"THB Appreciation Plays"
KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "Sideways/Up" ต้าน 1434/1438 จุด รับ 1416/1406 จุด ดัชนี S&P500 +0.54% แต่ Dow Jones +0.72% สะท้อนหุ้น Value กลับมานำตลาด หลักๆ ตลาดยังเชื่อมั่น Fed จะลดดอกเบี้ยในการประชุม 17-18 ก.ย. (เวลาไทยทราบผลเช้า 19 ก.ย.) และเศรษฐกิจยังประคองได้ ความคาดหวังเงินเฟ้อ 1ปีข้างหน้า (U of Michigan) ต่ำกว่าคาด +2.7%y-y vs prev. 2.8% ขณะที่ความเชื่อมั่นผู้บริโภค ก.ย. (เบื้องต้น) ดีกว่าคาด 69 จุด vs prev. 67.9 จุด โดยรวมหนุนจิตวิทยาลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงโลก รวมถึงอาเซียนและไทยที่มีน้ำหนักหุ้น Value สูง และภายในมีปัจจัยขับเคลื่อน จากการประชุม ครม. ชุดใหม่นัดแรกพรุ่งนี้ คาดมีข้อสรุปมาตรการกระตุ้นการบริโภค (Digital Wallet) และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ฝั่งตลาดทุน คาดการขายกองทุนวายุภักษ์ให้กับผู้ลงทุนทั่วไปเริ่มวันนี้น่าจะมีผลตอบรับดี หุ้นนำมองหุ้นเงินบาทแข็งค่าหนุน (โรงไฟฟ้า (EA ถอนฟ้องหนุนเดินเซ็นไฟฟ้าหมุนเวียนที่ประมูลไปแล้วรอบแรก และคาดเห็นการเร่งประมูลรอบ 2 เร็วๆนี้) สายการบิน Digital Tech กลุ่มจำหน่ายมือถือ) กลุ่ม Domestic วันนี้แนะ GULF, GUNKUL, MOSHI
Daily outlook: "Sideways/Up" ต้าน 1434/1438 จุด รับ 1416/1406 จุด
What happened around the world ?
(+) US Stocks : ตลาดหุ้นสหรัฐวันศุกร์ปรับขึ้นต่อเข้าใกล้จุดสูงสุด แรงหนุนจากคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยจะปรับลงในสัปดาห์นี้หลังตัวเลขเศรษฐกิจหนุน Dow Jones +0.72%d-d S&P500 +0.54%d-d, Nasdaq +0.65%d-d โดยดัชนี S&P 500 Sectors ปรับขึ้นทุกกลุ่ม โดยกลุ่มที่ Outperform คือ Utilities, ICT, Industrials, Materials ฯลฯ ส่วนหุ้นที่เคลื่อนไหวเด่น คือ Warner Bros Discovery +10.8%, Uber+ 6.4% รับข่าวบริษั จะเริ่มให้บริการเรียกรถอัตโนมัติใน รัฐเท็กซัส และ รัฐจอร์เจีย , Broadcom +1.9%, Alphabet +1.79% ฯลฯ
(*) US Econ : เมื่อวันศุกร์สหรัฐรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เดือน ก.ย. จัดทำโดย ม.มิชิแกน ปรับขึ้นสู่ระดับ 69 จุด prev. 67.9 ในเดือน ส.ค. ดีกว่า Consensus คาดที่ 68 (เป็นการปรับขึ้นเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน และเป็นระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือน 2.)คาดการณ์เงินเฟ้อในระยะ 1 ปี ข้างหน้าลดลงสู่ระดับ 2.7%y-y prev. 2.8% ในเดือน ส.ค. ดีกว่า Consensus คาดที่ 2.8% KSS มีมุมมองบวกกับรายงานดังกล่าวเพราะคาดการณ์เงินเฟ้อที่ชะลอตัวจะเพิ่มโอกาสให้ Fed ลดดอกเบี้ยมากขึ้นจาก 0.25% เป็น 0.50% โดยที่ตลาดไม่ Panic เพราะความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นชี้ให้เห็นว่าการลดดอกเบี้ยแรงไม่ได้บอกว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะถดถอย หรือ เกิด Recession
(-) CH Econ: กิจกรรมเศรษฐกิจจีนโดยรวมยังอ่อนแอ โดยจีนรายงาน 1.) ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือน ส.ค. + 4.5%yoy ลดลงจาก 5.1%yoy ในเดือน ก.ค. และต่ำกว่า Consensus คาดไว้ที่ 4.8%yoy, 2.) ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 2.1%yoy ลดลงจากเดือน ก.ค. ที่ 2.7%yoy และต่ำกว่า Consensus คาดไว้ที่ 2.5%yoy 3.) ดัชนีราคาบ้านใน 70 เมืองใหญ่ -5.3%yoy แย่ลงจาก -4.9%yoy ในเดือน ก.ค. นับเป็นการลดลงเป็นเดือนที่ 14 ติดต่อกันและเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 9 ปี 3 เดือน 4.) อัตราว่างงานเร่งตัวขึ้นแตะระดับ 5.3% จาก 5.2% ในเดือน ก.ค. นับเป็นระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือน KSS ตัวเลขเศรษฐกิจชะลอตัวในทุกกิจกรรมสะท้อนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจยังไม่มากพอ จึงเป็นไปได้ที่จะเห็นจีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม อิงวันศุกร์ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงดำเนินการเพื่อให้เศรษฐกิจจีนบรรลุเป้าหมายการเติบโตของ GDP ปีนี้ที่ 5.0% โดยมุ่งเน้นให้ส่วนปกครองท้องถิ่นของมณฑลต่างๆดำเนินมาตรการกระตุ้นตามที่ได้รับแนวทางไปจากส่วนกลาง เพื่อเร่งการเติบโตในช่วง 3Q-4Q24 โดยปีนี้ YTD ดัชนีตลาดหุ้นจีนลดลง 9.1% Underperform ตลาดหุ้นทั่วโลก ดังนั้นหากจีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมมีโอกาสเห็นการฟื้นตัวของดัชนีได้ในช่วงสั้นๆ (Technical Rebound) และเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นที่ทำธุรกิจอิง จีนเน้น SCGP, IVL, SCC
(*)US-China Tariff : วันศุกร์สํานักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ภายใต้รัฐบาลไบเดนเดินหน้าต่อมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีน (Tariff) ภาษี 100% มุ่งไปที่สินค้ารถยนต์ไฟฟ้า(EV), ขึ้นภาษี 50% กับขแผงโซลาร์เซลล์แสงอาทิตย์ และขึ้นภาษี 25% สําหรับเหล็ก อลูมิเนียม แบตเตอรี่ EV และแร่ธาตุที่สำคัญ จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 27 ก.ย.24 (เป็นประเด็นเดิมที่เคยเกิดขึ้น ซึ่งเป็นกระบวนการทบทวนการเก็บภาษีทุกๆ 2 ปี ซึ่งริเริ่มโดยอดีตประธานาธิบดี Trump KSS ประเมินผลกระทบต่อการค้ายังจำกัดเท่ากับช่วงก่อนหน้าเพราะไม่มีการเรียกเก็บสินค้าอื่นๆเพิ่ม และอัตราภาษีใกล้เคียงกับช่วงก่อน แต่เป็นสิ่งที่สะท้อนว่า พรรค Democrat ในอนาคตหากชนะการเลือกตั้งจะยังคงเดินน้ากีดกันการค้าในทางเดียวกับพรรค Replubican ทำให้กระแสการย้ายฐานการผลิตมายังประเทศในเอเซียและไทยยังคงเดินหน้าต่อ มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อ Fund Flow และหุ้นกลุ่มนิคม เน้น WHA
(*/+) To monitor ฝั่งสหรัฐ 17 ก.ย. ติดตามดัชนีค้าปลีก ส.ค. คาด -0.2%m-m vs prev. +1.0%m-m, ดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรม คาด +0.1%m-m vs prev. -0.6%m-m 18 ก.ย. ยอดการขอสร้างบ้านใหม่ คาด 1.31 ล้านหลัง vs prev. 1.238 ล้านหลัง, 19 ก.ย. ติดตามยอดขายบ้านมือสอง ส.ค. คาด 3.9 ล้านหลัง vs prev. 3.95 ล้านหลัง 19 ก.ย. ติดตามผลการประชุม Fed ตลาดคาดปรับลดดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 5.0% - 5.25
(-)Oil : ราคาน้ำมันดิบปรับลงเล้กน้อยและแนวโน้มยังเป็นขาลง อิง Brent -0.5%d-d ปิดที่ US$ 71.6/barrel , น้ำมันดิบ West Texas -0.5%d-d ปิดที่ US$ 68.65/barrel
What happened in Thailand ?
(*/+) SET : Set วันทำการล่าสุดปรับตัวขึ้น +2.81 จุด หรือ 0.2% ปิดที่ 1424.39 จุด กลุ่มหนุน คือ กลุ่มพลังงาน (PTTEP, GULF) ตามราคาน้ำมันที่ฟื้นตัวขึ้น จากผลกระทบซัพพลายจากพายุที่เข้าฝั่งอ่าวเม๊กซิโก และ GULF ที่มีแรงหนุนเงินบาทแข็งค่า + Bond Yield ซึมลงต่อเนื่อง กลุ่มสื่อสาร (INTUCH) ปรับตัวขึ้นสอดคล้องกับ GULF ตามกลไกการควบรวมขึ้นเป็นบริษัทใหม่ กลุ่มถ่วง คือ กลุ่มชิ้นส่วน (DELTA) กดดันจิตวิทยาลบเงินบาทแข็งค่าเร็ว กลุ่มค้าปลีก (CPAXT) จิตวิทยาลบความไม่แน่นอนนโยบาย Digital Wallet เฟสถัดไปที่ไม่ชัดเจนจะถูกสลับงบไปลงทุนปรับโครงสร้างประเทศ หรือเดินหน้าต่อ
(+) Flows: กระแสเงินทุนต่างชาติวันทำการล่าสุดไหลเข้า ซื้อพันธบัตร +51.6 ล้านเหรียญฯ ซื้อหุ้น +52.8 ล้านเหรียญฯ TFEX สถานะ Net Long 4,607 สัญญา เงินบาทยังอยู่ในโซนแข็งค่าขึ้นเร่งอีกครั้งสู่ 33.23 +/- บาท
(*/+) Digital Wallet: รมช. คลัง ประกาศเลื่อนแจ้งรับสิทธิ์ "เงินดิจิทัล10,000 บาท" เผยล่าสุดมีผู้ลงทะเบียนผ่านแอปทางรัฐวันสุดท้ายแล้วกว่า 33 ล้านราย แต่การประกาศชื่อผู้มีสิทธิ์จะเลื่อนจากเดิมที่กำหนดไว้วันที่ 22 ก.ย. ขณะที่การลงทะเบียนกลุ่มที่ไม่มีสมาร์ทโฟน จะเลื่อนออกไปเช่นกัน (จากเดิม 16 ก.ย. -15 ต.ค. 24) ทั้งนี้ ทั้งหมดเพื่อจะเป็นการบริหารจัดการในส่วนการให้สิทธิ์กับกลุ่มเปราะบางและผู้พิการจำนวน 14.5 ล้านคนให้เรียบร้อยก่อน โดยจะโอนเข้าสู่ระบบพร้อมเพย์ตามหมายเลขบัตรประชาชนระหว่างวันที่ 25-30 ก.ย. ส่วนการแจกในเฟส 2 ยังมีความไม่แน่นอน และเรามองความชัดเจนน่าจะเพิ่มขึ้นหลัง ครม. ใหม่อนุมัติโครงการสัปดาห์นี้ อย่างไรก็ดี ความคืบหน้าดังกล่าวโดยรวมข้างต้น ยังหนุนเรามองบวกต่อกลุ่ม Domestic ที่จะได้ประโยชน์ ค้าปลีก CPALL, CPAXT, BJC ธนาคาร KBANK, BBL เช่าซื้อ MTC, JMT
(*/+) Digital Tech Consult: เรามองหุ้นในกลุ่มดังกล่าวมีกระแสเชิงบวกหนุนช่วงนี้หลายด้าน 1.) เงินบาทแข็งค่าขึ้นมาเร็ว มองมีโอกาสหนุน Upside มาร์จิ้นจากที่ตลาดประเมินในปัจจุบัน 2.) การเปิดรับผู้สนใจลงทุนธุรกิจ Virtual Bank จะปิดรับสมัคร 19 ก.ย. นี้ อิงรายงาน นสพ.กรุงเทพธุรกิจปัจจุบันมีผู้สนใจ 4 ราย ได้ กลุ่ม ADVANC – OR – KTB, กลุ่ม CP, กลุ่ม BTS และ กลุ่ม SCB ทำให้เราคาดว่า BOT น่าจะสามารถคัดเลือกผู้ประกอบการครบตามเป้าหมาย 3 ราย จุดดี คือ การลงทุนระบบที่ต้องแยกกันกับธนาคารหลัก ผสาน งบประมารัฐฯปี 2568 เบิกจ่ายได้ต่อเนื่อง คาดหนุนมีงานใหม่ๆในกลุ่มมากขึ้นช่วงถัดไป 3.) Gartner คาดว่า มูลค่าใช้จ่ายด้านความปลอดภัยข้อมูลปี 2025 จะเติบโต 15.1%y-y จากกระแสการใช้เทคโนโลยี AI ที่เพิ่มสูงขึ้น โดยรวมเรายังมองบวกต่อกลุ่ม Digital Tech อาทิ BE8, BBIK และเชื่อว่าตลาดมีโอกาสปรับเพิ่มกำไรระยะถัดไปเป็นแรงหนุน
(*) Flood: สถานการณ์น้ำท่วมหลายพื้นที่ไทยช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้ระดับน้ำในเขื่อนวานนี้ (15 ก.ย.) vs สัปดาห์ก่อนหน้า (8 ก.ย.) จะเริ่มเพิ่มขึ้นเร็ว กล่าวคือ ทั่วประเทศ 68% (15 ก.ย.) vs 65% (8 ก.ย.) ภาคเหนือ 64% vs 61% ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 56% vs 52% ภาคกลาง 33% vs 30% ภาคตะวันตก 33%vs 30% ภาคตะวันออก 62% vs 57% ภาคใต้ 68% vs 57% แต่หากเทียบกับช่วงเดียวกันกับ 15 ก.ย. 11 (ปีน้ำท่วมใหญ่) ทั่วประเทศสูง 83% ภาคเหนือ 102% ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 79% ภาคกลาง 79% ภาคตะวันตก 73% ภาคตะวันตก 82% ภาคใต้ 68% โดยรวมเราประเมิน หากไม่มีพายุขนาดใหญ่เข้ามาเพิ่มเติม
ล่าสุดที่มีความเสี่ยง คือ ไต่ฝุ่นยางิสลายตัวเป็นหย่อมความกดอากาศตาพแล้ว ขณะที่ในส่วนพายุเบบินคา ที่ก่อตัวในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตกใกล้กับฟิลิปปินส์ และเคลื่อนที่ไปยังทิศเหนือ ทวีกำลังแรงขึ้นเป็นไต้ฝุ่นระดับ 2 สำนักข่าว Xinhua คาดว่าพายุจะเข้าจีนและสลายตัวที่มณฑลอู๋ฮั่น โดยไม่ได้เข้าสู่พื้นที่ประเทศไทย หากไม่มีพายุเพิ่มเติม
ทั้งนี้ เราเชื่อว่ายังมีผลกระทบบางส่วนที่อาจจะเกิดขึ้นจากกรณีจีนระบายน้ำจากเขื่อนลงมา ประกอบกับ ไทยจะออกจากหน้าฝนหลังจาก กลาง ต.ค. จึงยังต้องติดตามสถานการณ์ต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี โดยปกติ หากเริ่มคลี่คลาย หุ้นได้ประโยชน์จากการซ่อมแซ่มหลังน้ำท่วมมักจะปรับตัวเด่นขึ้น อาทิ ค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง HMPRO, DOHOME กลุ่มรับเหมา+วัสดุ STEC, SCC, TASCO
(*) To Monitor: สัปดาห์นี้ ปัจจัยภายในติดตาม
1.) ติดตามกระแสตอบรับกองทุนวายุภักษ์ที่จะเริ่มเปิดขายให้กับประชาชนทั่วไประหว่าง 16-20 ก.ย.
2.) 17 ก.ย. การประชุม ครม. ครั้งแรก ภายใต้การนำนายกแพรทองธาร ชินวัตร คาดว่าจะมีการพิจารณา
i) นโยบาย Digital Wallet ที่จะปรับปรุงใหม่ ทั้งนี้ การเดินหน้าโครงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดังกล่าว ความชัดเจน Digital Wallet หนุนเรามองบวกต่อกลุ่มหุ้นได้ประโยชน์ อาทิ ค้าปลีก (CPALL, CPAXT, BJC) ธนาคาร (KBANK, BBL) เช่าซื้อ (MTC, JMT)
ii) การพิจารณาโครงการ Mega Projects ที่กระทรวงคมนาคมเตรียมนำเสนอ 3 โครงการ (ทางด่วน 2 โครงการ รถไฟชานเมือง 1 โครงการ) มูลค่า 1.0 แสนล้านบาท ส่วนกรณี Mega Projects เรามองบวกต่อกลุ่มรับเหมา (STEC) วัสดุก่อสร้าง (SCC)
2.) 19 ก.ย. วันสุดท้ายยื่นใบสมัคร Virtual Bank กับ BOT คาดว่าจะมีภาพผู้สนใจคึกคักไมต่ำกว่าโควตาที่เปิด 3 ราย มองบวกต่อกลุ่ม Digital Tech Consult อาทิ BE8, BBIK
3.) FTSE Rebalance มีผลช่วงปิดตลาด 20 ก.ย. จะมีการเปลี่ยนแปลงในแต่ละส่วนดังนี้
o FTSE All World (Large + Mid Cap)
หุ้นเข้า : ไม่มี
หุ้นออก : BLA
***ส่วนการเปลี่ยนแปลงขนาดระหว่าง Large Cap และ Mid Cap ดังนี้
• หุ้นเข้า Large Cap ใหม่ : ไม่มี
• หุ้นออก Large Cap สู่ Mid Cap : CRC, EA, MINT, PTTGC, OR
• หุ้นเข้า Mid Cap ใหม่ : ไม่มี
• หุ้นออก Mid Cap : BLA
***หุ้นที่ขยับลงระหว่าง Large -> Mid cap จะมีผลลบเล็กน้อยจากการ Rebalance เนื่องจาก Market cap ที่ลดลง แต่ผลลบจะน้อยกว่าการถูกถอดออกจากดัชนีหลัก FTSE All world มาก
o FTSE Small Cap :
หุ้นเข้า : BLA, CPNREIT
หุ้นออก : ITD, NER, ORI, TPIPL
o FTSE Micro Cap :
หุ้นเข้า : DITTO, FTREIT, FUTUREPF, ITD, ORI, RBF, SRPIME. SAPPE, SJWD, SYMC, CREDIT, WHART, WICE
หุ้นออก : ZEN, UAC, TRC, THREL, TWPC, TRU, STI, SCAP, SA, SABUY, S11, QHHR, PYLON, POLY, PJW, NCAP, MONO, MILL, MICRO, GEL, GJS, EP, DEMCO, CV, CIMBT, CCET, B-WORK, AS, AMATAV, AMANAH, AJ, 2S
กลยุทธ์ : ระยะสั้น ระมัดระวัง หุ้นใน FTSE All-World ซึ่งเป็น Benchmark หลัก คือ ตัวที่ถูกถอดออก คือ BLA และ Trading เก็งกำไรหุ้นที่ถูกเพิ่มน้ำหนักส่วนใหญ่ที่เป็นกอง REIT ซึ่งล่าสุดมีแรงขับเคลื่อนจากความเชื่อมั่นภาพวงจรดอกเบี้ยใกล้เข้าสู่ขาลงเต็มตัว อาทิ CPNREIT, FTREIT, FUTURPF, SYMC, WHART
Daily Strategy : GULF, GUNKUL, MOSHI เด่น
ระยะสั้น วันนี้มองภาพตลาด "Sideways/Up" รายงานเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุดที่ออกมาเป็นภาพความคาดหวังเงินเฟ้อลดลง ประกอบกับ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เพิ่มขึ้น ยังน่าจะหนุนภาพลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงต่อ และเริ่มเห็นสัญญาณกลุ่ม Value นำตลาดชัดขึ้น โดยรวมน่าจะเป็นบวกต่ออาเซียนและไทยได้ต่อ โดยหุ้นนำวันนี้ เรามอง 1.) หุ้นนำกลุ่ม Domestic (ค้าปลีก ธนาคาร เช่าซื้อ) 2.) กลุ่มอยู่ในช่วงฤดูกาล (ร.พ.) 3.) หุ้นเงินบาทแข็งค่าหนุน (โรงไฟฟ้า สายการบิน Digital Tech กลุ่มจำหน่ายมือถือ)
หุ้นที่มีโอกาสถูกเพิ่มน้ำหนักจากกองทุนวายุภักษ์ที่กำลังจะกลับมา
กลุ่มที่ 1 หุ้นที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น, อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และมีแนวโน้มเติบโตดีในช่วง 2024 – 2025 ได้แก่ AOT, KTB, PTT
กลุ่มที่ 2 หุ้นที่อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และซื้อขายในระดับ Valuation Zone รวมถึงมีแนวโน้มการเติบโตดี ได้แก่ CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO, SCGP
กลุ่มที่ 3 หุ้นที่มีน้ำหนักใน SETESG สูงและมีแนวโน้มการเติบโตดี อยู่ใน Theme Data Center ได้แก่ ADVANC, GULF มีโอกาสเป็นเป้าหมาย
กลุ่มที่ 4 หุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์ Theme ที่ 4 คือ Div Yield 2024-2025 สูง >5% และอยู่ใน ThaiESG หุ้น (KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH)
กลุ่มที่ 5 หุ้นที่ยังมีน้ำหนักในกองทุนวายุภักษ์น้อย ขณะที่เข้าเกณฑ์ ESG Score (ถ้าอยู่ใน SET100 เรทติ้ง A ขึ้นไป ต่ำกว่า SET100 AA ขึ้นไป การเติบโตปี 2024-25 เกณฑ์ดี CPALL CPAXT BDMS CRC HMPRO IVL MTC BJC WHA
หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, ADVANC, TRUE, DELTA, INSET, BE8, BBIK, LTS)
กลุ่มที่ได้ประโยชน์เงินบาทแข็งค่า กลุ่มที่มีหนี้สินต่างประเทศสูง + กลุ่มนำเข้าสินค้า/บริการ/วัตถุดิบ รวมถึงงบลงทุนที่ต้องใช้อุปกรณ์จากต่างประเทศ (GULF, GPSC, BA, COM7, SYNEX, ADVICE, BE8, BBIK, TAN, MOSHI)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (AOT, BTS, VGI, BJC, STEC, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, GPSC, BA, AAV, MTC, AEONTS, TRUE, MINT, CPALL, CPAXT)
• SEP24 Best Picks: ADVANC, CPALL, CPAXT, MTC , MINT, GPSC, CHG
• 3Q24Stock Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP
Tactical & Investment Idea
Research Highlight
• Strategy Update : Vayupak Plays
การแถลงข่าวการนำกองทุนวายุภักษ์วานนี้ KSS มองจุดน่าจะหนุนตลาดหุ้นต่อเนื่อง ได้แก่
1.) เม็ดเงินที่จะระดมทุนรอบนี้ 1.5 แสนล้านบาท จะเป็นเม็ดเงินใหม่ที่ทยอยลงทุนในตลาดนับจาก 1 ต.ค. 24
2.) กองทุน แม้สามารถเลือกลงทุนได้หลากหลาย แต่จะเน้นการลงทุนที่หุ้นไทยเป็นหลัก
3.) เม็ดเงินกองทุนที่จะเพิ่มขึ้น คาดจะเห็นการกระจายเม็ดการลงทุน เน้นลงทุนหุ้นที่มี ESG Score สูง เน้นหุ้นที่มี SET100 ได้เรทติ้ง ESG A ขึ้นไป, ต่ำกว่า SET100 ได้เรทติ้ง AA ขึ้นไป
4.) ข้อจำกัดของกองทุนบางส่วน อาทิ การลงทุนในหุ้นใดหุ้นหนึ่งไม่เกิน 25% ของ NAV และกลุ่มธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งไม่เกิน 30% ของ NAV รวมถึงลงทุนในหุ้นใดหุ้นหนึ่งไม่เกิน 25% ของสิทธิ์ออกเสียง น่าจะทำให้โอกาสการเพิ่มเม็ดเงินใน PTT และ SCB จำกัดขึ้น
5.) กรอบผลตอบแทนวายุภักษ์ 3-9% น่าจะจูงใจเม็ดเงินใหม่ใกล้เป้าหมายระดมทุนที่ 1.5 แสนล้านบาท
เรามองบวกต่อความชัดเจนดังกล่าว มองเม็ดเงินใหม่ที่จะเข้ามาหนุนตลาดในงวด 4Q24 มีนัยฯ โดยการลงทุนกองทุนวายุภักษ์ที่กระจายมากขึ้นสู่หุ้นที่มี ESG Score สูงๆ จะหนุนมีทั้งฝั่งวายุภักษ์ 1.5 แสนล้านบาท และเม็ดเงินการลงทุนลดหย่อนภาษีกองทุน ThaiESG ซึ่งเกณฑ์มีความจูงใจ (ลดหย่อนได้ 30% ของรายได้ วงเงินสูง 3.0 แสนล้านบาท แยกจากวงเงินลดหย่อนภาษีรูปแบบเดิม) จะได้รับความนิยมมากขึ้น โดยรวมมองเม็ดเงินลงทุนเร่งขึ้นในช่วง 4Q24 สูงถึงราว 1.7-1.8 แสนล้านบาท
ทิศทางดังกล่าวคาดจะหนุน SET เดินหน้าสู่เป้าหมายสิ้นปี 2024 ประเมินที่ 1540 จุด ประเมินจะตอบรับเชิงบวกคล้ายกับในอดีต 1 ธ.ค. 2003 ซึ่งกองทุน Vayupak เริ่มซื้อขาย SET Index ปรับขึ้นรวมราว 146 จุดหรือ +22.9% ในช่วง 30 พ.ย. 2003 - 12 ม.ค.2004 จุด Peak ในรอบนั้น
กลยุทธ์การลงทุนแนะนำลงทุนหุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์และอยู่ใน ThaiESG ใน 5 กลุ่ม คือ
กลุ่มที่ 1 หุ้นที่คลังถือหุ้น, อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และมีเติบโตดี 2024 – 2025 (AOT, KTB, PTT)
กลุ่มที่ 2 หุ้นอยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และซื้อขายในระดับ Valuation Zone การเติบโตดี CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO, SCGP
กลุ่มที่ 3 หุ้นที่มีน้ำหนักใน SETESG สูงเติบโตดี อยู่ใน Theme Data Center ได้แก่ ADVANC, GULF
กลุ่มที่ 4 หุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์ Div Yield 2024-2025 สูง >5% และอยู่ใน ThaiESG KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH
กลุ่มที่ 5 หุ้นที่ยังมีน้ำหนักในกองทุนวายุภักษ์น้อย ขณะที่เข้าเกณฑ์ ESG Score (ถ้าอยู่ใน SET100 เรทติ้ง A ขึ้นไป ต่ำกว่า SET100 AA ขึ้นไป การเติบโตปี 2024-25 เกณฑ์ดี CPALL CPAXT BDMS CRC HMPRO IVL MTC BJC WHAใน ThaiESG หุ้น (KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH)
• Strategy Update : Data Center
กระแสเทคโนโลยีสมัยใหม่ Cloud, AI และในอนาคตในส่วนระบบ Automation แม้ไทยอาจจะไม่ได้อยู่ในกลุ่มประเทศต้นน้ำที่ได้ประโยชน์จากการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีขึ้นมาโดยตรง แต่กระแสหลักนี้ จะสร้างโอกาสให้ไทยช่วง 4-5 ปีนับจากนี้ ด้วยศักยภาพการเป็นศูนย์กลางโครงสร้างพื้นฐานสำคัญด้านเทคโนโลยี กล่าวคือ Data Center ในไทย มีจุดเด่นจากพื้นที่ตั้งเป็นศูนย์กลางภูมิภาค, ความพร้อมโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ 4G 5G ที่ครอบคลุม ความเสี่ยงต่อภัยพิบัติต่ำ และกระแสไฟฟ้าที่มีเสถียรภาพและมั่นคง ทำให้ไทยเป็นจุดสนใจ จากการขยาย Data Center จากสิงคโปร์ซึ่งเป็นศูนย์กลางเดิมที่เริ่มมีข้อจำกัด
จากการรวบรวมตัวเลข KSS ในส่วนเม็ดเงินลงทุน Data Center ที่มีโอกาสเกิดขี้นในประเทศหลักๆ เราประเมินปัจจุบันมีเม็ดเงินมหาศาลรอลงทุน Data Center ในไทยช่วง 4-5 ปีจากนี้ ไม่น้อยกว่า 2.0 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนสูงราว 1.1% ของมูลค่า GDP ประเทศไทยในปัจจุบัน โดยหากทยอยลงทุน 4-5 ปี เท่ากับผลบวกต่อ GDP ราว 0.2-0.25% ต่อปี ซึ่งยังไม่รวมการนำมาสู่ประโยชน์ด้านดิจิตอลต่างๆ อีกจำนวนมากต่อประเทศ ถือเป็นหนึ่งใน S Curve ใหม่ของไทย และ Upside ของเศรษฐกิจระยะกลาง-ยาวที่เชื่อว่าตลาดยังแทบไม่รวมในประมาณการ GDP
มุมมองเชิงกลยุทธ์ ประเมินว่า Upside จากแรงขับเคลื่อนด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ มีจุดเด่นสำคัญ คือ ปริมาณข้อมูลที่ใช้สนับสนุนจะเติบโตแบบทวีคูณ (Exponential) ซึ่งน่าจะสร้างโอกาสทางธุรกิจสูงกว่าที่ตลาดคาดคิดไว้ และเป็น Thematic Theme ระยะกลาง-ยาว 1-5ปี KSS มีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นที่อยู่ในระบบนิเวศน์ของ Data Center โดยฝั่ง Data Center เราแนะนำผู้ได้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานขยายตัวโดยตรง อาทิ GULF INTUCH ADVANC TRUE INSET DELTA STPI(Non-Coverage) กลุ่ม Digital Tech ที่ Data Center จะนำมาสู่ Upside งานประเภท Cloud Adoption และ AI รวมถึง Automation Adoption ระยะหนุนอุตสาหกรรมเข้าสู่รอบใหญ่ของการขยายตัวอีกครั้ง อาทิ BE8 BBIK ส่วนกระแส Cycle เทคโนโลยี AI ที่ผลักดันอุปกรณ์สื่อสารต่างๆ พัฒนาให้มี AI พื้นฐานติดเครื่องมากขึ้น จะสร้างโอกาส ฟื้นตัวจากรอบการเปลี่ยนอุปกรณ์ตามกระแส AI เราคาดไม่ต่างไปจากยุค 3G 4G หนุนหุ้นได้ประโยชน์ อาทิ HANA , ADVICE(Non-Coverage), SYNEX(Non-Coverage)
Best Picks : GULF, TRUE, DELTA, INSET, BE8, HANA, ADVICE
• Strategy Update : FTSE Rebalance
FTSE ประกาศผลการ Rebalance ดัชนีรอบใหม่แล้ว คาดมีผลราคาปิด 20 ก.ย. 24 จะมีการเปลี่ยนแปลงในแต่ละส่วนดังนี้
o FTSE All World (Large + Mid Cap)
หุ้นเข้า : ไม่มี
หุ้นออก : BLA
***ส่วนการเปลี่ยนแปลงขนาดระหว่าง Large Cap และ Mid Cap ดังนี้
• หุ้นเข้า Large Cap ใหม่ : ไม่มี
• หุ้นออก Large Cap สู่ Mid Cap : CRC, EA, MINT, PTTGC, OR
• หุ้นเข้า Mid Cap ใหม่ : ไม่มี
• หุ้นออก Mid Cap : BLA
***หุ้นที่ขยับลงระหว่าง Large -> Mid cap จะมีผลลบเล็กน้อยจากการ Rebalance เนื่องจาก Market cap ที่ลดลง แต่ผลลบจะน้อยกว่าการถูกถอดออกจากดัชนีหลัก FTSE All world มาก
o FTSE Small Cap :
หุ้นเข้า : BLA, CPNREIT
หุ้นออก : ITD, NER, ORI, TPIPL
o FTSE Micro Cap :
หุ้นเข้า : DITTO, FTREIT, FUTUREPF, ITD, ORI, RBF, SRPIME. SAPPE, SJWD, SYMC, CREDIT, WHART, WICE
หุ้นออก : ZEN, UAC, TRC, THREL, TWPC, TRU, STI, SCAP, SA, SABUY, S11, QHHR, PYLON, POLY, PJW, NCAP, MONO, MILL, MICRO, GEL, GJS, EP, DEMCO, CV, CIMBT, CCET, B-WORK, AS, AMATAV, AMANAH, AJ, 2S
กลยุทธ์ : ระยะสั้น ระมัดระวัง หุ้นใน FTSE All-World ซึ่งเป็น Benchmark หลัก คือ ตัวที่ถูกถอดออก คือ BLA และ Trading เก็งกำไรหุ้นที่ถูกเพิ่มน้ำหนักส่วนใหญ่ที่เป็นกอง REIT ซึ่งล่าสุดมีแรงขับเคลื่อนจากความเชื่อมั่นภาพวงจรดอกเบี้ยใกล้เข้าสู่ขาลงเต็มตัว อาทิ CPNREIT(TP Con-11.7, Yield25F- 9.9%), FTREIT(TP Con11.8, Yield25F-7.5%), FUTURPF, SYMC(TP Con-12.6), WHART(TP Con10.8, Yield25F-7.8%)
• Soft Commodity (Neutral): สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคายางพาราเพิ่มขึ้น 3.24%w-w เพราะภาวะฝนตกหนัก ทำให้ผลผลิตยางไทยเข้าสู่ตลาดน้อยลง ขณะที่ผู้ส่งออกเร่งซื้อยางเพื่อส่งออก อย่างไรก็ตามราคาน้ำตาลลดลง -1.96%w-w เพราะคาดไทยและอินเดียมีผลผลิตน้ำตาลมากขึ้น ราคาน้ำมันปาล์มลดลง -1.03%w-w เพราะกังวลอินเดียจะขึ้นภาษีนำเข้าน้ำมันพืชเพื่อป้องกันอุตฯน้ำมันพืชในประเทศ ราคาถั่วเหลืองลดลง -0.75%w-w เพราะ USDA รายงาน Crop progress ว่าการปลูกถั่วเหลืองสหรัฐดีกว่าปีก่อน
อุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ ราคาไก่ -2.34% มาที่ 41.70 บาท (ต้นทุน 37-38 บาท) ราคาสุกรทรงตัวที่ 73.5 บาท (ต้นทุน 68-77 บาท) ราคาสุกรจีน -1.08% มาที่ 19.66 หยวนหรือ 92.4 บาท (ต้นทุนการเลี้ยงที่ 16.5 หยวน) เพราะการบริโภคอ่อนตัว ราคาสุกรเวียดนาม +0.52% มาที่ 64,333 ดองหรือ 90 บาท
เราให้น้ำหนักกลุ่มฯ NEUTRAL เราให้ Top pick CPF (TP25F 31) ได้ภาพบวกทั้งราคาสุกรจีน-เวียดนาม-ไทยที่เพิ่มขึ้น การส่งออกไก่ที่เพิ่มขึ้น ต้นทุนถั่วเหลืองลดลง ค่าเงินบาทแข็งมีผลเป็นกลาง ต่อ CPF เพราะเป็น Natural hedge (มีทั้งส่งออกและนำเข้าเงินต่างประเทศ) และ GFPT (TP25F 17.30) แนวโน้มการส่งออกไก่โตและราคาไก่เพิ่ม ต้นทุนถั่วเหลืองลดลง และเป็น Natural hedge
• TISCO (Neutral): เรามีมุมมอง Neutral ต่อกำไรสุทธิ 3Q24F ที่ 1.70 พันลบ. ลดลง -9%y-y และ -3%q-q เพราะ i) สินเชื่อรวมลดลง -1.0% q-q หรือคิดเป็น -1.6% YTD จากการลดลงของสินเชื่อทุกกลุ่ม ii) ต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น iii) การลดลงของรายได้ค่าธรรมเนียม-บริการ เช่น Bancassurance, Brokerage fee และ IB fee เป็นต้น iv)ค่าใช้จ่ายสำรองเพิ่มขึ้น จากคุณภาพสินทรัพย์อ่อนแอ โดยเฉพาะสินเชื่อรายย่อย NPL Ratio อยู่ที่ 2.50% เพิ่มต่อจาก 2.44% ใน 2Q24 สำหรับภาพรวมอุตสาหกรรมตลาดรถเช่าซื้อ เรายังไม่เห็นปัจจัยบวก ทั้งคุณภาพสินทรัพย์ อัตราดอกเบี้ย และราคารถ ทั้งนี้เราคงมอง TISCO มีปันผลเด่น dividend yield คาดที่ 7-8% ต่อปี
3Q24F Equity Outlook : The strong get stronger, the weak get less weak
Stock Best Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA
Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP