"Vayupak + Rate Cut Cycle Plays"
KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "Sideways/Up" ต้าน 1372/1375 จุด รับ 1360/1352 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐ แกว่งแคบๆ ดัชนี Dow Jones +0.09% > S&P500 ที่ลบ -0.16% สะท้อน Value/Laggard > Growth อาทิ กลุ่มโรงไฟฟ้า ค้าปลีก นำดัชนี ประธาน Fed สาขา Atlanta คุณ Bostic ส่งสัญญาณ Dovish มากขึ้น สนับสนุนการลดดอกเบี้ยก่อนเงินเฟ้อลงแตะ 2% เนื่องจากภาคแรงงานอ่อนลง ตลาดยังรอรายงานตลาดแรงงานในวันพรุ่งนี้ 6 ก.ย. ส่วนภายในเป็นบวก กรอบเวลาการปฎิบัติหน้าที่ ครม. ไวขึ้น จะแถลงนโยบาย 11 ก.ย. ประชุมนัดแรก 17 ก.ย. ทำให้นโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจ Digital Wallet พร้อมเดินหน้าอัดฉีดเงินสู่ระบบ จากการใช้งบประมาณส่วนเพิ่มปี 2567 ทันที ขณะที่มาตรการตลาดทุน กองทุนวายุภักษ์คาดเปิดขาย 16-20 ก.ย. คาดเม็ดเงินระดับ 1-1.5 แสนล้านบาท จะเข้าหนุนตลาด 1 ต.ค. อิงผลศึกษาในอดีตช่วงเศรษฐฏิจภายในเริ่มฟื้น ในปี 2012-13 พบว่า ทุก 1หมื่นล้านบาท หนุน SET ขึ้น 20+/- จุด คาดกลุ่มนำดัชนี คือ กลุ่มอิงดอกเบี้ยลง(เงินเฟ้อไทยวันนี้น่าจะต่ำ) หุ้นเด่น Theme วายุภักษ์(AOT, PTT, KTB, CPALL, SCC, MINT, ADVANC, GULF) วันนี้แนะ GULF, MTC, SCC
Daily outlook: "Sideways/Up" ต้าน 1372/1375 จุด รับ 1360/1352 จุด
What happened around the world ?
(*) US Stocks: ตลาดหุ้นสหรัฐแกว่งตัวออกข้าง Dow Jones +0.09%d-d S&P500 -0.31%d-d, Nasdaq -0.44%d-d โดยดัชนี S&P 500 Sectors ที่ Outperform คือกลุ่ม Defensive อาทิ Utilities, Consumer staples, Real estate ฯลฯ ส่วนกลุ่มที่ลงคือ Energy (Chevron , Exxon ลงตามราคาน้ำมันดิบโลก) กลุ่ม Materials , IT ฯลฯ ส่วนหุ้นที่เคลื่อนไหวเด่น คือ NVDIA -1.7% แรงกดดันประเด็นเดิมคือ บริษัทรับหมายเรียกจากกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ประเด็นการละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาด แต่ AMD +3% รับข่าวบริษัทประกาศแต่งตั้ง อดีตผู้บริหาร NVDIA เข้ามาดำรงตำแหน่งรองประธานฝ่ายตลาด AI ระดับโลก, Amazon -1.7% ฯลฯ
(*) US Econ : ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐผสมผสาน คือ 1.)ฝั่งอุตสาหกรรมยังดี อาทิ ยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทน เดือน ก.ค. บวก 10.3%m-m และเป็นการบวกติดต่อกัน 2 เดือน, คำสั่งซื้อโรงงาน ก.ค. พลิกบวก 5.0%m-m และดีกว่าตลาดคาด +4.7%m-m 2.) ตำแหน่งงานเปิดใหม่สหรัฐฯ (Job Opening) เดือน ก.ค. -2.37 แสนรายมาอยู่ที่ 7.67 ล้านราย และต่ำกว่าคาด ต่ำสุดในรอบ 3 ปี แต่เป็น Lagging Indicator
(*/+) Fed Speaks :คุณ Bostic ประธาน Fed สาขา Atlanta (Voter) แสดงความเห็นว่า 1.)ไม่ควรตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงนานเกินไป 2.) การรอให้เงินเฟ้อลดลงสู่เป้าหมายของ Fed ที่ระดับ 2% ก่อนที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย มีความเสี่ยงที่จะทำให้ตลาดแรงงานเผชิญกับภาวะชะงักงัน ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหา
(*/+) World Tourism : สภาการเดินทางและการท่องเที่ยวโลก (World Travel and Tourism Council - WTTC) เผยรายงานประจำปีว่า เงินจำนวน 1 ดอลลาร์จากทุก ๆ 10 ดอลลาร์ที่ใช้จ่ายทั่วโลกในปี 2567 หรือ 10%จะเป็นการใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางท่องเที่ยว ซึ่งรวมถึงการจองโรงแรม เรือสำราญ และเที่ยวบิน KSS มองเป็นบวกต่อไทยซึ่งมีจุดเด่นในด้านการท่องเที่ยวผสานกับช่วง 4Q24 จะเป็นช่วง High Season มองบวกต่อหุ้นในกลุ่มสนามบิน เน้น AOT สายการบิน AAV, BA โรงแรมเน้น ERW, CENTEL
(*/-)China Service : Caixin PMI ภาคบริการจีน เดือนส.ค. ชะลอตัวลงและต่ำคาดแตะระดับ 51.6 จุด แต่ยังบวกเป็นเดือนที่ 20 (ผลให้บริษัทบางแห่งปรับลดจำนวนพนักงาน ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับต้นทุนที่สูงขึ้น
(*/+)China Property stimulus : รัฐบาลจีนพิจารณาลดดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยลงราวๆ 0.8% มูลค่ารวม 5.3 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยลดภาระต้นทุนเงินกู้ให้หลายล้านครัวเรือน และเพื่อเร่งการกํ้ซื้อบ้าน สอดคล้องกับการก่อนหน้าที่ สนับสนุนการ Refinance ลดภาระของผู้กู้ แม้จะมีผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจจริงไม่มาก แต่จิตวิทยาบวกต่อการคาดหวังการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมได้ในระยะถัดไป ยังเน้นตั้งรับ มองบวกต่อ STA, SCGP IVL
(*/+) To monitor สหรัฐ 5 ก.ย. ติดตามการจ้างงานสำนัก ADP ส.ค. คาด +1.48 แสนราย vs prev. +1.22 แสนราย, 6 ก.ย. ติดตามตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร ส.ค. คาด +1.65 แสนราย vs prev. +1.14 แสนราย และอัตราการว่างงาน คาด 4.2% vs prev. 4.3% ยุโรป 6 ก.ย. ติดตามรายงาน GDP 2Q24 (ครั้งสุดท้าย) คาด +0.3%q-q, +0.6%y-y เท่าการรายงานครั้งก่อน
(*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐ ลงแรง ทำจุดต่ำสุดในรอบ 1 ปี 4 เดือนแนวโน้มระยะกลางเป็นขาลง อายุ 2 ปี ปรับลง -11 bps ที่ 3.74% และอายุ 10 ปีปรับลง -8 bps มาอยู่ที่ 3.75% มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง อาทิ การเงิน MTC, กลุ่มโรงไฟฟ้า GULF, GPSC กลุ่มชิ้นส่วน DELTA ส่วน Dollar Index แกว่งตัวอ่อนค่า 101.2 จุด
(-) Oil : ราคาน้ำมันดิบยังเป็นขาลง Brent -1.42%d-dปิดที่ US$ 72.7/barrel น้ำมันดิบ West Texas -1.62%d-d ปิดที่ US$ 69.2/barrel แรงกดดันยังมาจาก Supply ของลิเบียที่จะหลับมาปกติ และตัวเลข PMI ภาคการผลิตโลกออกมาต่ำคาด โดยรวมมองเป็นจิตวิทยาลบต่อ หุ้นพลังงานต้นน้ำ PTT, PTTEP ในทางตรงข้ามเป็นจิตวิทยากบวกต่อหุ้นที่มีต้นทุนเป็นน้ำมัน อาทิ สายการบิน AAV, BA กลุ่มโรงไฟฟ้า กลุ่มวัสดุก่อสร้าง TASCO
What happened in Thailand ?
(*/+) SET : Set วันทำการล่าสุดปรับตัวเพิ่มขึ้น +0.89 จุด หรือ +0.07% ปิดที่ 1365.49 จุด เด่นกว่าตลาดหุ้นต่างประเทศที่ผันผวนจากความกังวลเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐฯ จากพัฒนาการการเมืองเดินหน้าทางบวก หนุนตลาดคาดหวังความคืบหน้านโยบายเร่งด่วนกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงกองทุนวายุภักษ์ กลุ่มหนุน คือ กลุ่มสื่อสาร (TRUE, INTUCH) เด่นในฐานะหุ้น Domestic ที่อยู่ใน Upcycle ช่วง 1-2 ปีนี้ ส่วน INTUCH เคลื่อนไหวเด่นตาม GULF หุ้นนำกลุ่มโรงไฟฟ้าที่มีจิตวิทยาบวก US Bond Yield ดิ่งลงและราคาน้ำมันปรับฐานแรงหนุน กลุ่มเช่าซื้อ (MTC, SAWAD) เด่นจากจิตวิทยาบวก US Bond Yield ดิ่งลง+ความคืบหน้าในส่วนการเมือง และเก็งภาพรายงานเงินเฟ้อวันนี้ที่คาดต่ำกว่ากรอบเป้าหมายของ BOT กลุ่มถ่วง คือ กลุ่มชิ้นส่วน (DELTA) จิตวิทยาลบจากหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯปรับฐานแรง ทั้งประเด็นการสอบสวน NVIDIA กรณีอาจผูกขาดและความกังวลเศรษฐกิจสหรัฐฯถดถอย กลุ่มพลังงาน (PTT, PTTEP) ตามราคาน้ำมันที่ดิ่งลงแรง
(*/+) Flows: กระแสเงินทุนนักลงทุนต่างชาติวันทำการล่าสุดเป็นภาพไหลเข้า ซื้อพันธบัตร +93.6 ล้านเหรียญฯ ขายหุ้น -16.6 ล้านเหรียญฯ TFEX มีสถานะ Net Short -9,880 สัญญา เงินบาทเคลื่อนไหวแข็งค่าสู่ 34 +/- บาท
(++) Vayupak: ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการกำกับการดำเนินงานของกองทุนรวมวายุภักษ์ เปิดเผยกับ "ข่าวหุ้นธุรกิจ" ว่า คลังจะเสนอขายหน่วยลงทุนประเภท ก. กองทุนรวมวายุถักษ์หนึ่ง หรือ VAYU1 ให้กับนักลงทุนทั่วไป 16-20 ก.ย. มูลค่ารวมไม่เกิน 1.5 แสนล้านบาท ส่วนนักลงทุนสถาบัน เปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 18-20 กันยายน 2567 โดยกองทุนวายุภักษ์จะเริ่มลงทุนในตลาดหุ้นไทยตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมนี้เป็นต้นไป ขณะที่หน่วยลงทุน VAYU1 จะเข้าซื้อขายในตลาด 15 ต.ค. อิงผลศึกษาในอดีต รอบเศรษฐกิจคล้ายปัจจุบันปี 2012-13 ทุกๆ 1หมื่นล้านบาท เราประเมินบวกต่อ SET ได้ราว 20+/- จุด มองหนุนหุ้นที่มีโอกาสถูกเพิ่มน้ำหนักเด่น ได้แก่ AOT, PTT, KTB, CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO, ADVANC, GULF
(+) TH Politic: กำหนดการเริ่มต้นปฏิบัติงานของ ครม. มีความชัดเจนขึ้น หลังโปรดเกล้าแต่งตั้ง ครม. ชุดใหม่ภายใต้การนำคุณแพรทองธาร วานนี้ ล่าสุดมีกำหนดการในเรื่องต่างๆ ดังนี้
6 ก.ย. 24 เข้าเฝ้าถวายสัตย์ฯ
7 ก.ย. 24 ประชุม ครม. นัดพิเศษ เตรียมตัวแถลงต่อสภา
11 ก.ย. 24 แถลงต่อสภา คาดว่าจะมีนโยบายหลักเร่งด่วน 5-6 ประเด็น
17 ก.ย. 24 ประชุม ครม. ทางการครั้งแรก
เรามองกรอบเวลาที่ชัดเจนดังกล่าวสร้างความมั่นใจต่อตลาดในส่วนนโยบายเร่งด่วน อาทิ Digital Wallet ที่ขับเคลื่อนไวขึ้นที่น่าจะขับเคลื่อนได้เร็ว นโยบาย Digital Wallet ที่จะปรับมาจ่ายให้กลุ่มเปราะบางก่อนถือว่ามีนัยฯ เนื่องจากเม็ดเงินมูลค่าสูงราว 0.6-0.7% ของ GDP และ 5.2% ของมูลค่าค้าปลีกค้าส่งปี 2023 เม็ดเงินที่เข้ามาครั้งเดียวภายใน 1-2 เดือนจึงมีนัยฯต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจใน 2H24 ขณะที่จะเป็น Upside ของประมาณการ GDP และกำไรกลุ่มค้าปลีกที่ตลาดยังไม่รวมผลบวกดังกล่าวในประมาณการ บวกต่อหุ้น Domestic อาทิ กลุ่ม ค้าปลีก ธนาคาร เช่าซื้อ สื่อสาร มีโอกาสตอบรับทางบวก เน้น CPALL, CPAXT, BJC, KBANK, KTB, MTC, JMT ADVANC
นอกจากนี้ เราเชื่อว่าอีกนโยบายที่จะพิจารณาเร่งด่วน มีโอกาสเห็นในส่วน
o การแก้ไขหนี้ครัวเรือน
o การนำกองทุนวายุภักษ์กลับมา (หุ้นหลักในธีมนี้ คือ AOT, PTT, KTB, CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO, ADVANC, GULF)
o แนวทางแก้ไขปัญหาอุตสาหกรรมที่กำลังประสบปัญหา อาทิ อสังหาฯ ยานยนต์
o ส่วนอื่นๆ น่าจะครอบคลุมแผนผลักดันไทยเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Tech (หุ้นหลักในธีมดังกล่าว คือ WHA, GULF, ADVANC, TRUE, DELTA, INSET, BE8, BBIK, HANA, ADVICE, CPALL, CPAXT, LTS) , Entertainment Complex (หุ้นหลักในธีมดังกล่าว คือ AOT, AAV, ERW, BBL, KBANK, STEC, AWC, BA, BTS, VGI)
(*/+) TH CPI: วันนิ้ติดตามรายงานเงินเฟ้อ CPI ไทย งวด ส.ค. 24 ตลาดคาด +0.48%y-y, +0.2%m-m vs prev. +0.83%y-y, +0.19%m-m เรามองหากเป็นไปตามที่ตลาดคาด จะส่งผลให้ผลตอบแทนที่แท้จริง (Policy Rate - เงินเฟ้อ) เป็นบวกต่อเนื่องกัน 14 เดือน เชิงกลยุทธ์ เรามองจะเปิด Downside ของการปรับลดดอกเบี้ยในรอบประชุมที่เหลือของปีได้ราว 1 ครั้ง โดยจากการศึกษาของ KSS เราพบว่าผลตอบแทนพันธบัตรมักปรับลงสอดคล้องกับทิศทางดอกเบี้ย ทุกๆ -10 bps ที่ปรับลง จะส่งผลบวกต่อ SET ราว 20 +/- จุด ส่วนกลุ่มที่เป็นบวก หากดอกเบี้ยเริ่มลง คือ กลุ่มธนาคารขนาดเล็กที่เน้นสินเชื่อเช่าซื้อ กลุ่มเช่าซื้อ กลุ่มค้าปลีก (กำลังซื้อเพิ่มขึ้น) กลุ่มอสังหาฯ (บวกต่อต้นทุนผู้ประกอบการ รวมถึงกำลังซื้อ) กลุ่มหนี้สูง (โรงไฟฟ้า สายการบิน)
(*/+) Healthcare: สัญญาณการเข้าสู่ช่วงฤดูกาลของกลุ่ม รพ. ชัดเจนมากขึ้น อิงจำนวนผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่รายสัปดาห์ ปี 2024 ราวสัปดาห์ละ 2.5 +/- หมื่นคน สูงกว่าระดับในปี 2023 ราว 3-4 เท่า และค่ากลางระดับจำนวนผู้ป่วยระหว่างปี 2019-2023
(*) To Monitor: สัปดาห์นี้ ติดตาม 1.) 5 พ.ค. รายงานเงินเฟ้อ CPI ส.ค. 24 ตลาดคาด +0.48%y-y, +0.2%m-m vs prev. +0.83%y-y, +0.19%m-m 2.) 3-5 ก.ย. คาดว่า สภาผู้แทนราษฏรจะพิจารณา ร่าง พรบ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมปี 2568 วงเงิน 3.7527 ล้านล้านบาท วาระที่ 2 และ 3 ส่วนการเสนอ ส.ว. พิจารณาจะอยู่ระหว่าง 9-10 ก.ย.
Daily Strategy : GULF, MTC, SCC เด่น
ระยะสั้น วันนี้มองภาพตลาด "Sideways/Up" ภาพต่างประเทศยังเป็นการรอรายงานภาคแรงงานช่วงปลายสัปดาห์ แต่ภาพ US Bond Yield ที่ปรับลงต่อเนื่อง อายุ 10 ปี -8bps ปิดที่ 3.75% มองจิตวิทยาบวกต่อการลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงโลก ส่วนแรงขับเคลื่อนตลาดวันนี้ น่าจะมาจากภายใน พัฒนาการการเมืองเดินหน้า หนุนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและกองทุนวายุภักษ์ขับเคลื่อนตลาดหุ้น นอกจากนี้ วันนี้จับตารายงานเงินเฟ้อ อิงราคาน้ำมัน ส.ค. ที่ปรับตัวลดลง -6.1%m-m, -7.3%y-y มองมีลุ้นออกมาต่ำตามที่ตลาดคาด จะหนุนกระแสเก็งภาพโอกาสลดดอกเบี้ยกลับมา หุ้นนำ มอง 1) หุ้นดอกเบี้ยขาลงหนุน 2) หุ้น Big Cap รับประโยชน์เม็ดเงินวายุภักษ์ และ 3) หุ้น Domestic
หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, ADVANC, TRUE, DELTA, INSET, BE8, BBIK, HANA, ADVICE, CPALL, CPAXT, LTS)
กลุ่มที่ได้ประโยชน์เงินบาทแข็งค่า กลุ่มที่มีหนี้สินต่างประเทศสูง + กลุ่มนำเข้าสินค้า/บริการ/วัตถุดิบ รวมถึงงบลงทุนที่ต้องใช้อุปกรณ์จากต่างประเทศ (PTT, GULF, GPSC, BA, AAV, COM7, SYNEX, ADVICE, ADVANC, TRUE, BE8, BBIK)
หุ้นที่มีโอกาสถูกเพิ่มน้ำหนักจากกองทุนวายุภักษ์ที่กำลังจะกลับมา (AOT, PTT, KTB, CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO, ADVANC, GULF)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (CPALL, CPAXT, BJC, AOT, MINT, ERW, VGI, BA)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, GPSC, CPALL, CPAXT, TRUE, MINT, MTC, AAV, BA)
• SEP24 Best Picks: ADVANC, CPALL, CPAXT, MTC , MINT, GPSC, CHG
• 3Q24Stock Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP
Tactical & Investment Idea
Research Highlight
• Strategy Update : Vayupak Plays
แนวโน้มกระแสเชิงบวกจากการลงทุนด้วยธีม ESG จะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นนับจากนี้ไป จากแรงหนุน
1.) กองทุนลดหย่อนภาษี ThaiESG หลักเกณฑ์ใหม่ ปรับเงื่อนไขให้สิทธิซื้อเพิ่มลดหย่อนภาษีได้เพิ่มขึ้นทั้งเม็ดเงินและสัดส่วนเทียบกับฐานรายได้ ผสานระยะเวลาการถือครองเพื่อลงทุน พร้อมรับสิทธิ์ประโยชน์ทางภาษีสั้นลง คาดส่งผลบวกมีเม็ดเงินใหม่เข้าสู่ตลาดหุ้นไม่ต่ำกว่า LTF ในอดีต โดยเราประเมินปีละ 7.8 หมื่นล้านบาท
2.) กองทุนวายุภักษ์ 1.0-1.5 แสนล้านบาท ที่กลับมาเสนอขายนักลงทุนทั่วไปภายใน 3Q24 นี้ ซี่งนโยบายลงทุนจะประกอบด้วยการลงทุน Passive หุ้นที่มีผลประกอบการและกระแสเงินสดที่มีความมั่นคงสูง และการลงทุนแบบ Active ขณะที่ในด้านหนึ่งเกณฑ์การลงทุนในหุ้นที่มี ESG จะถูกนำมาพิจารณาเพิ่มเติม
Analysis : ประเมินว่าเม็ดเงินใหม่ที่กำลังเข้าสู่ตลาดหลัก ๆ 2 ส่วนในปี 2024 ซึ่งส่วนใหญ่น่าจะเข้ามาในช่วง 4Q24 สูงถึงราว 1.2-1.7 แสนล้านบาท (กองทุนวายุภักษ์ 1.0-1.5 แสนล้านบาท บวกกับ เม็ดเงินกองทุน ThaiESG มีผล 3 เดือน เดือนละ 6-7 พันล้านบาท) ต่อยอดด้วยเม็ดเงิน ThaiESG เต็มปีในปี 2025 อีก 7.8 หมื่นล้านบาท น่าจะหนุน SET ที่ปัจจุบันมีปัจจัยขับเคลื่อนการเมืองภายในชัดเจน และรัฐบาลใหม่ค่อนข้างมีเสถียรภาพมากขึ้น
กลยุทธ์แนะนำลงทุนในหุ้น 3 กลุ่มดังต่อไปนี้:
1. หุ้นที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น, อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และมีแนวโน้มเติบโตดีในช่วง 2024 – 2025 ได้แก่ AOT, PTT, KTB
2. หุ้นที่อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และซื้อขายในระดับ Valuation Zone รวมถึงมีแนวโน้มการเติบโตดี ได้แก่ CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO
3. หุ้นที่มีน้ำหนักใน SETESG สูงและมีแนวโน้มการเติบโตดี อยู่ใน Theme Data Center ได้แก่ ADVANC, GULF มีโอกาสเป็นเป้าหมาย
• Strategy Update : Data Center
กระแสเทคโนโลยีสมัยใหม่ Cloud, AI และในอนาคตในส่วนระบบ Automation แม้ไทยอาจจะไม่ได้อยู่ในกลุ่มประเทศต้นน้ำที่ได้ประโยชน์จากการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีขึ้นมาโดยตรง แต่กระแสหลักนี้ จะสร้างโอกาสให้ไทยช่วง 4-5 ปีนับจากนี้ ด้วยศักยภาพการเป็นศูนย์กลางโครงสร้างพื้นฐานสำคัญด้านเทคโนโลยี กล่าวคือ Data Center ในไทย มีจุดเด่นจากพื้นที่ตั้งเป็นศูนย์กลางภูมิภาค, ความพร้อมโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ 4G 5G ที่ครอบคลุม ความเสี่ยงต่อภัยพิบัติต่ำ และกระแสไฟฟ้าที่มีเสถียรภาพและมั่นคง ทำให้ไทยเป็นจุดสนใจ จากการขยาย Data Center จากสิงคโปร์ซึ่งเป็นศูนย์กลางเดิมที่เริ่มมีข้อจำกัด
จากการรวบรวมตัวเลข KSS ในส่วนเม็ดเงินลงทุน Data Center ที่มีโอกาสเกิดขี้นในประเทศหลักๆ เราประเมินปัจจุบันมีเม็ดเงินมหาศาลรอลงทุน Data Center ในไทยช่วง 4-5 ปีจากนี้ ไม่น้อยกว่า 2.0 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนสูงราว 1.1% ของมูลค่า GDP ประเทศไทยในปัจจุบัน โดยหากทยอยลงทุน 4-5 ปี เท่ากับผลบวกต่อ GDP ราว 0.2-0.25% ต่อปี ซึ่งยังไม่รวมการนำมาสู่ประโยชน์ด้านดิจิตอลต่างๆ อีกจำนวนมากต่อประเทศ ถือเป็นหนึ่งใน S Curve ใหม่ของไทย และ Upside ของเศรษฐกิจระยะกลาง-ยาวที่เชื่อว่าตลาดยังแทบไม่รวมในประมาณการ GDP
มุมมองเชิงกลยุทธ์ ประเมินว่า Upside จากแรงขับเคลื่อนด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ มีจุดเด่นสำคัญ คือ ปริมาณข้อมูลที่ใช้สนับสนุนจะเติบโตแบบทวีคูณ (Exponential) ซึ่งน่าจะสร้างโอกาสทางธุรกิจสูงกว่าที่ตลาดคาดคิดไว้ และเป็น Thematic Theme ระยะกลาง-ยาว 1-5ปี KSS มีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นที่อยู่ในระบบนิเวศน์ของ Data Center โดยฝั่ง Data Center เราแนะนำผู้ได้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานขยายตัวโดยตรง อาทิ GULF INTUCH ADVANC TRUE INSET DELTA STPI(Non-Coverage) กลุ่ม Digital Tech ที่ Data Center จะนำมาสู่ Upside งานประเภท Cloud Adoption และ AI รวมถึง Automation Adoption ระยะหนุนอุตสาหกรรมเข้าสู่รอบใหญ่ของการขยายตัวอีกครั้ง อาทิ BE8 BBIK ส่วนกระแส Cycle เทคโนโลยี AI ที่ผลักดันอุปกรณ์สื่อสารต่างๆ พัฒนาให้มี AI พื้นฐานติดเครื่องมากขึ้น จะสร้างโอกาส ฟื้นตัวจากรอบการเปลี่ยนอุปกรณ์ตามกระแส AI เราคาดไม่ต่างไปจากยุค 3G 4G หนุนหุ้นได้ประโยชน์ อาทิ HANA , ADVICE(Non-Coverage), SYNEX(Non-Coverage)
Best Picks : GULF, TRUE, DELTA, INSET, BE8, HANA, ADVICE
• Strategy Update : FTSE Rebalance
FTSE ประกาศผลการ Rebalance ดัชนีรอบใหม่แล้ว คาดมีผลราคาปิด 20 ก.ย. 24 จะมีการเปลี่ยนแปลงในแต่ละส่วนดังนี้
o FTSE All World (Large + Mid Cap)
หุ้นเข้า : ไม่มี
หุ้นออก : BLA
***ส่วนการเปลี่ยนแปลงขนาดระหว่าง Large Cap และ Mid Cap ดังนี้
• หุ้นเข้า Large Cap ใหม่ : ไม่มี
• หุ้นออก Large Cap สู่ Mid Cap : CRC, EA, MINT, PTTGC, OR
• หุ้นเข้า Mid Cap ใหม่ : ไม่มี
• หุ้นออก Mid Cap : BLA
***หุ้นที่ขยับลงระหว่าง Large -> Mid cap จะมีผลลบเล็กน้อยจากการ Rebalance เนื่องจาก Market cap ที่ลดลง แต่ผลลบจะน้อยกว่าการถูกถอดออกจากดัชนีหลัก FTSE All world มาก
o FTSE Small Cap :
หุ้นเข้า : BLA, CPNREIT
หุ้นออก : ITD, NER, ORI, TPIPL
o FTSE Micro Cap :
หุ้นเข้า : DITTO, FTREIT, FUTUREPF, ITD, ORI, RBF, SRPIME. SAPPE, SJWD, SYMC, CREDIT, WHART, WICE
หุ้นออก : ZEN, UAC, TRC, THREL, TWPC, TRU, STI, SCAP, SA, SABUY, S11, QHHR, PYLON, POLY, PJW, NCAP, MONO, MILL, MICRO, GEL, GJS, EP, DEMCO, CV, CIMBT, CCET, B-WORK, AS, AMATAV, AMANAH, AJ, 2S
กลยุทธ์ : ระยะสั้น ระมัดระวัง หุ้นใน FTSE All-World ซึ่งเป็น Benchmark หลัก คือ ตัวที่ถูกถอดออก คือ BLA และ Trading เก็งกำไรหุ้นที่ถูกเพิ่มน้ำหนักส่วนใหญ่ที่เป็นกอง REIT ซึ่งล่าสุดมีแรงขับเคลื่อนจากความเชื่อมั่นภาพวงจรดอกเบี้ยใกล้เข้าสู่ขาลงเต็มตัว อาทิ CPNREIT(TP Con-11.7, Yield25F- 9.9%), FTREIT(TP Con11.8, Yield25F-7.5%), FUTURPF, SYMC(TP Con-12.6), WHART(TP Con10.8, Yield25F-7.8%)
•AU (Buy, TP*10.2): We maintain our BUY rating with a new target price of Bt10.20 based on : (i) a strong 2H24 outlook driven by continued positive SSSG, ongoing new product launches, and expanded distribution channels; (ii) revised earnings projections of 44.8% yoy growth for FY24F and 15% for FY25F, reflecting new channels and higher margins; and (iii) despite a recent 16% drop in share price, we believe this decline does not reflect AU's strong earnings outlook, supported by solid brand positioning, positive SSSG, increased tourist revenue (30% of total),and channel expansion.
• SAV (Buy, TP*25.75): เราเริ่มต้นบทวิเคราะห์หุ้น SAV ด้วยคำแนะนำ Buy ประเมินราคาเป้าหมาย (TP25F) ที่ 25.75 บาท SAV เป็น Holding company ได้สัมปทานบริหารการจราจรทางอากาศในประเทศกัมพูชาแต่เพียงผู้เดียวเป็นระยะเวลา 49 ปี (2002-2051) ปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจารัฐบาลลาวเพื่อให้บริการจราจรทางอากาศ (ปริมาณเที่ยวบินสูงกว่ากัมพูชา 2-3 เท่า) คาดได้ข้อสรุปใน 3Q24 ขณะที่ผลการดำเนินงานฟื้นโดดเด่นหลัง COVID-19 คลี่คลาย เราคาดกำไรสุทธิปี 24F-26F เติบโตเฉลี่ย +28% ต่อปี
• EPG (Buy, TP*25.75): EPG is poised to benefit from projected strong investment in technology in the future, especially in AI and data centers. Prospects for ARK and EPP remain unclear but we project group earnings would start to recover in 1H25. Hence, the 50% drop in the share price recently is excessive. The counter is currently trading at only 8x PER (-2SD of mean multiple). We resume coverage of EPG with Bt5.70 TP (FY25F) and BUY recommendation.
• BDMS (Buy, TP*38): เรามองเป็น Slightly positive ต่อ BDMS จากความร่วมมือกับ MEDSI Group ขยายขอบข่ายให้บริการทางการแพทย์สำหรับกลุ่มลูกค้ารัสเซีย เนื่องจาก 1) ชาวรัสเซียเป็นลูกค้าอันดับ 11 และมีสัดส่วนรายได้ราว 1% ของรายได้ BDMS และ 2) มีโอกาสขยายฐานลูกค้ารัสเซียเพิ่มเติมในระยะยาว แนวโน้ม 3Q24F คาดกำไรสุทธิ (+11%y-y +29%q-q) เติบโตเป็นไตรมาสดีสุดของปีตามรายได้มีปัจจัยบวกฤดูกาลของการใช้บริการเพิ่มขึ้น ส่วนปี 24F-26F คาดกำไรสุทธิเฉลี่ย 11%CAGR และ Valuation หุ้น BDMS ซื้อขายเทียบเท่า Forward PE ต่ำกว่า -1.0SD คงคำแนะนำ Buy สำหรับBDMS (TP25F 38 บาท)