สำนักข่าวหุ้นอินไซด์( 6 กันยายน 2567)-- 4 เทพหุ้น ผ่ากลยุทธ์การลงทุน เดือนกันยายน2567 หลังSET ทะลุ1,400 จุด บล.ทิสโก้ แนะเล่น ขนาดใหญ่ ด้านกูรูทรีนีตี้ มองกลุ่มส่งออก -กลุ่มหุ้นบริการเด่น ขณะที่ บล.เอเซีย พลัส แนะนำสะสมหุ้นพื้นฐานที่แนวโน้มกำไร 3Q67 เด่น CKP, PR9 และหุ้นใหญ่ เป้าหมาย FUND FLOW AOT, CPALL, INTUCH, MTC และเทพหุ้นเมย์แบงก์ แจก 3 หุ้นเด็ด BCP -BBIK-SAK
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล, CISA ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า บล.ทิสโก้แนะนำให้ติดตามการทำงานของรัฐบาลใหม่โดยเฉพาะการแจกเงินให้กับกลุ่มเปราะบางก่อนที่จะต้องดำเนินการก่อน 30 กันยายน เพื่อให้ทันใช้เงินงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปี 2567 วงเงิน 1.22 แสนล้านบาท รวมทั้งการจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์ หากทำสำเร็จตามเงื่อนเวลาที่กำหนด คาดจะขับเคลื่อน SET Index ขึ้นไปแกว่งเหนือระดับ 1,400 จุดได้ไม่ยาก แต่ในทางกลับกัน หากการทำงานของรัฐบาลใหม่เผชิญอุปสรรค มีความล่าช้าเกิดขึ้น เช่น การยื่นร้องในประเด็นต่าง ๆ ที่สุ่มเสี่ยงให้เกิดอุบัติเหตุทางการเมืองเหมือนที่ผ่าน ๆ มา ก็อาจทำให้ SET Index เกิดผันผวนได้หลังจากที่ปรับตัวขึ้นมาเร็วก่อนหน้านี้มาจากความคาดหวังเป็นส่วนใหญ่
อย่างไรก็ตาม นอกจากประเด็นด้านการเมืองแล้ว ตลาดหุ้นไทยยังมีปัจจัยบวกจากกระแสเงินทุนต่างชาติเริ่มไหลเข้า โดยเห็นสัญญาณตั้งแต่ช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา และคาดว่าเงินต่างชาติจะไหลเข้าต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปีนี้จาก 3 ประเด็นคือ 1. การเมืองมีความชัดเจนแล้วและเสถียรภาพรัฐบาลใหม่ดูแข็งแกร่งกว่าเดิม 2. ตลาดหุ้นไทยยังปรับขึ้นน้อยกว่าตลาดโลกและซื้อขายที่ระดับ PER ถูกกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต 3. โอกาสการซื้อคืนของต่างชาติหลังจากที่ปีนี้ (YTD) ยังมียอดขายสุทธิสะสมมากกว่า 1.2 แสนล้านบาท สอดคล้องกับสถานะชอร์ตคงค้างที่มีมูลค่าลดลงต่อเนื่อง
นอกจากนี้ หากผสานกับเม็ดเงินกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (TESG) ที่ปรับเงื่อนไขแล้วน่าดึงดูดขึ้น คาดจะเงินไหลเข้าราว 2-3 หมื่นล้านบาท และการจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์อีก 1-1.5 แสนล้านบาทในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้านี้ จะเป็นผลดีต่อตลาดหุ้นไทยโดยรวม จากการประเมินของ บล.ทิสโก้พบว่าทุก ๆ เงินกองทุนที่ไหลเข้าสุทธิ 1 หมื่นล้านบาท จะช่วยหนุนดัชนีหุ้นไทย (SET Index) ปรับขึ้นโดยเฉลี่ยประมาณ 12-13 จุด
บล.ทิสโก้แนะนำหาจังหวะสะสมหุ้นขนาดใหญ่ที่คาดว่าจะเป็นเป้าเงินทุนไหลเข้าในกลุ่มอุตสาหกรรมหลักต่าง ๆ เด่น AOT, ADVANC, BJC, GULF, PTT, TTB และหุ้นที่แนวโน้มกำไรดีมีปัจจัยหนุนเฉพาะตัวในระยะสั้น แนะนำ CK, FM, ICHI ดังนั้น หุ้นเด่นเดือนกันยายน คือ AOT, ADVANC, BJC, CK, FM, GULF, ICHI, PTT และ TTB ด้านแนวรับดัชนีหุ้นไทยเดือนนี้อยู่ที่ 1,330-1,340 จุด และแนวต้านสำคัญอยู่ที่ 1,390 จุด 1,400 จุด 1,410 จุด และ 1,430 จุด ตามลำดับ
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยถึงทิศทางการลงทุนในเดือนกันยายน 2567 โดยประเมินว่า SET Index มีโอกาสผันผวนอิงทางลง โดยเฉพาะในช่วงครึ่งเดือนหลัง เนื่องมาจาก 3 สาเหตุหลัก
1. หมดช่วงข่าวดีทางการเมืองภายในระยะสั้นไปแล้ว โดยหลังจากที่เริ่มเห็นความชัดเจนเกี่ยวกับโผคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่แล้วมองว่าข่าวดีทางการเมืองสุดท้ายที่รออยู่น่าจะเป็นการแถลงนโยบายของนายกฯ ต่อสภา ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นภายในวันที่ 15 ก.ย.นี้ เมื่อถึงจุดนี้ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการลงทุนคือ นักลงทุนในตลาดจะเลือกหันมาพิจารณาภาพความเป็นจริงหรือพื้นฐานกำไรของบจ.กันมากขึ้น ซึ่งล่าสุดยังไม่มีสัญญาณที่ดีขึ้นแต่อย่างใด
2. ความผิดหวังที่อาจเกิดขึ้นจากการประชุม FOMC ในวันที่ 17-18 ก.ย. นี้ ไม่ว่าการลดดอกเบี้ยจะออกมาในระดับไหนก็ตาม หากลด 0.25% ก็เป็นสิ่งที่ตลาดคาดการณ์ไว้แล้ว และอาจทำให้นักลงทุนบางส่วนไม่สบายใจว่า Fed อาจลดดอกเบี้ยน้อยเกินไป ในสภาวะที่เศรษฐกิจมีความเสี่ยงมากขึ้น ขณะเดียวกันหากลด 0.50% ก็จะทำให้นักลงทุนบางส่วนกังวลว่า Fed อาจเห็นสัญญาณความเสี่ยงในระบบเศรษฐกิจมากขึ้นหรือไม่ ซึ่งอาจทำให้ประเด็น Recession fear กลับเข้ามามีน้ำหนักอีกครั้ง ทั้งนี้ ทางทรีนีตี้ คาดว่า Fed จะเริ่มต้นการลดดอกเบี้ยครั้งแรกเพียง 0.25% ไปก่อน ซึ่งอาจทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯปรับตัวรีบาวด์ขึ้น จนส่งผลให้ปรากฏการณ์ USD carry trade ที่เกิดขึ้นในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมายุติลงชั่วคราว
3. แรงขายของนักลงทุนสถาบันภายในประเทศ ซึ่งมักเกิดขึ้นเป็นปกติในเดือนกันยายนของทุกปี โดยอาจเป็นการเตรียมเงินสดเพื่อรองรับการไถ่ถอนของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพต่างๆ
นายณัฐชาต กล่าวว่าในส่วนของข่าวเชิงบวกที่อาจเกิดขึ้นในเดือนกันยายน คือ ความคืบหน้าเกี่ยวกับการเสนอขายหน่วยลงทุนรอบใหม่ของกองทุนวายุภักษ์ หากมีความชัดเจนเกิดขึ้น อาจช่วยประคับประคอง Sentiment ในตลาดหุ้นไทยเอาไว้ได้บ้าง ประเมินกรอบแนวต้านเดือนกันยายนที่ 1370 และ 1400 จุด ส่วนแนวรับประเมินที่ 1320 และ 1290 จุด ในเชิงกลยุทธ์ แนะนำ Wait & See และรอจังหวะการซื้อหุ้นกลับรอบใหม่ที่บริเวณแนวรับที่ให้ไว้
นายณัฐชาต กล่าวว่าสำหรับเดือนกันยายนนี้ แนะนำกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจ ได้แก่
1. กลุ่มส่งออกที่มียอดการส่งออกในเดือนล่าสุดออกมาในเกณฑ์ดีและราคาปรับฐานลงมาในระดับหนึ่งแล้ว ได้แก่ GFPT, AAI, ITC, COCOCO, KCE
2. กลุ่มหุ้นบริการที่กำลังอยู่ในช่วง High season เลือก BH, MINT
บล.เอเซีย พลัส มองกรอบการเคลื่อนไหวของ SET Index เดือน ก.ย.67 ไว้ที่ 1300 – 1400 จุด หลังเริ่มเห็นหลายปัจจัยช่วยพยุงตลาดหุ้นไทย ทั้งถนนการเมืองไทยที่ขรุขระเริ่มราบเรียบขึ้น พร้อมกับนโยบายรัฐบาลเดินหน้าต่อแบบไม่มีสูญญากาศ หนุนให้เศรษฐกิจไทยมีโอกาสเติบโตแรงจากฐานต่ำ พร้อมกับมี Digital Wallet ช่วยเสริมความแข็งแกร่ง ขณะที่กำไรบริษัทจดทะเบียนประเมินมีโอกาสเติบโตตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ฝ่ายวิจัยฯ วางเป้าหมายดัชนีปี 2567 อยู่ที่ 1450 จุด และหากกนง. ลดดอกเบี้ยทุกๆ 1 ครั้ง มีโอกาสยกเป้าหมายดัชนีให้สูงขึ้นไปได้ทีละ 60 จุด กลยุทธ์การลงทุนในเดือนนี้ แนะนำสะสมหุ้นพื้นฐานที่แนวโน้มกำไร 3Q67 เด่น CKP, PR9 และหุ้นใหญ่ เป้าหมาย FUND FLOW AOT, CPALL, INTUCH, MTC
เดือน ก.ย. เริ่มนโยบายการเงินโลกผ่อนคลายแบบเต็มสูบ โดย Fed อาจลดดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 4 ปีครึ่ง และน่าจะลด 0.75 – 1% ในช่วงเวลาที่เหลือของปี เหลือ 4.5% - 4.75% หนุนให้ค่าเงินเอเชียและบาทแข็งค่าขึ้น และเม็ดเงินมีโอกาสไหลเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ส่วนประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามช่วงต้นเดือน รอดูตัวเลขภาคตลาดแรงงาน ณ 6 ก.ย. ถ้าอัตราการว่างงานใน เดือน ส.ค.67 ออกมาตามตลาดคาด 4.2% จะทำให้ตัวชี้นำ Recession อย่าง SAHM RULE ช่วง Mini Black Monday 0.53% เพิ่มขึ้นเป็น 0.57% ได้ รวมถึงรอติดตามการดีเบตของว่าที่ปธน. สหรัฐคนใหม่ใน 10 ก.ย. นี้ กลับมาที่ประเทศไทย ถนนการเมืองไทยที่ขรุขระเริ่มราบเรียบขึ้น พร้อมกับนโยบายรัฐบาลเดินหน้าต่อแบบไม่มีสูญญากาศ โดยงบประมาณปี 67 และ 68 ไม่สะดุด หนุนให้เศรษฐกิจไทยมีโอกาสเติบโตแรงจากฐานต่ำคาด GDP 2H67 เติบโต 3.5% (GDP 1H67 +1.9%) พร้อมกับมี Digital Wallet ช่วยเสริมความแข็งแกร่ง ส่วนความเสี่ยงในเดือนนี้ต้องติดตามสถานการณ์น้ำท่วมอย่างใกล้ชิด โดยล่าสุดเห็นว่าน่าจะไม่ได้น่ากลัวเหมือนปี 2554 เพราะปริมาณน้ำในเขื่อนและปริมาณน้ำฝน ยังน้อยกว่าปี 2554 มาก ขณะที่กำไรบริษัทจดทะเบียน 1H67 อยู่ที่ 5.3 แสนล้านบาท เติบโต 3.9%YOY ขณะที่กำไรช่วง 2H67 ประเมินมีโอกาสเติบโตตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ 27%YOY และจากฐาน 2H66 ที่ต่ำ 4.6 แสน ล้านบาท ส่วน FUND FLOW เป็นอีกหนึ่งความหวังที่จะเป็น Momentum ไหลเข้าต่อเนื่อง ทั้งจากสถาบันในประเทศที่มีแรงเสริมจากกองทุน TESG ใหม่ และกองทุนวายุภักษ์ใหม่ และนักลงทุนต่างชาติที่ทยอยซื้อหุ้นไทยต่อจากโอกาสเกิด Recession ลดลง, การฟื้นตัว เศรษฐกิจชัดขึ้น รวมถึงค่าเงินบาทมีโอกาสแข็งค่าจากส่วนต่าง ดอกเบี้ยสหรัฐและไทยค่อยๆ แคบลง หนุนให้นักลงทุนต่างชาติได้ กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มเติม
ในมุม Valuation ตลาดหุ้นไทยถือว่ามีความน่าสนใจ เพราะล่าสุด มี MEYG (Market Earning Yield Gap) 4.3% สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 3.9% และสูงกว่าตลาดหุ้นอินโดนีเซีย มี MEYG 0.7% และฟิลิปินส์ 2.1% เท่านั้น และในมุม Upside ฝ่ายวิจัยฯ วางเป้าหมายดัชนีปี 2567 อยู่ที่ 1450 จุด และหากกนง.ลด ดอกเบี้ยทุกๆ 1 ครั้ง มีโอกาสยกเป้าหมายดัชนีให้สูงขึ้นไปได้ทีละ 60 จุด ภาพรวมเดือนก.ย. ประเมิน SET Index เคลื่อนไหวในกรอบ 1300 – 1400 จุด กลยุทธ์การลงทุน แนะนำสะสมหุ้นพื้นฐานที่แนวโน้ม กำไร 3Q67 เด่น CKP, PR9 และหุ้นใหญ่เป้าหมาย FUND FLOW AOT, CPALL, INTUCH, MTC
บริษัทหลักทรัพย์เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ออกบทวิเคราะห์ เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยเดือน ก.ย. น่าจะเริ่มมี Upside ที่เริ่มจำกัด แม้จะมีความคาดหวังเชิงบวกต่อเนื่องช่วงครึ่งแรกของเดือน แต่คาดว่าจะเผชิญแรงขายทำกำไร sell on fact การปรับลดดอกเบี้ยของ Fed และ ECB รวมทั้งการเมืองในประเทศที่จะกลับมาให้น้ำหนักความเสี่ยงของการดำเนินนโยบายและเสถียรภาพรัฐบาลมากขึ้น
แนวโน้มตลาดน่าจะยังอยู่บนความคาดหวังเชิงบวกทั้งจากปัจจัย 1)ภายในประเทศ ที่รัฐบาลใหม่มีกำหนดแถลงนโยบายวันที่ 11 ก.ย. และประชุม ครม. ครั้งแรกในวันที่ 17 ก.ย. และ 2) ต่างประเทศ ทิศทางดอกเบี้ยโลกน่าจะเข้าสู่วรจรขาลงอย่างเป็นทางการ โดย Fed จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายอย่างน้อย -0.25% ในการประชุม 18-19 ก.ย. ส่วน ECB จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งที่สองอีก -0.25% ในการประชุม 12 ก.ย. อย่างไรก็ตามทิศทางตลาดหลังจากนั้นน่าจะเริ่มมี Upside ที่จำกัดจากทั้ง 1) แรงขายทำกำไร sell on fact และ 2) มุมมองตลาดที่จะหันมาให้น้ำหนักด้านความเสี่ยงของการดำเนินนโยบายและเสถียรภาพของรัฐบาลชุดใหม่มากขึ้น ดังนั้น การเลือกหุ้นเชิงกลยุทธ์จึงมองไปที่หุ้นที่ราคายัง Laggard ในขณะเดียวกันมีปัจจัยหนุนเฉพาะตัว
หุ้น Top Picks เดือนกันยายน
• BCP (เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 62.00 บาท) ปี 68-70 ได้แรงหนุนหลักจากเชื้อเพลิงการบินที่ยั่งยืน (SAF) จะสร้างกำไร 2.6-4.1 พันลบ. ต่อปี หรือคิดเป็น 20-30% ส่วนกำไร 2H67 คาดว่าฟื้นตัวตาม GRM ที่ปรับตัวดีขึ้นตามผลของฤดูกาล ขณะที่ราคา Crude Premium ลดลงจะช่วยหนุนต่ออัตราทำกำไรดีขึ้น
• BBIK (เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 46.00 บาท) คาดกำไรหลักปี 67-69 +28% CAGR จากส่วนแบ่งการตลาดที่เพิ่มขึ้น ได้เปรียบด้านต้นทุนและตลาดซอฟต์แวร์องค์กรในประเทศยังมีขนาดเล็ก ขณะที่การเซ็นสัญญาโครงการใน มิ.ย. 67 ทำให้ backlog ณ สิ้น 2Q67 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 905 ลบ. โดย 506 ล้านบาทจะรับรู้เป็นรายได้ 2H67 ขณะที่การชนะประมูลโครงการยังแข็งแกร่งในเดือน ก.ค.-ส.ค. คาดกำไรหลัก 3Q67 ที่ 83 ล้านบาท +10% YoY และ +83% QoQ
• SAK (เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 6.50 บาท) คาดกำไรหลัก 67 จะเติบโต 14% YoY รายได้เติบโต ผสานการควบคุมต้นทุนที่ดี ยังมีโอกาสที่ กนง. จะลดดอกเบี้ยฯในปีนี้ ซึ่ง SAK จะได้ประโยชน์จากสัดส่วนที่สูงถึง 95% ของเงินกู้มาจากการกู้ยืมธนาคารซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ย (ทุกๆ 0.25% ที่ปรับลดดอกเบี้ยฯ จะเป็น Upside ต่อประมาณการ 2% ในปี 67/68)
///จบ///