AT THE OPEN (#ATO)
SET Index รีบาวน์ 1415-1435
เลือกหุ้นที่มีปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นของรัฐฯ
Market Strategy
SET Index ฟื้นตัวตามกรอบ 1410-1430 จุด ตามตลาดหุ้นสหรัฐฯ ราคาน้ำมันดิบที่ปรับขึ้น ส่วนปัจจัยในประเทศวันนี้เป็นการแถลงนโยบายของรัฐบาล ด้าน Fund Flow ต่างชาติยังเป็นบวกจากการซื้อในตลาดหุ้น 5 วันติดต่อกัน กลยุทธ์วันนี้เลือกหุ้นที่ได้ประโยชน์จากมาตรการภาครัฐฯ CPN CK
การรายงานเงินเฟ้อสหรัฐฯเดือน ส.ค. ขยายตัว 2.5%YoY ตามตลาดคาดและลดลงจากเดือนก่อน 2.9%YoY ด้านเงินเฟ้อพื้นฐานขยายตัว 3.2%YoY ตามคาดและทรงตัวจากเดือนก่อน อิงตาม FEDWATCH Tool ตลาดคาดการประชุม FED สัปดาห์หน้า (รู้ผล 19 ก.ย.) จะปรับลดดอกเบี้ยฯ 0.25% ด้วยความน่าจะเป็น 85% ขณะที่การตอบสนองของตลาดหุ้นสหรัฐฯวานนี้ปรับขึ้นทั้งหมด นำโดย Nasdaq 2.2% S&P500 +1% Dow Jones +0.3% ด้านราคาน้ำมันดิบรีบาวน์ +2% หนุนจากความกังวลต่อเฮอร์ริเคนที่กระทบกำลังการผลิต ในสหรัฐฯ สภาพแวดล้อมข้างต้นเราเชื่อว่าจะเป็นแรงหนุน ต่อกลุ่มอิเล็คทรอนิกส์ (DELTA) กลุ่มพลังงาน (PTTEP BCP) ในวันนี้
การดีเบทชิงผู้สมัครประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระหว่างคุณทรัมป์และคุณแฮร์ริสวานนี้ จากผลสำรวจหลายแห่งเห็นตรงกันว่าคุณแฮร์ริสเป็นฝ่ายชนะ ทำให้ตลาดมาให้น้ำหนักกับนโยบายของพรรคเดโมแครต ซึ่งโดยรวมจะเป็นการสานต่อนโยบายของคุณไบเดน เช่น นโยบายการค้าระหว่างประเทศยังเน้นสร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มประเทศพันธมิตรและกีดกันการค้ากับจีน สนับสนุนพลังงานสะอาด ส่วนนโยบายภาษีจะปรับขึ้นภาษีนิติบุคคลสหรัฐฯ จาก 21% เป็น 28% เราประเมินนโยบายจากเดโมแครตจะส่งผลดีกับการค้าของ ASEAN มากกว่า ขณะที่การกีดกันการค้ากับจีนที่ยังคงอยู่เรามองว่าจะทำให้กระแสย้ายฐานการผลิตยังดำเนินต่อไป ซึ่งจะเป็นบวกต่อกลุ่มนิคม WHA AMATA
ปัจจัยในประเทศวันนี้ติดตามการแถลงนโยบายของนายกฯต่อรัฐสภา ซึ่งเราคาดว่าตลาดให้น้ำหนักไปที่ 10 นโยบายเร่งด่วน เช่น Digital Wallet, การปรับโครงสร้างหนี้ การดึงเศรษฐกิจนอกระบบมาในระบบภาษี (Enterainment Complex) ซึ่งมองเป็นบวกต่อกลุ่ม Domestic Consumption CPALL CPN SAK MTC และกลุ่มที่รับเหมาฯ CK เป็นต้น
Market Summary
SET Index ติดลบ -12.6 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายหนาแน่น 7.4 หมื่นล้านบาท แต่หากไม่รวมรายการ Big Lot ของ BH มูลค่าการซื้อขายลดเหลือ 6.9 หมื่นล้านบาท กดดันหลักมาจากกลุ่มพลังงาน PTT -2.2% PTTEP -1% TOP -3% ที่ปรับลงตามราคาน้ำมันดิบ ส่วนกลุ่มที่ปรับขึ้นสวนทางโรงไฟฟ้า GPSC +3.3% กลุ่มได้ประโยชน์จากการฟื้นฟูหลังน้ำท่วม TASCO +1.1% DCC และ TOA +0.5%
ATO Daily Stock Picks
แนะนำ CPN CK
CK การเร่งลงทุนภาครัฐฯ
จะหนุนราคา
คาดกำไรปี 2567/68/69E จะเติบโตโดดเด่น 30% / 15% / 24% YoY ตามลำดับ โดยเฉพาะปี 2569 กำไรจะทำสถิติสูงสุดใหม่ 2,711 ล้านบาท แนวโน้มคาดจะได้งานเพิ่มจากโครงการของบริษัทลูกเพิ่ม ทำให้ Backlog เข้าสู่ New S-Curve ช่วยเพิ่มอัพไซด์ต่อประมาณการ
แรงหนุนช่วงถัดไปอยู่ที่การเร่งผลักดันโครงการภาครัฐฯ ออกมาประมูล โดยล่าสุด รมว.คมนาคมเผยว่าเตรียมเสนอครม.สัปดาห์หน้าต่อการ พิจารณา 3 โครงการ วงเงิน 9.37 หมื่นล้านบาท
เราได้ปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 27.50 บาท ด้วยวิธี Sum of the part จากเดิม 26 บาท เนื่องจากเราปรับราคาเป้าหมาย BEM เพิ่มขึ้น และ CK มี Backlog ที่ทำสถิติสูงสุดใหม่ถึง 2.226 แสนล้านบาท หลังจากที่ได้งานโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มมูลค่ารวม 1.092 แสนล้านบาท
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 27.50 บาท
CPN กำไรยังมีแนวโน้มเติบโต
สวนทางราคาหุ้นที่ไม่ตอบสนอง
แนวโน้มธุรกิจ 2H67 ยังเติบโตหนุนจากธุรกิจศูนย์การค้าและโรงแรม ที่เชื่อว่าจะได้ประโยชน์จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติและการเข้าสู่ช่วงท่องเที่ยวปลายปี ช่วยหนุนปริมาณผู้ใช้บรืการ หนุนกำไรปกติปี 67 อยู่ที่ 1.66 หมื่นล้านบาท ขยายตัว 9.4%YoY
แต่อย่างไรก็ตามราคาหุ้น YTD กลับให้ผลตอบแทนติดลบ 7.6% สวนทางกำไรที่ยังเติบโต ขณะที่ในด้าน Valuation ซื้อขาย PER67E อยู่ที่ 16 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี -1.6 SD จึงมองว่าเป็นระดับที่ถูกเกินไป
แรงขับเคลื่อนราคาหุ้นในระยะสั้นมาตรการกระตุ้นภาคบริโภคของรัฐฯ ช่วยฟื้นกำลังซื้อ ขณะที่ทิศทาง Fund Flow ต่างชาติเราเห็นสัญญาณบวกจากการเดือน ก.ย.ซื้อสุทธิผ่าน NVDR ราว 287 ล้านบาท ซึ่งเชื่อว่ามี Momentum ต่อได้
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 77.50 บาท
KEY FACTOR
เงินเฟ้อเดือน ส.ค. ของสหรัฐฯ 1) CPI ขยายตัว +2.5% YoY และ +0.2% MoM 2) Core CPI ขยายตัว +3.2% YoY และ +0.3% MoM ซึ่งในภาพรวมถือว่าสอดคล้องกับที่ Bloomberg Consensus คาดการณ์ ทั้งนี้ เงินเฟ้อที่ชะลอลงตตามคาดในเดือน ส.ค. ตอกย้ำมุมมองตลาดที่ให้น้ำหนัก Fed ลดดอกเบี้ย 25 bps ด้วยโอกาส 83% ในขณะที่อีก 17% ไม่ปิดโอกาสการลดดอกเบี้ย 50 bps
ในวันนี้ปัจจัยภายในประเทศ มีกำหนดการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาอย่างเป็นทางการของรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งตลาดน่าจะให้น้ำหนักไปที่รายละเอียดมาตรการเร่งด่วยที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระยะสั้น นำโดย 1) การกระตุ้นการบริโภค แจกเงิน 10,000 บาท 2) การลดราคาพลังงาน และการปรับค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งจะพ่วงมาด้วยมาตรการช่วยเหลือด้านภาษี 3) การแก้หนี้ ซึ่งคาดว่าจะมีรายละเอียดที่ชัดเจนมากขึ้น และยังน่าจะเป็น sentiment บวกต่อตลาดหุ้นไทย
ในขณะที่ต่างประเทศจะมีการประชุม ECB ซึ่ง Consensus ให้น้ำหนักแบบเอกฉันท์ว่าจะลดดอกเบี้ย 25 bps เพื่อช่วยฟื้นเศรษฐกิจที่ยังอ่อนแอ
EYES ON
12 ก.ย. PPI สหรัฐฯ เดือน ส.ค., ประชุม ECB
นักกลยุทธ์ : ธีรเศรษฐ์ พรหมพงษ์, ชาญชัย พันทาธนากิจ