจะทยอยจ่ายระหว่าง 25-30 ก.ย. ขณะที่การขับเคลื่อนนโยบายในเฟสที่ 2 แม้ไม่ทันในปี 2024 จากความล่าช้าของระบบ แต่น่าจะเกิดขึ้นได้ทันปี 2025 หนุนเรามองความต่อเนื่องจากการขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวจะเป็นส่วนสำคัญหนุนเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่อเนื่องนับจาก 3Q24 และเป็น Upside ต่อประมาณการตลาดที่ส่วนใหญ่ยังไม่รวมในประมาณการ เชิงกลยุทธ์ แนะนำสะสมหุ้น Domestic ที่ได้ประโยชน์ ค้าปลีก CPALL BJC ธนาคาร BBL KBANK KTB เช่าซื้อ MTC JMT
(*) Cabinet: มติ ครม. วานนี้ ยังไม่มีการพิจารณาเรื่องมาตรการท่องเที่ยวและอนุมัติโครงการ Mega Projects แต่ส่วนใหญ่เป็นมาตรการที่เน้นเรื่องการช่วยเหลือสถานการณ์น้ำท่วมในปัจจุบัน และ อนุมัติงบกลาง 2.1 หมื่นล้านบาท เพื่อรองรับมาตรการบางส่วนที่มีผลไปแล้ว อาทิ มาตรการอุดหนุนยานยนต์ EV ที่ได้เดินหน้าไปแล้ว รวมถึงสนับสนุนงบประมาณบางนโยบายบางหน่วยงานที่เข้ามาเพิ่มเติม
ทั้งนี้ การประชุม ครม. รอบถัดไป ติดตาม กรณี รมช. คลัง คาดนำเสนอมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ แก่ ครม. เร็วๆนี้ โดยจะเป็นการสานต่อนโยบายที่ ครม. เดิมวางแผนไว้ ซึ่งหากเป็นไปในทิศทางดังกล่าว เรามองน่าจะอยู่ในส่วนการผ่อนคลายต่างชาติถือครองที่ดินไม่เกิน 99 ปี ถือครองคอนโดได้ในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น โดยรวมเรามองได้ประโยชน์จากการดึง Demand ของชาวต่างชาติเข้ามาช่วยซับ Supply จิตวิทยาบวกต่อกลุ่มอสังหาฯ ส่วนการกระตุ้นภายใน อาทิ การขยายขอบเขตมาตรการช่วยเหลือค่าธรรมเนียม ค่าจดจำนอง, นำค่าใช้จ่ายซื้อบ้านไปลดหย่อนภาษี รวมถึงการลด Size ขนาด Townhouse หรือ บ้าน เพื่อลดราคาต่อ Unit ทั้งนี้ บนมาตรการข้างต้น เราให้น้ำหนักเรื่องเม็ดเงินต่างชาติ มองฝั่งการเพิ่มกรรมสิทธิ์ในคอนโดเป็นหลัก โดยเรามองผลบวกในบาง developer ที่มีสัดส่วนการขาย condo ที่มากกว่าบริษัทอื่น ซึ่ง AP, SIRI, ANAN เป็นกลุ่มหลัก ผสานภาพพื้นฐานปัจจุบัน เชิงกลยุทธ์แนะนำเก็งกำไร AP, SIRI และ SC
(*) TH Tourism: ยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติสัปดาห์ล่าสุด 15-21 ก.ย. อยู่ที่ 6.0 แสนราย -5.5%w-w ไม่สอดคล้องกับสัญญาณการเดินทางผ่านสนามบิน AOT ที่เพิ่มขึ้น เรามองอาจจะเกิดความผันผวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางโดยวิธีอื่น เช่น มาเลเซีย หนุนนักท่องเที่ยว YTD อยู่ที่ 25.4 ล้านคน เฉลี่ยวันละ 9.6 หมื่นคน ขณะที่ตั้งแต่สัปดาห์หน้า เราคาดจะเริ่มเห็นภาพเร่งขึ้น หลังเริ่มเข้าสู่ช่วง Golden Week นักท่องเที่ยวจีน กอปรกับ ปลายปีเป็นช่วงฤดูกาล และ ครม. มีแนวโน้มพิจารณามาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวเพิ่มเติม มองนักท่องเที่ยวระยะถัดไปจะเด่นขึ้น หนุนเป้าหมายทั้งปี Consensus วางไว้ 35.5-36 ล้านคนเป็นไปได้ เชิงกลยุทธ์ ยังจังหวะสะสมหุ้นท่องเที่ยว การบินที่อยู่ในช่วงพักตัว เน้น AOT, AAV, ERW
(*/+) TH Export: วันนี้ (25 ก.ย. เวลา 13:00 น.) ติดตามยอดการค้าไทย ส.ค. 24 ยอดส่งออก ส.ค. 24 ตลาดคาด +6.0%y-y vs prev. +15.2%y-y และยอดนำเข้า ส.ค. 24 6.5%y-y vs prev. 13.1%y-y เรามองโอกาสเห็นการขยายตัวยังเป็นไปได้ จากอิงสัญญาชี้นำยอดส่งออกสินค้า Non-Oil สิงคโปร์ ส.ค. 24 ที่เพิ่มขึ้น 10.7%y-y หากอิงโมเมนตัมเดือนก่อนหน้า คาดสินค้ายังน่าจะเด่น คือ อาหารสัตว์เลี้ยงตามกระแส Mega Trends ยาง รวมถึงไก่ เชิงกลยุทธ์ ระยะสั้น เรามองเป็นจังหวะเก็งกำไรสั้นๆหุ้นเชื่อมโยงสินค้าดังกล่าวที่ปรับฐานลึกจากทิศทางเงินบาทแข็งค่าได้ อาทิ ITC AAI STA NER CPF
(*) To Monitor: สัปดาห์นี้ ปัจจัยภายในติดตาม
1.) 2.) 26-30 ก.ย. ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ส.ค. 24 ไม่มีคาด vs prev. +1.79%y-y
2.) 27 ก.ย. จะเป็นวันสุดท้ายของสัญญา U24 และนักลงทุนจะ Rollover ไปเทรดในสัญญา Z24 แทน เราแนะนำระมัดระวังความผันผวนในช่วงใกล้ตลาดปิด
Daily Strategy : GPSC, AAV, SC เด่น
ระยะสั้น วันนี้มองภาพตลาด "Up" เรามอง SET ยังแกว่งขึ้นได้ต่อ ภาพหนุนต่างประเทศ คือ เศรษฐกิจสหรัฐเริ่มมีภาพอ่อนลง จากรายงาน CCI (Conf Board) ต่ำสุดใน 5 เดือนจากมุมมองการจ้างงานที่อ่อนลง ถ่วง US Bond Yield และค่าเงินดอลลาร์ แต่จุดดีล่าสุด คือ จีนที่เริ่มออกมาตรการกระตุ้นเร่งขึ้น เรามองเป็นตัวช่วยเศรษฐกิจสหรัฐ ทิศทางดังกล่าวทำให้จีนและ TIPs เป็นเป้าหมายลงทุน มองหุ้นนำวันนี้ หุ้น Domestic (ค้าปลีก อสังหา ท่องเที่ยว) กลุ่มดอกเบี้ยขาลง เงินบาทแข็งหนุน (โรงไฟฟ้า การบิน เช่าซื้อ นำเข้า หนี้สูง High Yield) กลุ่ม China Plays (ปิโตรเคมี แพ็คเกจจิ้ง ค้าปลีกที่ได้ประโยชน์ราคาเหล็กปรับขึ้น เรือ (เก็งกำไร))
หุ้นที่มีโอกาสถูกเพิ่มน้ำหนักจากกองทุนวายุภักษ์ที่กำลังจะกลับมา
กลุ่มที่ 1 หุ้นที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น, อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และมีแนวโน้มเติบโตดีในช่วง 2024 – 2025 ได้แก่ AOT, KTB, PTT
กลุ่มที่ 2 หุ้นที่อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และซื้อขายในระดับ Valuation Zone รวมถึงมีแนวโน้มการเติบโตดี ได้แก่ CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO, SCGP
กลุ่มที่ 3 หุ้นที่มีน้ำหนักใน SETESG สูงและมีแนวโน้มการเติบโตดี อยู่ใน Theme Data Center ได้แก่ ADVANC, GULF มีโอกาสเป็นเป้าหมาย
กลุ่มที่ 4 หุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์ Theme ที่ 4 คือ Div Yield 2024-2025 สูง >5% และอยู่ใน ThaiESG หุ้น (KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH)
กลุ่มที่ 5 หุ้นที่ยังมีน้ำหนักในกองทุนวายุภักษ์น้อย ขณะที่เข้าเกณฑ์ ESG Score (ถ้าอยู่ใน SET100 เรทติ้ง A ขึ้นไป ต่ำกว่า SET100 AA ขึ้นไป การเติบโตปี 2024-25 เกณฑ์ดี CPALL CPAXT BDMS CRC HMPRO IVL MTC BJC WHA
หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, STPI, LTS, DELTA ADVANC, TRUE, , INSET, BE8, BBIK)
กลุ่มที่ได้ประโยชน์เงินบาทแข็งค่า กลุ่มที่มีหนี้สินต่างประเทศสูง + กลุ่มนำเข้าสินค้า/บริการ/วัตถุดิบ รวมถึงงบลงทุนที่ต้องใช้อุปกรณ์จากต่างประเทศ (GULF, GPSC, BA, COM7, SYNEX, ADVICE, BE8, BBIK, TAN, MOSHI)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (AOT, BTS, VGI, BJC, STEC, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ (IVL, SCGP, DOHOME, GLOBAL, AOT, AAV)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, GPSC, BA, AAV, MTC, AEONTS, TRUE, MINT, CPALL, CPAXT)
• SEP24 Best Picks: ADVANC, CPALL, CPAXT, MTC , MINT, GPSC, CHG
• 3Q24Stock Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP
Tactical & Investment Idea
Research Highlight
• Strategy Update : THB Appreciate
ค่าเงินบาท : เงินบาท/ดอลลาร์ แข็งค่าต่อเนื่องล่าสุด 32.9 บาท (แข็งค่ามากที่สุดในรอบ 1 ปี 8 เดือน -4 บาทจากสิ้น 2Q24 หรือแข็งค่าราว 10%qtd ผลจาก 1.) ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ-ไทยที่มีแนวโน้มแคบลง 2.)Capital Inflow 3.)เศรษฐกิจภายในมีสัญญาณการฟิ้นตัว หลังการเมืองชัด KSS ประเมินแนวโน้มมีโอกาสแข็งค่าต่อ แนวรับสำคัญทางเทคนิคค่าเงินบาทที่ 32.55/32.186 บาท/ดอลลาร์ แนวต้าน 33.17/ 33.34 บาท
ประเมิน Sensitivity เงินบาทที่แข็งค่าทุกๆ 1 บาท กลุ่มที่มี Upside บวกต่อกำไร มากที่สุดคือ กลุ่มการบิน AAV ทุกๆ 1 บาท Upside 1 พันล้านบาท (54% ของกำไรปี 2024) รองลงมาคือกลุ่มโรงไฟฟ้า (BGRIM เพิ่มราว 13%, EGCO เพิ่มราว 8%, GULF และ GPSC เพิ่มราว 3-4% ตามลำดับ) กลุ่มเกษตร TVO เพิ่มราว 3% หุ้น Mid /Small Cap ที่เน้นกลุ่มนำเข้าจากต่างประเทศ คือ MOSHI (นำเข้า 55% ของต้นทุน) KCG (50%) TAN (70%), SABINA (56%) โดยรวมทุกบริษัท ทุกๆ 1% ของค่าเงินที่เปลี่ยนมีผลต่อกำไร ตลาดในปี 2024F เพิ่มราว 1-1.5%. ฯลฯ กลุ่มที่กระทบจากเงินบาทแข็งค่าคือ กลุ่มส่งออก ชิ้นส่วน และ เกษตร มี Downside ราว -2.9%, -1.3% ตามลำดับ
กลยุทธ์การลงทุน : ทิศทางเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่า ประเมินเป็นจิตวิทยาบวกต่อ Fund Flow และบวกต่อการลงทุน 4Q24 โดยยังคงเป้าดัชนี ณ สิ้นปี 2024 ที่ระดับ 1,540 จุด แนะนำลงทุนหุ้นได้ประโยชน์ค่าเงินบาทแข็งค่า และได้ประโยชน์จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลง กลุ่ม Domestic play เน้น กลุ่มโรงไฟฟ้า เน้น GULF, GPSC กลุ่มสายการบิน เน้น AAV กลุ่มเกษตรเน้น TVO กลุ่ม Mid Small เน้น MOSHI, TAN ICHI
• Strategy Update : Vayupak Plays
การแถลงข่าวการนำกองทุนวายุภักษ์วานนี้ KSS มองจุดน่าจะหนุนตลาดหุ้นต่อเนื่อง ได้แก่
1.) เม็ดเงินที่จะระดมทุนรอบนี้ 1.5 แสนล้านบาท จะเป็นเม็ดเงินใหม่ที่ทยอยลงทุนในตลาดนับจาก 1 ต.ค. 24
2.) กองทุน แม้สามารถเลือกลงทุนได้หลากหลาย แต่จะเน้นการลงทุนที่หุ้นไทยเป็นหลัก
3.) เม็ดเงินกองทุนที่จะเพิ่มขึ้น คาดจะเห็นการกระจายเม็ดการลงทุน เน้นลงทุนหุ้นที่มี ESG Score สูง เน้นหุ้นที่มี SET100 ได้เรทติ้ง ESG A ขึ้นไป, ต่ำกว่า SET100 ได้เรทติ้ง AA ขึ้นไป
4.) ข้อจำกัดของกองทุนบางส่วน อาทิ การลงทุนในหุ้นใดหุ้นหนึ่งไม่เกิน 25% ของ NAV และกลุ่มธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งไม่เกิน 30% ของ NAV รวมถึงลงทุนในหุ้นใดหุ้นหนึ่งไม่เกิน 25% ของสิทธิ์ออกเสียง น่าจะทำให้โอกาสการเพิ่มเม็ดเงินใน PTT และ SCB จำกัดขึ้น
5.) กรอบผลตอบแทนวายุภักษ์ 3-9% น่าจะจูงใจเม็ดเงินใหม่ใกล้เป้าหมายระดมทุนที่ 1.5 แสนล้านบาท
เรามองบวกต่อความชัดเจนดังกล่าว มองเม็ดเงินใหม่ที่จะเข้ามาหนุนตลาดในงวด 4Q24 มีนัยฯ โดยการลงทุนกองทุนวายุภักษ์ที่กระจายมากขึ้นสู่หุ้นที่มี ESG Score สูงๆ จะหนุนมีทั้งฝั่งวายุภักษ์ 1.5 แสนล้านบาท และเม็ดเงินการลงทุนลดหย่อนภาษีกองทุน ThaiESG ซึ่งเกณฑ์มีความจูงใจ (ลดหย่อนได้ 30% ของรายได้ วงเงินสูง 3.0 แสนล้านบาท แยกจากวงเงินลดหย่อนภาษีรูปแบบเดิม) จะได้รับความนิยมมากขึ้น โดยรวมมองเม็ดเงินลงทุนเร่งขึ้นในช่วง 4Q24 สูงถึงราว 1.7-1.8 แสนล้านบาท
ทิศทางดังกล่าวคาดจะหนุน SET เดินหน้าสู่เป้าหมายสิ้นปี 2024 ประเมินที่ 1540 จุด ประเมินจะตอบรับเชิงบวกคล้ายกับในอดีต 1 ธ.ค. 2003 ซึ่งกองทุน Vayupak เริ่มซื้อขาย SET Index ปรับขึ้นรวมราว 146 จุดหรือ +22.9% ในช่วง 30 พ.ย. 2003 - 12 ม.ค.2004 จุด Peak ในรอบนั้น
กลยุทธ์การลงทุนแนะนำลงทุนหุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์และอยู่ใน ThaiESG ใน 5 กลุ่ม คือ
กลุ่มที่ 1 หุ้นที่คลังถือหุ้น, อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และมีเติบโตดี 2024 – 2025 (AOT, KTB, PTT)
กลุ่มที่ 2 หุ้นอยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และซื้อขายในระดับ Valuation Zone การเติบโตดี CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO, SCGP
กลุ่มที่ 3 หุ้นที่มีน้ำหนักใน SETESG สูงเติบโตดี อยู่ใน Theme Data Center ได้แก่ ADVANC, GULF
กลุ่มที่ 4 หุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์ Div Yield 2024-2025 สูง >5% และอยู่ใน ThaiESG KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH
กลุ่มที่ 5 หุ้นที่ยังมีน้ำหนักในกองทุนวายุภักษ์น้อย ขณะที่เข้าเกณฑ์ ESG Score (ถ้าอยู่ใน SET100 เรทติ้ง A ขึ้นไป ต่ำกว่า SET100 AA ขึ้นไป การเติบโตปี 2024-25 เกณฑ์ดี CPALL CPAXT BDMS CRC HMPRO IVL MTC BJC WHAใน ThaiESG หุ้น (KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH)
• Strategy Update : Data Center
กระแสเทคโนโลยีสมัยใหม่ Cloud, AI และในอนาคตในส่วนระบบ Automation แม้ไทยอาจจะไม่ได้อยู่ในกลุ่มประเทศต้นน้ำที่ได้ประโยชน์จากการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีขึ้นมาโดยตรง แต่กระแสหลักนี้ จะสร้างโอกาสให้ไทยช่วง 4-5 ปีนับจากนี้ ด้วยศักยภาพการเป็นศูนย์กลางโครงสร้างพื้นฐานสำคัญด้านเทคโนโลยี กล่าวคือ Data Center ในไทย มีจุดเด่นจากพื้นที่ตั้งเป็นศูนย์กลางภูมิภาค, ความพร้อมโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ 4G 5G ที่ครอบคลุม ความเสี่ยงต่อภัยพิบัติต่ำ และกระแสไฟฟ้าที่มีเสถียรภาพและมั่นคง ทำให้ไทยเป็นจุดสนใจ จากการขยาย Data Center จากสิงคโปร์ซึ่งเป็นศูนย์กลางเดิมที่เริ่มมีข้อจำกัด จากการรวบรวมตัวเลข KSS ในส่วนเม็ดเงินลงทุน Data Center ที่มีโอกาสเกิดขี้นในประเทศหลักๆ เราประเมินปัจจุบันมีเม็ดเงินมหาศาลรอลงทุน Data Center ในไทยช่วง 4-5 ปีจากนี้ ไม่น้อยกว่า 2.0 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนสูงราว 1.1% ของมูลค่า GDP ประเทศไทยในปัจจุบัน โดยหากทยอยลงทุน 4-5 ปี เท่ากับผลบวกต่อ GDP ราว 0.2-0.25% ต่อปี ซึ่งยังไม่รวมการนำมาสู่ประโยชน์ด้านดิจิตอลต่างๆ อีกจำนวนมากต่อประเทศ ถือเป็นหนึ่งใน S Curve ใหม่ของไทย และ Upside ของเศรษฐกิจระยะกลาง-ยาวที่เชื่อว่าตลาดยังแทบไม่รวมในประมาณการ GDP
มุมมองเชิงกลยุทธ์ ประเมินว่า Upside จากแรงขับเคลื่อนด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ มีจุดเด่นสำคัญ คือ ปริมาณข้อมูลที่ใช้สนับสนุนจะเติบโตแบบทวีคูณ (Exponential) ซึ่งน่าจะสร้างโอกาสทางธุรกิจสูงกว่าที่ตลาดคาดคิดไว้ และเป็น Thematic Theme ระยะกลาง-ยาว 1-5ปี KSS มีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นที่อยู่ในระบบนิเวศน์ของ Data Center โดยฝั่ง Data Center เราแนะนำผู้ได้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานขยายตัวโดยตรง อาทิ GULF INTUCH ADVANC TRUE INSET DELTA STPI(Non-Coverage) กลุ่ม Digital Tech ที่ Data Center จะนำมาสู่ Upside งานประเภท Cloud Adoption และ AI รวมถึง Automation Adoption ระยะหนุนอุตสาหกรรมเข้าสู่รอบใหญ่ของการขยายตัวอีกครั้ง อาทิ BE8 BBIK ส่วนกระแส Cycle เทคโนโลยี AI ที่ผลักดันอุปกรณ์สื่อสารต่างๆ พัฒนาให้มี AI พื้นฐานติดเครื่องมากขึ้น จะสร้างโอกาส ฟื้นตัวจากรอบการเปลี่ยนอุปกรณ์ตามกระแส AI เราคาดไม่ต่างไปจากยุค 3G 4G หนุนหุ้นได้ประโยชน์ อาทิ HANA , ADVICE(Non-Coverage), SYNEX(Non-Coverage)
Best Picks : GULF, TRUE, DELTA, INSET, BE8, HANA, ADVICE
• KBANK (Buy, TP180): เรามีมุมมอง Neutral ต่อกำไรสุทธิ 3Q24F ที่ 1.21 หมื่นลบ. กำไรเพิ่มขึ้น +7% y-y เพราะการเพิ่มขึ้นของเงินลงทุน (FVTPL) และการลดลงของค่าใช้จ่ายสำรอง (ECL) ขณะที่กำไรลดลง -4% q-q เพราะการเพิ่มขึ้นของต้นทุนทางการเงิน และการลดลงของรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย (Non-NII) ทั้งนี้เราปรับกำไรสุทธิ 2025-26F ขึ้นปีละ +(3-4)% เพราะเรามองว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทางภาครัฐ จะช่วยลดปัญหาการตกชั้นของลูกหนี้ ส่งผลต่อ TP25F ปรับขึ้นเป็น 180 บ. ภาพรวมเราชอบ KBANK และคงเป็น Top Pick คู่กับ KTB (BUY, TP25F 24 บ.) เพราะ i) เราเห็นพัฒนาการการบริหารคุณภาพสินทรัพย์ของ KBANK ในทางบวก ดังนั้นคาดว่ามีโอกาสเห็นค่าใช้จ่ายสำรอง (credit cost) กลับสู่ระดับปกติในปี 2025F ที่ 140-160 bps. ii) กำไรสุทธิ 2024-25F คาดเติบโตเด่น +17% y-y และ +11% y-y
• KTB (Buy, TP24): เรามีมุมมอง Neutral ต่อกำไรสุทธิ 3Q24F คาดที่ 1.10 หมื่นลบ. กำไรเพิ่ม +7% y-y จากการเพิ่มขึ้นของเงินลงทุน (FVTPL) การลดลงของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอื่นๆ และการลดลงของค่าใช้จ่ายสำรอง (ECL) ขณะที่กำไรลดลง -2% q-q จากต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น สำหรับสินเชื่อเพิ่มขึ้น +1% q-q คิดเป็น +0.4 YTD จากสินเชื่อภาครัฐ ด้าน NPL Ratio อยู่ที่ 3.15% เพิ่มขึ้นจาก 2Q24 ที่ 3.12% ทั้งนี้เราปรับกำไรสุทธิ 2025-26F ขึ้นปีละ +(2)% ส่งผลต่อ TP25F ที่ 24 บ. เราชอบ KTB และคงเป็น Top Pick ของกลุ่มธนาคารคู่กับ KBANK (BUY, TP 180 บ.) เพราะ i) ไม่มีปัญหาด้านคุณภาพสินทรัพย์ ii) กำไรสุทธิปี 2024-25F คาดเติบโตเด่นสุดในกลุ่ม +19%y-y และ +10%y-y iii) คาดได้ผลบวกจากงบประมาณภาครัฐใน 2H24-1H25F
• SC (Trading Buy, TP3.2): มุมมอง neutral ต่อข้อมูล business direction ในปี 2025-29F ของ SCX (ธุรกิจที่เกี่ยวกับ recurring income portfolio ของ SC) เนื่องจากในช่วง 2H24-2025F คาดยังไม่มีผลบวกต่อประมาณการกำไรสุทธิ 2024-25F ในขณะที่ช่วงแรกของการดำเนินธุรกิจ อาจกังวลต่อภาระค่าใช้จ่าย รวมถึง IBD/E ratio ของ SC ที่อาจเพิ่มขึ้นมากกว่า โดยเรามองผลบวกต่อกำไรสุทธิจะเริ่มมีนัยสำคัญใน 2026F เป็นต้นไป เราคงประมาณการกำไรสุทธิ 2024F ที่ 2.0 พันลบ. (-18% y-y) โดย extra gain ที่อาจเกิดขึ้นใน 4Q24F (ราว 100-150 ลบ.) จะช่วยจำกัด downside risk ได้ ทั้งนี้ story ในปีนี้ของ SC อยู่ใน 4Q24F ที่ condo ใหม่ 2 โครงการ มูลค่ารวม 6.8 พันลบ. (average sold = 63%) เข้ามาโอน เราคง TP25F ที่ 3.20 บาท คงคำแนะนำ Trading Buy จากแผนธุรกิจ aggressive 3 ปีข้างหน้าทั้ง residential และการขยายสู่ธุรกิจใหม่เพื่อสร้าง new S-curve ทำให้คาดกำไรสุทธิใน 2025F เป็นต้นไป จะกลับมาโตต่อเนื่องและสม่ำเสมอขึ้น
• AUTO (Bearish): Car production in August remains weak fell by 21% due to a weak domestic sales that hit a three years low. This contrast from automotive share price that some company has recovered over 20% within just one month. Cut to total car production from 1.65m units to 1.59m units (-14% yoy). There is no sign of recovery in the sector. Maintain negative call.
3Q24F Equity Outlook : The strong get stronger, the weak get less weak
Stock Best Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA
Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP