"Vayupak Plays"
KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "Sideways/Up" ต้าน 1417/1425 จุด รับ 1400/1395 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐแกว่งตัว ดัชนี S&P500 -0.3% หลังรายงานยอดจ้างงานนอกภาคเกษตร (ADP) อยู่ที่ 0.9 แสนตำแหน่ง ต่ำกว่าคาด 31% ตลาดจึงรอรายงานภาคแรงงานเพิ่มวันนี้ ทั้งนี้หากมองประกอบภาพยอดขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก Avg. 4 weeks ที่ปรับลง 5 สัปดาห์ติด เชื่ออัตราว่างงาน ส.ค. 24 ยังมีโอกาสทรงๆ ผสานภาคบริการ (65-70% ของ GDP) PMI บริการ (ISM) ส.ค. 24 ที่ขยายตัวเด่น สหรัฐฯยังมีภาพ Soft Landing ในปีนี้ หนุนตลาดหุ้น Value/Laggard ใน EM-ASEAN ขณะที่เศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัว มีโอกาสเห็น GDP นับจาก 2H24 เร่งขึ้น โดยวานนี้ที่ส.ส.ผ่านร่างงบประมาณปี 2568 แล้ว อีกด้านหนึ่งยังมีความคาดหวังจากเม็ดเงินใหม่กองทุนวายุภักษ์+ThaiESG ปลายปี เรามอง 1.2-1.7 แสนล้านบาท หนุน SET แกว่งขึ้นต่อ หุ้นนำ คือ หุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์ Theme ที่ 4 คือ Div Yield 2024-2025 สูง >5% และอยู่ใน ThaiESG หุ้น (KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH) ผสาน Domestic รับงบปี 2568 เดินหน้า (ค้าปลีก ธนาคาร เช่าซื้อ รับเหมา) วันนี้เน้น BBL, KBANK, HMPRO
Daily outlook: "Sideways/Up" ต้าน 1417/1425 จุด รับ 1400/1395 จุด
What happened around the world ?
(*) US Stocks: ตลาดหุ้นสหรัฐแกว่งตัวออกข้างรอตัวเลขตลาดแรงงานสำคัญคืนนี้ Dow Jones -0.54%d-d S&P500 -0.3%d-d, Nasdaq +0.25%d-d โดยดัชนี S&P 500 Sectors ที่ Outperform คือ Tech อาทิ Consumer Discretionary, ICT, IT ฯลฯ ส่วนกลุ่มที่ลงคือ Health care, Industrials, Financials, Materials, Energy(Chevron , Exxon ลงตามราคาน้ำมันดิบโลก) ฯลฯ ส่วนหุ้นที่เคลื่อนไหวเด่น คือ Tesla +5% รับข่าวบริษัทประกาศว่าจะเปิดตัวซอฟต์แวร์เพื่อช่วยการขับขี่อัตโนมัติเต็มรูปแบบ (Full Self-Driving) ในยุโรปและจีน ในช่วง 1Q24, JetBlue Airways +7% จากบริษัทให้ Outllook อุตสหากรรมดีขึ้นและปรับเพิ่มคาดการณ์รายได้ 3Q24
• (*) US Econ : 1.) การจ้างงานสำนัก ADP ส.ค. อยู่ที่ 9.9 หมื่นราย ต่ำกว่าตลาดคาด +1.48 แสนราย vs prev. +1.22 แสนราย อย่างไรก็ตามตัวเลขไม่ได้รวมการจ้างานจากฝั่งรัฐบาล และการสำรวจครอบคลุมน้อยกว่า Non farm payrolls 2.) PMI ภาคบริการ เดือน ส.ค. สหรัฐ อิง ISM (เน้นสำรวจเอกชน และรัฐบาล) ออกมา 51.5 จุดเร่งขึ้น 2 เดือนติดและดีกว่าที่คาด ส่วน PMI บริการโดยสถาบัน S&P ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 55.7 จุด สูงสุดตั้งแต่ มี.ค.65 และเหนือ 50 จุด 19 เดือนติดต่อกันโดยรวมทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐยังคงให้น้ำหนักไปที่ PMI ภาคบริการ มากกว่า และยังขยายตัว เนื่องจากมีสัดส่วนราว 70%ของ GDP เมื่อเทียบกับภาคผลิตสหรัฐมีสัดส่วนเพียง 8% ของ GDP 3.) จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานรายสัปดาห์ -5 พันรายสู่ระดับ 2.27 แสนราย ดีกว่าที่ตลาดคาดที่ Consensus คาดสะท้อนภาพภาคแรงงานสหรัฐฯประคองในลักษณะ Soft Landing ได้ (ความเสี่ยง Hard Landing จะเกิดขึ้นผู้ขอรับสวัสดิการครั้งแรกเฉลี่ยจะสูงกว่าระดับ 4.0 แสนตำแหน่ง)
• (*/+) To monitor สหรัฐ 6 ก.ย. คืนนี้ติดตามตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร ส.ค. คาด +1.65 แสนราย (Top ranks อันดับ 2 -3 คาดสูงกว่าที่ 1.75- 1.95 แสนราย vs prev. +1.14 แสนราย และอัตราการว่างงาน คาด 4.2% ลดลงจากเดือนก่อน prev. 4.3% KSS ประเมินหาก 1) ตัวเลขอัตราการว่างงานสูงกว่าคาด จะเป็นจิตวิทยาลบต่อตลาดหุ้นโลก และบวกต่อหุ้นกลุ่มประกันชีวิต ธนาคาร ส่งออก แต่กรณีออกมาดีกว่าคาด มองบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยง และบวกต่อหุ้นกลุ่ม การเงิน โรงไฟฟ้า หนี้สูง ยุโรป 6 ก.ย. ติดตามรายงาน GDP 2Q24 (ครั้งสุดท้าย) คาด +0.3%q-q, +0.6%y-y เท่าการรายงานครั้งก่อน
• (*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐ ลงต่อทำจุดต่ำสุดในรอบ 1 ปี 4 เดือนแนวโน้มระยะกลางเป็นขาลง อายุ 2 ปี แกว่งตัวบริเวณที่ 3.74% และอายุ 10 ปีปรับลง -2 bps มาอยู่ที่ 3.733% มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง อาทิ การเงิน MTC, กลุ่มโรงไฟฟ้า GULF, GPSC กลุ่มชิ้นส่วน DELTA ส่วน Dollar Index แกว่งตัวอ่อนค่า 101 จุด
•(-) Oil : ราคาน้ำมันดิบยังเป็นขาลงเมื่อวานแกว่งตัวลงเล็กน้อย น้ำมันดิบ Brent -0.01%d-d ปิดที่ US$ 72.69/barrelน้ำมันดิบ West Texas -0.07%d-d ปิดที่ US$ 69.15/barrel
(-) World Container Index : WCI ปรับลง 7 สัปดาห์ติด สัปดาห์ล่าสุด -8%w-w อยู่ที่ 4775เหรียญต่อ 40 ft และปรับลงต่อเกือบทุกเส้นทางเรือ แรงกดดันหลักๆมาจากความตึงเครียดในะตวันออกลางล่าสุดลดลง ประเมินจิตวิทยาลบต่อหุ้นเรือ Container อาทิ RCL และบวกต่อกลุ่มให้บริการโลจิสติกส์ในลักษณะ Freight Forwarder ที่มีสัดส่วน Sea Freight สูง อาทิ SINO (90% ของรายได้), SONIC (62% ของรายได้) LEO (75% ของรายได้) และ WICE (34% ของรายได้) ยังแนะนำเพียง ชะลอการลงทุน
(+) Soft Commodity ถ่านหินล่วงหน้า Newcastle +1.08%d-d ปิดที่ US$ 141/ตัน ก๊าซธรรมชาติ NYMEX +5.08%d-d ปิดที่ US$2.254/MMBtu สูงสุดในรอบ 2 เดือน หนุนจากรายงานตัวเลข EIA สต็อกการเก็บก๊าซในสหรัฐ สัปดาห์สุดท้ายของเดือน ส.ค. ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยตาม Seasonal โดยรวมมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นที่มีรายได้เป็นถ่านหิน และก๊าซ อาทิ BANPU
What happened in Thailand ?
(*/+) SET : Set วันทำการล่าสุดปรับตัวเพิ่มขึ้น +38.79 จุด หรือ +2.84% ปิดที่ 1404.28 จุด ตอบรับความชัดเจนกรอบเวลากองทุนวายุภักษ์ กลุ่มหนุน คือ กลุ่มพลังงาน (GULF, PTT) กลุ่มสื่อสาร (ADVANC, TRUE, INTUCH) โดยเป็นกลุ่มถูกเก็งว่าจะถูกเพิ่มน้ำหนักจากองทุนวายุภักษ์ใหม่ กลุ่มที่ปรับตัวขึ้นน้อย คือ กลุ่มอิงความต้องการต่างประเทศ หรือกลุ่มที่ผ่านช่วงฤดูกาลไปแล้ว เช่น กลุ่มชิ้นส่วนฯ กลุ่มอาหาร/เครื่องดื่ม
(+) Flows: กระแสเงินทุนนักลงทุนต่างชาติวันทำการล่าสุดเป็นภาพไหลเข้า ซื้อพันธบัตร +149.3 ล้านเหรียญฯ ซื้อหุ้น +222.8 ล้านเหรียญฯ TFEX มีสถานะ Net Long +4,940 สัญญา เงินบาทเคลื่อนไหวแข็งค่าสู่ 33.6 +/- บาท
(*/+) TH Annual Budget 2024: ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฏรเห็นชอบ 309 ต่อ 155 เสียง ผ่านร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2025 (2568) วงเงินงบประมาณ 3.75 ล้านล้านบาท มองบวกต่อความต่อเนื่องการเบิกจ่ายงบประมาณรัฐฯ หนุน GDP งวด 4Q24 และปี 2025 รวมถึงหุ้น Domestic ค้าปลีก เน้น CPALL, CPAXT, BJC ธนาคาร BBL, KBANK เช่าซื้อ MTC, JMT รับเหมาฯ+กลุ่มจำหน่ายวัสดุ SCC, DOHOME, GLOBAL
(*/+) TH CPI: เงินเฟ้อ(CPI) ไทย เดือน ส.ค. 24 +0.35%y-y ต่ำกว่าตลาดคาด +0.48%y-y vs prev. +0.83%y-y (ต่ำกว่ากรอบเป้าหมายของเงินเฟ้อของ BOT 1-3%) KSS ประเมินจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง(Policy Rate - เงินเฟ้อ) เป็นบวกต่อเนื่องกัน 14 เดือน โดยวานนี้ แม้ TH Bond Yield อายุ 10ปี ทรงตัวบริเวณ 2.55% แต่มีสัญญาณการเร่งซื้อพันธบัตรต่างชาติ +149.3 ล้านเหรียญฯ
เชิงกลยุทธ์ Real Yield ที่เป็นบวก 14 เดือนต่อเนื่อง KSS มองจะเปิด Downside ของการปรับลดดอกเบี้ยไทยในรอบประชุมที่เหลือของปีราว 1 ครั้ง โดยจากการศึกษาของ KSS พบว่าผลตอบแทนพันธบัตรมักปรับลงสอดคล้องกับทิศทางดอกเบี้ย ทุกๆ -10 bps ที่ปรับลง จะส่งผลบวกต่อ SET ราว 20 +/- จุด หุ้นกลุ่มที่บวกกรณีดอกเบี้ยฯ มี Downside คือ กลุ่มเช่าซื้อเน้น MTC, JMT กลุ่มค้าปลีก CPALL, CPAXT, BJC กลุ่มอสังหาฯ (บวกต่อต้นทุนผู้ประกอบการ รวมถึงกำลังซื้อ) เน้น AP, SC กลุ่มหนี้สูง (โรงไฟฟ้า สายการบิน) เน้น GPSC GULF
(*/+) Mega Projects: รมช. คมนาคมเตรียมนำโครงการโครงการระบบขนส่งมวลชนทางราง 9 โครงการ มูลค่า 6.6 แสนล้านบาท เสนอ ครม. อนุมัติ ภายในปี 2024 นี้ โดยมี 2 ส่วนหลัก คือ
1.) รถไฟความเร็วสูง ไทย-จีน (ช่วงโคราช - หนองคาย) 356 กม. มูลค่าลงทุน 3.4 แสนล้านบาท
2.) รถไฟรางคู่ ระยะที่ 2 จำนวน 6 เส้นทาง ปากน้ำโพ - เด่นชัย 8.1 หมื่นล้านบาท ชุมพร - สุราษฎร์ธานี 3.0 หมื่นล้านบาท สุราษฎร์ธานี – หาดใหญ่ - สงขลา 6.6 หมื่นล้านบาท เด่นชัย - เชียงใหม่ 6.8 หมื่นล้านบาท จิระ – อุบล 4.4 หมื่นล้านบาท หาดใหญ่ - ปาดังเบซาร์ 7.9 พันล้านบาท
เรามองความคืบหน้าดังกล่าว หากผ่านอนุมัติ ครม. ภายในปี 2024 น่าจะทยอยเปิดประมูลได้ภายในปี 2025 น่าจะทำให้หุ้นที่มีโอกาสได้ประโยชน์มีกระแสทางบวกมากขึ้น รับเหมา+จำหน่ายวัสดุฯ อาทิ SCC, CK, STEC, DOHOME, GLOBAL เน้น SCC, STEC, DOHOME
(*/+) Entertainment Complex: รมช. คลัง กล่าวถึงความคืบหน้าในการทำร่างกฎหมาย Entertainment Complex ว่าขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการรับฟังความเห็นสาธารณะ และน่าจะคนที่เห็นชอบน่าจะสูงถึง 80% หลังจากนี้ จะเป็นการนำความคิดเห็นจากประชาพิจารณ์ ไปปรับ จากนั้นก็เข้าสู่การพิจารณา ครม. แม้โครงการดังกล่าวยังใช้เวลา เราประเมินการผ่านร่างกฎหมาย 1 ปีและลงทุนอีก 3-4 ปี แต่จะเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นในกลุ่มที่มีโอกาสได้ประโยชน์ โดยเฉพาะภาคบริการ, รับเหมา, ธนาคาร และกลุ่มทุนขนาดใหญ่ โดยหุ้นเด่นในธีมดังกล่าว ได้แก่ AOT, AAV, ERW, BBL, KBANK, STEC, AWC, BA, BTS, VGI เชิงกลยุทธ์ระยะสั้น เน้นกลุ่มที่ปัจจัยขับเคลื่อนระยะสั้นอื่นประกอบเป็นอีกแรงหนุน อาทิ AOT, STEC
(*/+) Entertainment: ภาพยนตร์ดราม่าทริลเลอร์เรื่อง วิมานหนาม จากค่าย "จีดีเอช" ร่วมกับ "ใจ สตูดิโอ" ที่เข้าฉายได้เพียง 2 สัปดาห์ก็สามารถขึ้นแท่นหนังไทยที่ทำรายได้ทั่วประเทศทะลุ 100 ล้านบาท ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มองบวกต่อกระแสเก็งกำไร MAJOR
Daily Strategy : BBL, KBANK, HMPRO เด่น
ระยะสั้น วันนี้มองภาพตลาด "Sideways/Up" ภาพต่างประเทศยังเป็นการรอรายงานภาคแรงงานช่วงปลายสัปดาห์ ส่วนแรงขับเคลื่อนตลาดวันนี้ น่าจะมาจากภายใน พัฒนาการการเมืองเดินหน้า หนุนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่งบประมาณปี 2568 เดินหน้าผ่านกลไกการพิจารณา ส.ส. และกองทุนวายุภักษ์ขับเคลื่อนตลาดหุ้น มอง 1) หุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์ที่มี Div Yield สูง >5% และกองทุนเพิ่มน้ำหนักได้ (KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH) 2) หุ้น Domestic รับภาพงบปี 2568 เดินหน้า (ค้าปลีก ธนาคาร เช่าซื้อ รับเหมา)
หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, ADVANC, TRUE, DELTA, INSET, BE8, BBIK, HANA, ADVICE, CPALL, CPAXT, LTS)
กลุ่มที่ได้ประโยชน์เงินบาทแข็งค่า กลุ่มที่มีหนี้สินต่างประเทศสูง + กลุ่มนำเข้าสินค้า/บริการ/วัตถุดิบ รวมถึงงบลงทุนที่ต้องใช้อุปกรณ์จากต่างประเทศ (PTT, GULF, GPSC, BA, AAV, COM7, SYNEX, ADVICE, ADVANC, TRUE, BE8, BBIK)
หุ้นที่มีโอกาสถูกเพิ่มน้ำหนักจากกองทุนวายุภักษ์ที่กำลังจะกลับมา (AOT, PTT, KTB, CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO, ADVANC, GULF, BBL, KBANK, HMPRO, INTUCH)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (CPALL, CPAXT, BJC, AOT, MINT, ERW, VGI, BA)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, GPSC, CPALL, CPAXT, TRUE, MINT, MTC, AAV, BA)
• SEP24 Best Picks: ADVANC, CPALL, CPAXT, MTC , MINT, GPSC, CHG
• 3Q24Stock Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP
Tactical & Investment Idea
Research Highlight
• Strategy Update : Vayupak Plays
แนวโน้มกระแสเชิงบวกจากการลงทุนด้วยธีม ESG จะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นนับจากนี้ไป จากแรงหนุน
1.) กองทุนลดหย่อนภาษี ThaiESG หลักเกณฑ์ใหม่ ปรับเงื่อนไขให้สิทธิซื้อเพิ่มลดหย่อนภาษีได้เพิ่มขึ้นทั้งเม็ดเงินและสัดส่วนเทียบกับฐานรายได้ ผสานระยะเวลาการถือครองเพื่อลงทุน พร้อมรับสิทธิ์ประโยชน์ทางภาษีสั้นลง คาดส่งผลบวกมีเม็ดเงินใหม่เข้าสู่ตลาดหุ้นไม่ต่ำกว่า LTF ในอดีต โดยเราประเมินปีละ 7.8 หมื่นล้านบาท
2.) กองทุนวายุภักษ์ 1.0-1.5 แสนล้านบาท ที่กลับมาเสนอขายนักลงทุนทั่วไปภายใน 3Q24 นี้ ซี่งนโยบายลงทุนจะประกอบด้วยการลงทุน Passive หุ้นที่มีผลประกอบการและกระแสเงินสดที่มีความมั่นคงสูง และการลงทุนแบบ Active ขณะที่ในด้านหนึ่งเกณฑ์การลงทุนในหุ้นที่มี ESG จะถูกนำมาพิจารณาเพิ่มเติม
Analysis : ประเมินว่าเม็ดเงินใหม่ที่กำลังเข้าสู่ตลาดหลัก ๆ 2 ส่วนในปี 2024 ซึ่งส่วนใหญ่น่าจะเข้ามาในช่วง 4Q24 สูงถึงราว 1.2-1.7 แสนล้านบาท (กองทุนวายุภักษ์ 1.0-1.5 แสนล้านบาท บวกกับ เม็ดเงินกองทุน ThaiESG มีผล 3 เดือน เดือนละ 6-7 พันล้านบาท) ต่อยอดด้วยเม็ดเงิน ThaiESG เต็มปีในปี 2025 อีก 7.8 หมื่นล้านบาท น่าจะหนุน SET ที่ปัจจุบันมีปัจจัยขับเคลื่อนการเมืองภายในชัดเจน และรัฐบาลใหม่ค่อนข้างมีเสถียรภาพมากขึ้น
กลยุทธ์แนะนำลงทุนในหุ้น 3 กลุ่มดังต่อไปนี้:
1. หุ้นที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น, อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และมีแนวโน้มเติบโตดีในช่วง 2024 – 2025 ได้แก่ AOT, PTT, KTB
2. หุ้นที่อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และซื้อขายในระดับ Valuation Zone รวมถึงมีแนวโน้มการเติบโตดี ได้แก่ CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO
3. หุ้นที่มีน้ำหนักใน SETESG สูงและมีแนวโน้มการเติบโตดี อยู่ใน Theme Data Center ได้แก่ ADVANC, GULF มีโอกาสเป็นเป้าหมาย
• Strategy Update : Data Center
กระแสเทคโนโลยีสมัยใหม่ Cloud, AI และในอนาคตในส่วนระบบ Automation แม้ไทยอาจจะไม่ได้อยู่ในกลุ่มประเทศต้นน้ำที่ได้ประโยชน์จากการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีขึ้นมาโดยตรง แต่กระแสหลักนี้ จะสร้างโอกาสให้ไทยช่วง 4-5 ปีนับจากนี้ ด้วยศักยภาพการเป็นศูนย์กลางโครงสร้างพื้นฐานสำคัญด้านเทคโนโลยี กล่าวคือ Data Center ในไทย มีจุดเด่นจากพื้นที่ตั้งเป็นศูนย์กลางภูมิภาค, ความพร้อมโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ 4G 5G ที่ครอบคลุม ความเสี่ยงต่อภัยพิบัติต่ำ และกระแสไฟฟ้าที่มีเสถียรภาพและมั่นคง ทำให้ไทยเป็นจุดสนใจ จากการขยาย Data Center จากสิงคโปร์ซึ่งเป็นศูนย์กลางเดิมที่เริ่มมีข้อจำกัด
จากการรวบรวมตัวเลข KSS ในส่วนเม็ดเงินลงทุน Data Center ที่มีโอกาสเกิดขี้นในประเทศหลักๆ เราประเมินปัจจุบันมีเม็ดเงินมหาศาลรอลงทุน Data Center ในไทยช่วง 4-5 ปีจากนี้ ไม่น้อยกว่า 2.0 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนสูงราว 1.1% ของมูลค่า GDP ประเทศไทยในปัจจุบัน โดยหากทยอยลงทุน 4-5 ปี เท่ากับผลบวกต่อ GDP ราว 0.2-0.25% ต่อปี ซึ่งยังไม่รวมการนำมาสู่ประโยชน์ด้านดิจิตอลต่างๆ อีกจำนวนมากต่อประเทศ ถือเป็นหนึ่งใน S Curve ใหม่ของไทย และ Upside ของเศรษฐกิจระยะกลาง-ยาวที่เชื่อว่าตลาดยังแทบไม่รวมในประมาณการ GDP
มุมมองเชิงกลยุทธ์ ประเมินว่า Upside จากแรงขับเคลื่อนด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ มีจุดเด่นสำคัญ คือ ปริมาณข้อมูลที่ใช้สนับสนุนจะเติบโตแบบทวีคูณ (Exponential) ซึ่งน่าจะสร้างโอกาสทางธุรกิจสูงกว่าที่ตลาดคาดคิดไว้ และเป็น Thematic Theme ระยะกลาง-ยาว 1-5ปี KSS มีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นที่อยู่ในระบบนิเวศน์ของ Data Center โดยฝั่ง Data Center เราแนะนำผู้ได้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานขยายตัวโดยตรง อาทิ GULF INTUCH ADVANC TRUE INSET DELTA STPI(Non-Coverage) กลุ่ม Digital Tech ที่ Data Center จะนำมาสู่ Upside งานประเภท Cloud Adoption และ AI รวมถึง Automation Adoption ระยะหนุนอุตสาหกรรมเข้าสู่รอบใหญ่ของการขยายตัวอีกครั้ง อาทิ BE8 BBIK ส่วนกระแส Cycle เทคโนโลยี AI ที่ผลักดันอุปกรณ์สื่อสารต่างๆ พัฒนาให้มี AI พื้นฐานติดเครื่องมากขึ้น จะสร้างโอกาส ฟื้นตัวจากรอบการเปลี่ยนอุปกรณ์ตามกระแส AI เราคาดไม่ต่างไปจากยุค 3G 4G หนุนหุ้นได้ประโยชน์ อาทิ HANA , ADVICE(Non-Coverage), SYNEX(Non-Coverage)
Best Picks : GULF, TRUE, DELTA, INSET, BE8, HANA, ADVICE
• Strategy Update : FTSE Rebalance
FTSE ประกาศผลการ Rebalance ดัชนีรอบใหม่แล้ว คาดมีผลราคาปิด 20 ก.ย. 24 จะมีการเปลี่ยนแปลงในแต่ละส่วนดังนี้
o FTSE All World (Large + Mid Cap)
หุ้นเข้า : ไม่มี
หุ้นออก : BLA
***ส่วนการเปลี่ยนแปลงขนาดระหว่าง Large Cap และ Mid Cap ดังนี้
• หุ้นเข้า Large Cap ใหม่ : ไม่มี
• หุ้นออก Large Cap สู่ Mid Cap : CRC, EA, MINT, PTTGC, OR
• หุ้นเข้า Mid Cap ใหม่ : ไม่มี
• หุ้นออก Mid Cap : BLA
***หุ้นที่ขยับลงระหว่าง Large -> Mid cap จะมีผลลบเล็กน้อยจากการ Rebalance เนื่องจาก Market cap ที่ลดลง แต่ผลลบจะน้อยกว่าการถูกถอดออกจากดัชนีหลัก FTSE All world มาก
o FTSE Small Cap :
หุ้นเข้า : BLA, CPNREIT
หุ้นออก : ITD, NER, ORI, TPIPL
o FTSE Micro Cap :
หุ้นเข้า : DITTO, FTREIT, FUTUREPF, ITD, ORI, RBF, SRPIME. SAPPE, SJWD, SYMC, CREDIT, WHART, WICE
หุ้นออก : ZEN, UAC, TRC, THREL, TWPC, TRU, STI, SCAP, SA, SABUY, S11, QHHR, PYLON, POLY, PJW, NCAP, MONO, MILL, MICRO, GEL, GJS, EP, DEMCO, CV, CIMBT, CCET, B-WORK, AS, AMATAV, AMANAH, AJ, 2S
กลยุทธ์ : ระยะสั้น ระมัดระวัง หุ้นใน FTSE All-World ซึ่งเป็น Benchmark หลัก คือ ตัวที่ถูกถอดออก คือ BLA และ Trading เก็งกำไรหุ้นที่ถูกเพิ่มน้ำหนักส่วนใหญ่ที่เป็นกอง REIT ซึ่งล่าสุดมีแรงขับเคลื่อนจากความเชื่อมั่นภาพวงจรดอกเบี้ยใกล้เข้าสู่ขาลงเต็มตัว อาทิ CPNREIT(TP Con-11.7, Yield25F- 9.9%), FTREIT(TP Con11.8, Yield25F-7.5%), FUTURPF, SYMC(TP Con-12.6), WHART(TP Con10.8, Yield25F-7.8%)
•AMATA (Buy, TP*29): AMATA raise its land sales guidance to 2,500-2,600+ rai for FY24 driven by strong demand for both Thailand and Vietnam in Electronics and auto. It also plans to raise selling price by 5-10% this year. Despite this, we maintain our earnings forecast as it is already optimistic. Also, we look for earnings jumping hoh in 2H to be share price catalyst in near term. We maintain BUY rating for AMATA.
•BCPG (Trading Buy, TP*7.3): The tone from yesterday's SET Opportunity Day is positive due to the notable progress in ongoing projects and a secure funding source for future investments. We maintain our Trading Buy rating on BCPG with a new TP of Bt7.3 (from Bt5.9), reflecting the more reliable contributions from ongoing projects. However, we expect a gap in earnings during 2H24-1H25F, as most ongoing projects are expected to SCOD in 2H25F. Thus, the ROE is expected to stay low.
• SIRI (Trading Buy, TP*2.2): มุมมอง slightly positive ต่อ Jul-Aug 24 presale ที่ราว 6.3 พันลบ. และ Jul-Aug 24 total transfer ที่ราว 5.5 พันลบ. ซึ่งดีกว่าที่คาด ทั้งนี้หาก Sep-24 ยังดี จะทำให้ 3Q24F ทั้ง presale, transfer มีโอกาสโต y-y และแนวโน้ม Norm. profit ใน 3Q24F ยังสูงราว 1.2-1.3 พันลบ. ดีกว่าคาดเดิม ในขณะที่ 3Q24F มีโอกาสรับรู้ extra gain จากการขาย The Standard Hotel เข้ามา สำหรับแผนธุรกิจ 2H24F ที่ยัง aggressive กว่ากลุ่มฯ โดยเฉพาะการเปิดโครงการใหม่ ทำให้ 2024F presale, transfer ที่ตั้งเป้าโต y-y เป็นไปได้ (สวนทางกลุ่มฯ) สะท้อนการเพิ่ม market share ทำได้ต่อเนื่อง ทั้งนี้มีโอกาสสูงที่ประมาณการ Norm. profit ปี 2024F ของเราคงที่ 4.7 พันลบ. จะมี upside 5-10% ตามแนวโน้มการโอนที่ดีกว่าคาด และทำให้ Norm. profit ปี 2024F มีแนวโน้มใกล้เคียงปีก่อน (ที่ 5.1 พันลบ.) เราคง BUY ที่ TP25F ที่ 2.20 บาท มอง story หลักอยู่ใน 4Q24F เป็นต้นไป เพราะการเปิดโครงการใหม่ที่มาก และมีโครงการ highlight รอเปิด โดยรวม business direction ใน 2H24-2025F ที่ aggressive กว่าบริษัทอื่น เป็นจุดเด่นด้านการเติบโตในระยะยาว
• BKGI (Buy, TP*2.8): เรามีมุมมองบวกต่อแนวโน้ม 2H24F และมี Catalyst ต่อยอดการเติบโตในปี 2025F จากการเพิ่มบริการใหม่ๆ เช่น ตรวจคัดกรองโรคอัลไซเมอร์, โรคหลอดเลือดสมอง และโรคพาคินสัน รวมทั้งมีโอกาสเข้าร่วมโครงการตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรมด้วยวิธี NIPT ของสิทธิ สปสช. ซึ่งจะเป็น upside ต่อกำไรสุทธิปี 25F ส่วน 2H24F คาดกำไรสุทธิ (+103%y-y +18%h-h) เติบโตสูงตามทิศทางรายได้รวมทั้งรายได้ให้บริการและรายได้ขายเครื่องตรวจฯ /น้ำยาตรวจเพิ่มขึ้น โดยปีนี้คาดกำไรสุทธิ (+59%y-y) กลับสู่การเติบโตรอบใหม่ หลังผ่านช่วงรายได้ปรับฐานจาก COVID คงคำแนะนำ Buy สำหรับ BKGI (TP25F 2.80 บาท)
3Q24F Equity Outlook : The strong get stronger, the weak get less weak
Stock Best Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA
Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP