Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.บัวหลวง : รอบด้านตลาดหุ้น

447



ภาพตลาดและแนวโน้ม
Market wrap & Outlook

แนวโน้มสินทรัพย์ต่างประเทศ
อัปเดตผลการประชุมเฟด
ประเด็นสำคัญ:
ในการประชุม FOMC คืนที่ผ่านมา คณะกรรมการมีมติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 50 bps ซึ่งถือเป็นการปรับลดครั้งแรกนับตั้งแต่ช่วงต้นของการระบาดโควิด-19 การตัดสินใจนี้มาจากการที่เงินเฟ้อมีแนวโน้มลดลงสู่เป้าหมาย 2% และตลาดแรงงานเริ่มอ่อนแอลง โดยมีจุดประสงค์เพื่อป้องกันการชะลอตัวของตลาดแรงงาน
หลังจากการปรับลดครั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยนโยบายใหม่อยู่ที่กรอบ 4.75%-5% และ FOMC คาดการณ์ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 2 ครั้ง หรือ 50 bps ภายในสิ้นปีนี้ รวมถึงลดลงอีก 4 ครั้งในปี 2025 การตัดสินใจครั้งนี้มีเสียงเห็นชอบ 11 ต่อ 1 โดยผู้ที่คัดค้านต้องการลดเพียง 25 bps
นอกจากนี้ ธนาคารกลางยังได้ปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราว่างงานปี 2024 ป็น 4.4% จากเดิม 4% และลดคาดการณ์เงินเฟ้อลงเหลือ 2.3% จาก 2.6% การตัดสินใจของสหรัฐ ครั้งนี้อาจส่งผลต่อธนาคารกลางประเทศอื่นๆ ที่รอดูท่าทีก่อนตัดสินใจปรับนโยบายการเงินของตนรวมทั้งไทย
ในขณะเดียวกัน ธนาคารกลางยังคงดำเนินนโยบายลดขนาดงบดุล (Quantitative Tightening) ต่อไป โดยปล่อยให้พันธบัตรที่ถือครองหมดอายุเดือนละไม่เกิน 5 หมื่นล้านดอลลาร์ การตัดสินใจครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความพยายามของธนาคารกลางในการรักษาสมดุลระหว่างการควบคุมเงินเฟ้อและการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ความเห็นของเรา:
1 การปรับลดดอกเบี้ยในลักษณะ front load เป็นข้อบ่งชี้ว่า ธนาคารกลางสหรัฐเห็นสัญญาณความอ่อนแอทางเศรษฐกิจและภาคการจ้างงานมากขึ้น สอดคล้องกับที่เราประเมินมาก่อนหน้านี้ จึงทำคาดว่า เฟดน่าจะลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งหรือ 50 bps ในช่วงที่เหลือของปีนี้
2 ส่วนในปีหน้า เราคาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยอีกเพียง 2 ครั้งหรือ 50 bps ต่ำกว่า Dot Plot ของเฟดที่คาดว่าจะลด 4 ครั้ง และต่ำกว่าตลาด (CME FedWatch Tool) ที่คาดว่าจะลด 5 ครั้ง เนื่องจากมองว่า หากเฟดลดดอกเบี้ยลงมากและเร็วเกินไป จะทำให้เกิดความเสี่ยงเรื่องเงินเฟ้อระลอกที่สองตามมา (Second Wave of Inflation) ซึ่งเรื่องนี้เป็นกลไกธรรมชาติที่มักเกิดขึ้นในช่วงที่เงินเฟ้อปรับตัวลงจากระดับสูงกว่าปกติ ดังเช่น เหตุการณ์หลังวิกฤตโรคระบาดในปี 1958 ดังนั้นประเด็นความเสี่ยงนี้จะทำให้เฟดอาจต้องปรับเปลี่ยนท่าทีในภายหลัง (เราจะขยายความเรื่องนี้ในครั้งถัดไป) โดยในช่วงหลายเดือนข้างหน้า เฟดน่าจะยังคงยึด Dual Mandate เหมือนเดิม กล่าวคือ จะใช้นโยบายทางการเงินให้สามารถบาลานซ์ความเสี่ยงทางด้านเงินเฟ้อและการจ้างงานไปพร้อมๆกัน
3 การส่งสัญญาณนี้ของเฟดจะทำให้ กนง. ของไทยลดดอกเบี้ยลงอย่างน้อย 1 ครั้งในปีนี้ เพื่อลดแรงกดดันทางด้านการส่งออกจากเงินบาทที่แข็งค่าเร็วและมากกว่าเงินสกุลอื่นในภูมิภาค นอกจากนี้แนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและสหรัฐใน 4Q24 ถึงปีหน้า จะทำให้การส่งออกของไทยเติบโตน้อยกว่าที่ตลาดคาดได้เช่นกัน


คุยกันเรื่องเมกะเทรนด์
ครอบครัวเล็กแต่ไม่เหงา: Humanoid อนาคตเพื่อนใหม่ของมนุษย์
วันนี้เรามีออกรายงานเมกะเทรนด์ในหัวข้อหุ่นยนต์ Humanoid ...หลายคนอาจจะจินตนาการภาพของหุ่นยนต์ Humanoid ที่ใช้ในภาคครัวเรือนว่าที่จะช่วยเราทำงานบ้าน แต่สิ่งที่หลายคนอาจจะยังจินตนาการไม่ถึงก็คือ ศักยภาพของ Humanoid ในการสร้างความสัมพันธ์กับมนุษย์ จนมาเข้ามาเป็นเหมือนสมาชิกในครอบครัว คอยช่วยเหลือ ให้คำปรึกษา ไปจนถึงเป็นเพื่อนคุยเพื่อคลายเหงา
1 ในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา เราได้เห็นปรากฏการณ์ที่ครอบครัวมีขนาดเล็กลง ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจจากสังคมเกษตรกรรมสู่สังคมอุตสาหกรรมและดิจิทัล
2 เมื่อครอบครัวมีขนาดเล็กลง สิ่งที่ตามมาก็คือความรู้สึกโดดเดี่ยวและเหงาที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยการแข่งขันและความเร่งรีบ การขาดระบบสนับสนุนทางสังคมที่เข้มแข็งทำให้ผู้คนจำนวนมากต้องเผชิญกับความเครียดและปัญหาสุขภาพจิต
3 เพื่อบรรเทาความรู้สึกโดดเดี่ยว มนุษย์ได้พยายามหาทางออกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการออกไปทำกิจกรรมนอกบ้าน การท่องเที่ยว หรือการเลี้ยงสัตว์ โดยเฉพาะการเลี้ยงสัตว์นั้นเป็นที่นิยมเพิ่มขึ้นมาก อย่างไรก็ตามการศึกษาพบว่า แม้ว่าสัตว์เลี้ยงจะช่วยลดความเครียดได้ แต่ก็อาจไม่เพียงพอที่จะจัดการกับปัญหาสุขภาพจิตที่ลึกซึ้งกว่านั้น
4 จากการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่างๆ ที่อาจมีผลต่อสุขภาพจิต พบว่าขนาดครอบครัวมีความสัมพันธ์เชิงลบกับอัตราการฆ่าตัวตาย (ค่าสหสัมพันธ์ -0.451) ซึ่งสะท้อนว่าประเทศที่มีครัวเรือนขนาดใหญ่มักมีอัตราการฆ่าตัวตาย ต่ำกว่า ในทางตรงกันข้าม ดัชนีความเป็นเมืองกลับมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับอัตราการฆ่าตัวตาย (ค่าสหสัมพันธ์ 0.221) บ่งชี้ว่าประเทศที่มีความเป็นเมืองสูงอาจมีอัตราการฆ่าตัวตายสูงตามไปด้วย
5 ทั้งนี้การพัฒนาเทคโนโลยี ทำให้ Humanoid + AI มีศักยภาพในการเข้ามาเติมเต็มช่องว่างทางสังคมและอารมณ์ของมนุษย์ ด้วยความสามารถในการสื่อสารและสร้างปฏิสัมพันธ์ทางด้านภาษา ทำให้ Humanoid มีโอกาสที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ส่วนตัวและการใส่ใจรายละเอียดต่างๆ (Personal Touch) กับมนุษย์ได้ลึกซึ้งขึ้น ทำให้ในอนาคต Humanoid อาจกลายเป็น "เพื่อนร่วมบ้านช่วยลดความโดดเดี่ยว"
6 การคาดการณ์มูลค่าทางเศรษฐกิจ Humanoid ในปี 2040 อาจสูงถึง 1.05 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยพิจารณาการใช้งานใน 2 บริบท: เพื่อช่วยในการทำงาน (2 ตัวต่อประชากร 100 คน) และเป็นสมาชิกในครอบครัว (10% ของจำนวนสัตว์เลี้ยง) รวมเป็น 238.8 ล้านตัว การประเมินมูลค่าตลาดอ้างอิงจากราคา Humanoid 20,000 เหรียญต่อตัว อายุการใช้งาน 10 ปี ค่าบำรุงรักษา 2% ของราคาซื้อต่อปี และค่าผลิตภัณฑ์และบริการเสริม 10% ของราคาซื้อต่อปี ศักยภาพของ Humanoid นอกจากช่วยงานบ้านแล้ว ยังสามารถพัฒนาความสัมพันธ์ส่วนตัวกับมนุษย์ เป็นเพื่อนคุย และให้คำปรึกษาได้ ส่งผลให้มูลค่าตลาดอาจสูงกว่าที่คาดการณ์ในปัจจุบัน โดยจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจโลก การจ้างงาน และวิถีชีวิตของผู้คนในอนาคต
7 สำหรับการลงทุนที่มีความเชื่อมโยง ตั้งแต่ไตรมาส 3/23 เราได้ออกรายงาน Megatrend ที่เน้นธีม AI รวมถึงกลุ่มที่เชื่อมโยงในห่วงโซ่อุปทานของ AI เช่น Semiconductor, Cloud, Cybersecurity มาอย่างต่อเนื่อง และเราได้แนะนำ Take profit ในปลายเดือน มิ.ย. จากรายงานที่เราออกในช่วงที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าในอนาคต AI จะมีเชื่อมโยงไปในหลากหลายอุตสาหกรรม ดังนั้นเรายังเชื่อว่าธีมการลงทุนนี้จะยังเป็นธีมที่อยู่ในความสนใจของนักลงทุนต่อไปในช่วงหลายปีข้างหน้า โดยปัจจุบันเฟสการเติบโตของธีม AI ยังอยู่ในช่วง Early Adopter ซึ่งยังห่างไกลกับ Maturity Stage มาก ดังนั้นเราจึงเชื่อว่าธีม AI และ AI-related นี้จะเป็น Best Plays ของการลงทุนแบบเมกะเทรนด์ในช่วง 5 ปีข้างหน้า…เรายังรอจังหวะ re-entry ในช่วงที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับฐานใกล้สิ้นสุดราวช่วง 2Q25

สรุปภาพตลาดวานนี้
ตลาดหุ้นไทย ยังยืนต่อได้ แม้จะมีแรงขายออกมาบ้างในกลุ่มคอมเมิร์ช ขนส่ง ธนาคารบางแห่ง แต่ก็เห็นแรงซื้อกลับมาพยังตลาดจากอิเล็กทรอนิกส์ (หยิบ DELTA เข้ามาช่วยรักษา Momentum ตลาด) รพ. BDMS BH และยังมีหุ้นบวกแรงๆ ได้ เช่น JTS ARIN ARIP PROEN AE PEER GLORY TMI ZIGA

แนวโน้มตลาดวันนี้
Buy on Fact
“คงมุมมองตามที่เราคาดว่าหุ้นไทยสัปดาห์นี้ มีโอกาสเล่นเหนือแนวรับ 1,410 จุด ขึ้นไปทดสอบ แนวต้าน 1,450 จุด ซึ่งเป็นสัญญาณยืนยันการทำลายแนวโน้ม “Down trend” และกรอบ “Sideways” ลูกใหญ่ที่ติดมานานร่วมปี อย่างไร ก็ตาม อาจจะมีช่วงที่ตลาดหุ้นไทยพักบ้างระหว่างสัปดาห์ แต่เราคาดว่ายังไม่มีข่าวลบที่จะมีนัยยะพอ กดหุ้นไทยให้ลงไปเล่นด้านล่างแบบช่วงก่อนหน้านี้”
ในส่วนของเฟดที่ลดดอกเบี้ย 0.5% เมื่อคืน น่าจะเป็นไปตามผลโพลส่วนใหญ่เกินครึ่งในตลาด (เหนือกว่าที่เราคาด) แต่เราก็ไม่คิดว่าจะเกิดแรงขายหลังข่าวออกในหุ้นไทย เพราะเกินครึ่งคิดว่าลด 0.5% อยู่แล้วมีเพียงเราซึ่งน่าจะเป็นส่วนน้อยที่มองว่าจะลด 0.25%
ด้านธนาคารกลางในภูมิภาคก็ทยอยลดดอกเบี้ย เช่น อินโดนีเซีย เมื่อวานลดดอกเบี้ยเซอร์ไพร์สตลาด และเช้านี้ ธ.กลางฮ่องกง ลดดอก 0.5% แต่ผลที่เห็นคือ ดอลล์สหรัฐฯ และค่าเงินภูมิภาคขยับน้อย Bond yield สหรัฐก็ขึ้นเล็กน้อย น่าจะเป็นคำตอบที่เราเห็นว่าตลาดหุ้นก็น่าจะตอบรับแบบเดียวกัน
ดังนั้นเราเดินหน้าเล่นหุ้นไทยต่อ โดยวันนี้ยังคงแนะเลือกย้ำหุ้นเดิมที่แนะนำเล่นไปก่อนหน้า...

กลยุทธ์การลงทุน
กลยุทธ์แนะนำ เลือกหุ้นเล่นเป็นรายตัว โฟกัสไปข้างหน้า เน้นไปที่แนวโน้มผลการดำเนินงานที่จะมีโอกาสถูกปรับเพิ่มประมาณการณ์ หรือ มองเห็นปัจจัยหนุนชัดเจนที่จะเข้ามาเกื้อหนุนต่อผลการดำเนินงานหลังจากนี้

วิเคราะห์ทางเทคนิค
SET week พยายามทะลุโซนต้านบริเวณ 1435 จุด ( Fibo 38.2%) ภายหลังพักตัวแล้วเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา! หากผ่านได้จะขึ้นสู่เป้าฯถัดไปที่ Fibo 50% ที่ 1,480 จุด ขณะที่โมเมนตัม RSI (week) level 65 ยังไม่เข้าเขต overbought…อย่างไรก็ตามแนวระยะสั้นอาจมีสลับย่อบ้าง….ไม่น่ากังวล ส่วนแผนเทรดระยะกลาง & ยาว แนะถือหุ้นต่อ กรณีปรับฐานจะเป็นโอกาสในการซื้อสะสมเพิ่ม เนื่องจากตลาดอยู่ในเทรนด์ ขาขึ้น สำหรับสายเก็งกำไร เล่นรอบ แนะ switching ขายหุ้นขึ้นแรง แล้วหมุดมา สู่หุ้นแถวสอง ซึ่งราคายังไม่ขึ้นมากนัก (Laggard play) เช่น LH, GPSC และ CK (ติดตามแผนเทรดด้านล่าง)
Note: เพิ่มเติมมุมมองกราฟยางพารา & น้ำมันโอกาสปรับขึ้นได้อีกมากน้อยแค่ไหน ติดตามในบทวิเคราะห์ World Asset Class เช้านี้ครับ

 

 

What to watch
"CNBC Fed Survey" เมื่อ 17 ก.ย. เผยโพล ผู้ที่เข้าร่วมการสำรวจในครั้งนี้ประกอบด้วยนักกลยุทธ์ด้านการลงทุน นักเศรษฐศาสตร์ และผู้จัดการกองทุนจำนวน 27 ราย โดยการสำรวจจัดทำขึ้นในระหว่างวันที่ 12-14 ก.ย. เพียงไม่กี่วันหลังจากการประชันวิสัยทัศน์ครั้งแรกและอาจจะเป็นครั้งเดียวระหว่างแฮร์ริสและทรัมป์
ผลสำรวจบ่งชี้ว่า 48% ของผู้ตอบแบบสำรวจมองว่า แฮร์ริสมีโอกาสมากที่สุดที่จะได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง ขณะที่ 41% เชื่อว่าทรัมป์จะได้รับชัยชนะ
สำหรับนโยบายเศรษฐกิจของแฮร์ริสนั้น มุ่งเน้นไปที่การขยายกลุ่มชนชั้นกลาง และปรับลดต้นทุนการอุปโภคบริโภค ซึ่งรวมถึงการให้เงินอุดหนุนสำหรับผู้ซื้อบ้าน และขยายระยะเวลาการให้เครดิตภาษีและการปรับลดภาษี
ขณะที่ทรัมป์มุ่งเน้นไปที่การขยายระยะเวลาการปรับลดภาษีที่เขาริเริ่มไว้เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก รวมทั้งการใช้นโยบายเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าทุกประเภท และยกเลิกการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานบางส่วนที่ริเริ่มโดยคณะบริหารของประธานาธิบดีไบเดน
ทั้งนี้ ผลสำรวจระบุว่า 56% ของผู้ตอบแบบสำรวจเชื่อว่า การดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของทรัมป์จะเป็นผลดีต่อตลาดหุ้นมากกว่าแฮร์ริส
เฟด มีมติ 11 ต่อ 1 ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.50% สู่ระดับ 4.75-5.00% ในการประชุมวันนี้ ตามการคาดการณ์ของตลาด (หากไม่นับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยฉุกเฉินในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ครั้งสุดท้ายที่เฟดได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% เกิดขึ้นในปี 2551 ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดวิกฤตการเงินทั่วโลก)
ในการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) เจ้าหน้าที่เฟดส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 0.50% ภายในสิ้นปีนี้ นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่เฟดส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยรวม 1.00% ในปี 2568 และลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในปี 2569
โดยรวมแล้ว Dot Plot บ่งชี้ว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 2.00% หลังการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในวันนี้
คาดการณ์เกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐ: เฟดคาดการณ์การขยายตัวในปี 2567, 2568, 2569 และ 2570 อยู่ที่ระดับ 2.0% ทุกปี หลังจากคาดการณ์ในเดือนมิ.ย.ว่าจะมีการขยายตัว 2.1%, 2.0% และ 2.0% ในปี 2567, 2568 และ 2569 ตามลำดับ ขณะที่อัตราการขยายตัวในระยะยาวยังคงอยู่ที่ระดับ 1.8%
การประชุม กนง. 16 ต.ค. ตลาดยังคงคาดว่าจะคงดอกเบี้ยฯ ที่ 2.5%
FTSE Rebalance: FTSE All World หุ้นออก BLA, และกลุ่มขยับจาก Large-Cap ไปเป็น Mid-Cap ได้แก่ OR MINT PTTGC EA CRC สำหรับกลุ่ม Small-Cap หุ้นเข้า BLA CPNREIT และหุ้นออก ITD NER ORI TPIPL (คาดมีผล 20 ก.ย.นี้)
แบงก์ชาติอินโดนีเซียประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 6% ในการประชุมวันนี้ (18 ก.ย.) ซึ่งเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบกว่า 3 ปี เหนือความคาดหมายของตลาด

หุ้นแนะนำวันนี้
OR โออาร์ ร่วมกับ AIS และ ธ.กรุงไทย ยื่นขอใบอนุญาตแบงก์ชาติ ทำ Virtual Banking แล้ว (S 16.6 R 17.5 SL 16.4)


รายงานพื้นฐานวันนี้

Construction Service & Material
รอคลื่นลูกใหญ่จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
เราจัดงาน BLS Investment & Construction Day ไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ภาพรวมผู้บรรยายทั้งจากกลุ่มวัสดุก่อสร้างและรับเหมาก่อสร้าง มีความคาดหวังในจุดเดียวกันที่การขยับตัวของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานรอบใหญ่ของรัฐบาลนี้ โดยเราจะขอสรุปเป็นหระเด็น ดังนี้
1) ม่านเปิด ฉากการลงทุนขนาดใหญ่กำลังจะเริ่มต้น โดยเฉพาะใน Session ของรองปลัดกระทรวงคมนาคม ที่ชี้ว่านอกเหนือจะเน้นการก่อสร้างทุก Mode หารเดินทาง ยังลงรายละเอียดจุดโฟกัสที่จะเป็นโครงการรางฯ ซึ่งมูลค่าสูงและกระจายตัวไปในทุกภูมิภาค โดยเฉพาะรถไฟรางคู่รวมๆ 3 แสนล้านบาท อีกทั้งยังมีรถไฟความเร็วสูงช่วงโคราช-หนองคายอีกราว 2.5 แสนล้านบาท ส่วนกลุ่ม PPP โครงการใหญ่แห่งใหม่คือการผลักดัน Landbridge ต่อ หลังมีนักลงทุนสนใจ
2) โหมโรง 4Q24 และพุ่งขึ้นใน 2Q25 โดยใน 4Q24 จะเห็นการเข็นโครงการที่พร้อมเข้า ครม. และออกประมูลเลย และคาดว่าใน 2Q25 จะเป็นช่วงที่รัฐบาลมาโฟกัสการลงทุนอย่างจริงจังหลังโครงการใหญ่ที่เหลือเดินทางตามกระบวนการมาเข้า ครม. และน่าจะเห็นการลงทุนภาคเอกชนฟื้นกลับขึ้นมาด้วย
3) การเข้าไปอยู่ในโลกสีเขียวได้ เป็นการเปิดโอกาสอนาคตไว้ โดยเฉพาะกลุ่มซีเมนต์ โดยในตอนนี้เป็นการผลักดัน Green Product การบริการของเสีย และ Carbon Capture เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสในระยะยาว
Fundamental View: เราชอบ SCC ในกลุ่มวัสดุก่อสร้าง และ CK ในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง

Tourism
พร้อมรับ high tourism season
เรามีการปรับเป้าหมายนักท่องเที่ยว (นทท.) เป็น 35.8 ล้านคน (ต้นปีเราคาด 35 ล้านคน) แบ่งเป็นกลุ่มไม่ใช่จีน 28.4 ล้านคน (เกือบเท่าปี 2019) และชาวจีน 7.4 ล้านคน (67% ของปี 19) หลังจากเห็นแนวโน้มตัวเลขเดือน ก.ค. – ส.ค. ที่ดี (แม้ ก.ย. จะลดลงตามฤดูกาลปกติ) และแนวโน้ม ต.ค.-ธ.ค. จะไต่ระดับสู่ High Season ขึ้นไปเรื่อยๆ
นอกจากนี้ ยังมองว่าภาคการท่องเที่ยว ยังเป็นกลุ่มที่ภาครัฐให้ความสำคัญ และพร้อมจะกระตุ้นด้วยแคมเปญต่างๆ เช่น เราเที่ยวด้วยกัน (หรือคล้ายๆ กัน ซึ่งเป็นการกระตุ้นเที่ยวในประเทศ) รวมทั้งในปี 2025 จะมีการเน้นเรื่อง wellness tourism, low carbon tourism และ sport tourism โดยเฉพาะเป็นจังหวะที่ประเทศไทย จะเป็นเจ้าภาพ “ซีเกมส์” และ “อาเซียน พาราเกมส์”
Fundamental View: เราแนะนำไปต่อกับ AOT และเลือก ERW ที่เป็นการท่องเที่ยวในประเทศ อีกทั้งราคาหุ้น factored-in การต่อสัญญา Grand Hyatt Erawan Bangkok ไปแล้ว ในกรณี worst case ไม่ได้ต่อสัญญา กำไรจะหายไป 8-10% (ก่อนหน้าหุ้นลงมาแล้วหลังมีประเด็น)
สำหรับ AWC มีผลการดำเนิน ก.ค.-ส.ค. ที่ดีมาก โดย RevPar เติบโต 25% YoY และ 17% QoQ อีกทั้งมีความหลากหลายของโรงแรม ทั้ง MICE hotel, luxury resort และ เตรียมเปิดโรงแรมใหม่ในพัทยา ปลายปีนี้ ซึ่งตลาดบูมมาก จึงเป็นจังหวะที่กลับมาเล่นหุ้นตัวนี้ได้


สรุปประเด็นจาก Quick take

SCGP
เอสซีจี แพคเกจจิ้ง
ประเด็นสำคัญจากงาน SCGP Progressive Progress
เราเข้าร่วมงาน SCGP Progressive Progress เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา ผู้บริหารแสดงความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่องของบริษัทในช่วงปี 2025-2030
View From Fundamental: แนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่องของบริษัทน่าจะเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นได้ต่อไป นอกจากนี้อาจมีอัพไซด์ต่อประมาณการกำไรและมูลค่าหุ้นจากการลงทุนและ/หรือการเข้าซื้อกิจการใหม่ เราจึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” (ราคาเป้าหมาย 40 บาท)

วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ Tel. (662) 618-1336
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน/ปัจจัยทางเทคนิค
นภนต์ ใจแสน นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน
ภูวดล ภูสอดเงิน, AISA นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

1200 แตก By: แม่มดน้อย

แม่ดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ และแล้ว ดัชนีตลาดหุ้นไทย ก็แตก 1,200 จุด ด้วยพ่อใหญ่อย่าง DELTA แม่ใหญ่ AOT เป็นหัวหอก....

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้