เห็นเป้า 1500 จุด รางๆ
การประชุม FED พรุ่งนี้เห็นสัญญาณของการปรับลดดอกเบี้ย 0.5% แรงขึ้น โดย FEDWATCH TOOL แสดงความน่าจะเป็นเพิ่มขึ้นเป็น 67% ส่วนอีก 33% คาดว่าจะปรับลดลง 0.25% หากปรับลด 0.5% เรามองว่าจะเป็นการสร้างแรงกดดันต่อ กนง.บ้านเรา มากขึ้น โดยล่าสุด รมว.พาณิชย์ ก็ออกมาส่งสัญญาณ หลังจากที่เงินบาทแข็งค่าอย่างรวดเร็วและกระทบต่อทิศทางการส่งออก ทั้งนี้ในเชิงชอง VALUATION ปัจจุบันเรากำหนดเป้าหมาว SET INDEX โดยการใช้MARKET EARNING YIELDGAP(MEYG) ที่ 3.8% ให้เป้าดัชนีที่ 1450 จุด และหาก กนง. ปรับลดดอกเบี้ย 0.25% ก็จะทำให้เป้าปรับขึ้นไปอีก 60 จุดอยู่ที่ 1510 จุด หรือในอีกทางหนึ่งกรณี กนง. ไม่ลงดอกเบี้ย คาดว่าจะทำให้เงินบาทแข็งค่าดึงดูดFUND FLOW และยังมีเงิน วายุภักษ์+THAILAND ESG FUND เพิ่มอาจบีบให้ MEYG แคบลงมาที่ -0.5SD ให้เป้าดัชนี 1523 จุดแรงขับเคลื่อนที่เกิดจากทั้ง FUND FLOW และ FUNDAMENTAL ทำให้มองว่า SET INDEX ยังอยู่ในขาขึ้น วันนี้คาดกรอบ 1427 –1445 จุด หุ้นTOP PICK วันนี้เลือก CPN, SCC และ SCGP
FED ลดดอกเบี้ยเร็ว & แรง อาจแฝงความเสี่ยง RECESSION
เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ลดความร้อนแรงลงในช่วงที่ผ่านมา หนุนให้การประชุม 18 ก.ย. 67(หรือ 19 ก.ย. 67 เวลา 1.00 น. ตามเวลาประทศไทย) เป็นจุดเริ่มต้นของการปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรก ขณะที่ตลาดฯ เทน้ำหนักเพิ่มขึ้นเป็น 67%(วานนี้ 52%) ให้กับการลดดอกเบี้ย 0.5%สู่ระดับ 5.0% ในวันพรุ่งนี้ ขณะที่แนวโน้มดอกเบี้ยสหรัฐระยะถัดไป อาจเป็นภาพของการชะลอตัวลงเรื่อยๆ
แต่อีกแง่มุมหนึ่งหาก FED เร่งปรับลดดอกเบี้ยลงแร็วและแรง อาจตามมาด้วยความเสี่ยงในการเกิดเศรษฐกิจ RECESSION ในสหรัฐฯ โดยจากสถิติในอดีต รอบการปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรกในอัตรา 0.5 % และหลังจากนั้น 6 เดือน ดอกเบี้ยร่วงลงแรงอย่างรวมดเร็ว มักจะตามมาด้วยเศรษฐกิจชะลอตัวแบบ HARD LANDINGอย่างไรก็ตาม BLOOMBERG คาดการณ์โอกาสเกิด RECESSION อีก 1 ปีข้างหน้าของสหรัฐฯ ล่าสุดทรงตัวอยู่ที่ 30% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่ไม่สูงมาก แต่ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจาก BOOMBERG ได้ปรับเพิ่มความโอกาสเกิด RECESSION ในกลุ่ม DEVELOPED MARKET หลายประเทศ อาทิ UK, ญี่ปุ่น, จีน ฯลฯ สวนทางกับกับกลุ่ม TIP
สรุป การเร่งปรับลดดอกเบี้ยลงแร็วและแรงของ อาจตามมาด้วยความเสี่ยงในการเกิดเศรษฐกิจ RECESSION ในสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม โอกาสเกิด RECESSION อีก 1 ปีข้างหน้า ของสหรัฐฯ ล่าสุดทรงตัวอยู่ที่ 30% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่ไม่สูงมาก แต่ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
นโยบายการเงิน-การคลัง มีโอกาสสอดคล้องกันมากขึ้น ลุ้นกนง. ลดดอกเบี้ยในการประชุมรอบถัดไป
รัฐบาลชุดใหม่เตรียมกระตุ้นเศรษฐกิจผ่าน นโยบายการคลังมากขึ้น อาทิ การประชุมครม.นัดแรกวันนี้ กระทรวงการคลังเตรียมเสนอ พิจารณาการจ่ายเงินในโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต สำหรับกลุ่มเปราะบาง 14.5 ล้านคน อีกทั้งกระแสการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท/วัน คาดจะประกาศใช้ 1 ต.ค.67 มีโอกาสเกิดขึ้นสูง หลังรมต.แรงงานเตรียมนัดประชุมไตรภาคีอีกครั้ง 20 ก.ย.67(ซึ่งหากตัวแทนนายจ้างไม่มาร่วมประชุมถือว่าสละสิทธิ์) ประเด็นดังกล่าว คาดหนุนให้GDP GROWTH ไทยปีนี้มีโอกาสแตะ 3% ดังที่ปลัดกระทรวงการคลังตั้งเป้าหมายไว้ซึ่งรัฐบาลชุดใหม่เตรียมหารือ ธปท.เกี่ยวกับการดำเนินนโยบายทางการเงินในอนาคตซึ่งคาดหมายถึงการดำเนินนโยบายการเงิน-การคลังให้สอดคล้องกันมากขึ้น โดยสิ่งที่รัฐบาลกังวล คือ 1. อัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันสูงไปหรือไม่ 2. วิธีการชะลอการแข็งค่าของเงินบาท 3. การเติมสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการเงิน ซึ่งนักลงทุนคาดหมายว่า ธปท.มีโอกาสลดดอกเบี้ยในอนาคต โดยในปีนี้มีโอกาสเห็นการลดดอกเบี้ยสัก 1 ครั้ง ราว25 BPS. สะท้อนตาม BOND YIELD ไทยอายุ 1 ปีถึง 8 ปี ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่2.50% ทั้งหมด ซึ่งต้องติดตามการประชุมรอบถัดไป 16 ต.ค.67 ว่าจะมีมติดังที่ตลาดคาดหมายไว้หรือไม่
ส่วนกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ จึงเน้นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากสภาวะอัตราดอกเบี้ยลดลงในอนาคต
• กลุ่มเช่าซื้อ - THANI, MTC, TIDLOR, SAWAD, ASK, AEONTS, BAM,JMT
• กลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดเล็ก - KKP, TISCO
• กลุ่มอสังหาริมทรัพย์- SPALI, LH , AP, ORI, QH, SIRI
• กลุ่มที่ให้ปันผลสูง (HIGH YIELD) - INTUCH, ADVANC, SCC, DIF,CPNRIET
• กลุ่มได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยจ่ายลด (NET DEBT) - BGRIM, GULF, MINT,CPALL, TRUE
เห็นภาพรางๆ SET มีโอกาสเกิน 1500 จุด
SET INDEX มีโอกาสเดินหน้าสู่ 1500 จุด จาก MOMENTUM สนับสนุน 2 ส่วน คือ
▪ ไตรมาสที่ 4 FUND FLOW มีโอกาสไหลเข้าตลาดหุ้นไทยเพิ่มเติม ทั้งจากการเดินหน้านโยบายรัฐบาล กองทุนวายุภักษ์ หนุน FUND FLOW ต่างชาติไหล
เข้าหุ้นไทยมาแล้วเกิน 3 หมื่นล้านบาท ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ส่วนระยะถัดไปยังเห็นเงินบาทมีโอกาสแข็งค่าต่อ จากนโยบายการเงินสหรัฐฯ ที่มีโอกาสลดดอกเบี้ยเร็วกว่าไทย และหุ้นไทยยังมีโอกาสถูกเพิ่มน้ำหนักจากการREBALANCE ของดัชนี MSCI รอบหน้า ช่วงต้น พ.ย. เพราะในช่วงไตรมาสที่3 หุ้นไทยพลิกมาบวกแรง 10.3%QTD ขึ้นแรงกว่าหุ้นโลก (MSCI WORLD) ที่ขึ้นเพียง 3.6%QTD ทำให้น้ำหนักหุ้นไทยจะเพิ่มขึ้นในเชิงเปรียบเทียบ โดยตามกลไก VALUATION เวลา FUND FLOW ไหลเข้าตลาดหุ้นมีโอกาสซื้อขายบนMEYG -0.5SD ถึง 1 SD หรือบริเวณ 3.5% -3.3% หนุน P/E เพิ่มและดัชนีเป้าหมายเพิ่มขึ้น 73 –126 จุด เป็น 1523 –1576 จุด
▪ กนง. มีโอกาสลดดอกเบี้ยมากขึ้น เพื่อรักษาสเถียรภาพค่าเงินบาท หลังค่าเงินบาทที่แข็งค่ามาเร็วอยู่ใกล้ๆ 33 บาท/เหรียญ ขณะเดียวกัน BONDYIELD 1 ถึง 8 ปี ค่อยๆ ย่อตัวลงมาต่ำกว่าดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.5% สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนคาดหวังกนง.ลดดอกเบี้ยเช่นกัน ซึ่งตามกลไกเวลาดอกเบี้ยปรับตัวลงทุก ๆ 25 BPS. มีโอกาสที่จะหนุนให้ดัชนีเป้าหมายเพิ่มขึ้นได้ 60 จุด เป็น 1510 จุด
สรุป ทั้ง FUND FLOW ที่มีโอกาสไหลเข้าหุ้นไทยตลอดไตรมาสที่ 4 รวมถึงนักลงกนง.มีโอกาสลดดอกเบี้ยมากขึ้น ตามกลไกหนุนให้ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสซื้อขายบน P/E ที่สูงขึ้นและมีโอกาสเห็นภาพรางๆ ว่า SET INDEX จะสูงกว่า 1500 จุด ในปีนี้ได้
Research Division
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม, CISA
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน และทางเทคนิค
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์