Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.บัวหลวง : รอบด้านตลาดหุ้น

584

 

ภาพตลาดและแนวโน้ม
Market wrap & Outlook

แนวโน้มสินทรัพย์ต่างประเทศ อัปเดต Sentiment การลงทุนในภูมิภาคจาก Fund Flow
ประเด็นสำคัญ:
 สัปดาห์ที่ผ่านมา กระแสเงินทุนในภูมิภาคพลิกกลับเป็นขายสุทธิ 2,383 ล้านเหรียญ โดยมีเงินไหลออกจากเกาหลีใต้และไต้หวัน แต่ยังคงมีเงินไหลเข้าในกลุ่ม TIP
 กลุ่มอุตสาหกรรมไทยที่น่าจับตาในสัปดาห์นี้จากสัญญาณเชิงบวกของ Volume Index ได้แก่ Commerce, Property, Chemical และ Transportation
 ดูเหมือนว่าตลาดกำลังให้ความสนใจกับหุ้นที่ได้ประโยชน์จากวงจรดอกเบี้ยขาลง เช่น กลุ่มไฟแนนซ์ อสังหาริมทรัพย์ และเคมีภัณฑ์ อย่างไรก็ตาม แนะนำให้เก็งกำไรระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากความอ่อนแอทางเศรษฐกิจในไตรมาส 4 จะทำให้การแรลลี่นี้อาจกลายเป็น false signal
รายละเอียดด้านกระแสเงินลงทุน:
การติดตามกระแสการลงทุน (fund flows) ใน 5 ประเทศในสัปดาห์ที่ผ่านมา มียอดขายสุทธิ 2,383 ล้านเหรียญ พลิกจากยอดซื้อสุทธิ 565 ล้านเหรียญในสัปดาห์ก่อนหน้า โดยมี net outflow ในสองประเทศ ได้แก่ เกาหลีใต้ 1,523 ล้านเหรียญ และไต้หวัน 1,907 ล้านเหรียญ ในขณะที่ตลาด TIP มี net inflow มูลค่า 1,047 ล้านเหรียญ โดยแบ่งเป็น ไทย 35 ล้านเหรียญ ฟิลิปปินส์ 39 ล้านเหรียญ และอินโดนีเซีย 974 ล้านเหรียญ
สำหรับเซคเตอร์เด่นของภูมิภาคจากการจับสัญญาณด้วย Volume Index มีดังนี้ (1) Property (ไทย, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์) และ (2) Chemical (เกาหลีใต้, ไต้หวัน)
จากแรงซื้อในหุ้นกลุ่มต่างๆ ข้างต้น จึงเป็นสัญญาณว่าประเด็นการลงทุนของตลาดกำลังหันมาให้ความสำคัญกับธีมหุ้นที่จะได้รับประโยชน์จากวงจรดอกเบี้ยขาลง เช่น หุ้นกลุ่มที่อ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย (rate sensitive) อย่างการเงินและอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงกลุ่มวัฏจักร (cyclical) อย่างเคมีภัณฑ์ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม เราไม่คิดว่าหุ้นเหล่านี้จะรักษาแรงส่งเชิงบวกต่อเนื่องไปในไตรมาส 4 ได้ เนื่องจากความกังวลต่อภาวะความอ่อนแอทางเศรษฐกิจและหนี้เสียที่สูงขึ้น จะไปกลบข่าวบวกเรื่องการผ่อนคลายนโยบายทางการเงินในช่วงดังกล่าว ดังนั้นประเด็นการลงทุนในหุ้นกลุ่ม rate sensitive และ cyclical จึงเหมาะกับการเก็งกำไรระยะสั้น มากกว่าการซื้อถือลงทุนในระยะกลาง

แนวโน้ม:
เซคเตอร์ไทยที่น่าจับตาในระยะสั้น (เฉพาะที่ cover ในรายงาน Flow Tracker) ได้แก่
Tier 1: กลุ่มที่ Volume Index มีแนวโน้มฟื้นตัวจากระดับต่ำกว่า mid-point ได้แก่ Commerce และ Property
Tier 2: กลุ่มที่ Volume Index มีโอกาสฟื้นตัวจากภาวะ oversold ได้แก่ Chemical และ Transportation
ส่วนกลุ่มที่ให้ระมัดระวังกับแรงขายทำกำไรในระยะสั้น ได้แก่ ICT เนื่องจาก Volume Flow Index ได้ปรับตัวเข้าใกล้โซน overbought แล้ว อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก Earnings Revision Breadth ของหุ้นกลุ่มนี้มีความโดดเด่น และความผันผวนของกำไรก็มักจะน้อยกว่ากลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ ในช่วงปลายวัฏจักรเศรษฐกิจ จึงทำให้แรงขายอาจไม่รุนแรงนัก และน่าจะจำกัดอยู่ที่หุ้นบางบริษัทมากกว่าการขายกระจายตัวไปทั้งกลุ่ม
อัพเดต Market-timing Indicator (เฉพาะตลาดหุ้นไทย):
เราคาดว่าตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นต่อในเดือน ก.ย. จากสัญญาณของ Market-timing Indicator ดังต่อไปนี้
1 แม้ว่าในสัปดาห์นี้ SET มีโอกาส pullback จากการที่ดัชนี Short-term Bull-to-Bear ปรับตัวลงจากโซน upper bound แต่คาดว่าน่าจะเป็นการย่อตัวในระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากยังไม่เห็นสัญญาณ overnight volatility ที่สูงขึ้น
2 ดัชนี Composite Medium-term Indicator ส่งสัญญาณเชิงบวกและยังไม่ได้อยู่ในโซนตึงตัว จึงทำให้การย่อตัวของ SET มักจะไม่ลึก
3 การฟื้นตัวของ SET ในช่วงสามสัปดาห์ที่ผ่านมามีการกระจายตัวมากขึ้น พิจารณาได้จาก Medium-term Market Breadth Indicator ของตลาดหุ้นไทยที่เพิ่มขึ้นจาก 16% เป็น 31%
ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้คาดว่า SET จะขึ้นไปทดสอบระดับ 1380-1400 จุด ในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้านี้

สรุปภาพตลาดวานนี้
ดัชนีย่อตัวลงเล็กน้อยวานนี้ จากแรงขายหุ้นใหญ่กลุ่มพลังงาน PTT PTTEP OR และธนาคาร KBANK BBL TTB รวมทั้งหุ้นมีประเด็นลบอย่าง OSP ลงแรงกว่าตลาด ส่วนด้านบวกพยุงตลาด เม็ดเงินหมุนมาที่ IVL TOP BANPU GPSC CPF และหุ้นบวกแรง FORTH JMT CMAN TAKYNI CPL CPH CPR ฯลฯ

แนวโน้มตลาดวันนี้
ฟ้าหลังฝน
เราคงคาดหุ้นใหญ่ที่ผลักดันดัชนีฯขึ้นมารอบนี้ เริ่มพัก และหุ้นกลางเล็ก จะกลับมา เทรดคึกคัก ขณะที่ประเด็นข่าวและกระแสการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ จะซาๆลงไปและหลายเรื่องมีความชัดเจนไปแล้ว ยกตัวอย่าง เช่น ประเด็นการเมืองในประเทศ (อยู่ระหว่างฟอร์มรัฐบาลใหม่ ครม.รักษาการณ์จะไม่ออกมาตรการว้าวๆ ช่วงนี้), Jackson Hole meeting: เฟดส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยในเดือน กย.นี้ ชัดกว่าทุกครั้ง, MSCI FTSE Rebalance…
ภาพรวมการลงทุนตลอดเดือนนี้ เราคาดว่าตลาดจะโฟกัสไปที่ปัจจัยในประเทศเป็นหลัก ได้แก่: การจ่ายหนี้หุ้นกู้ของบริษัทฯ ตามกำหนดชำระคืนในช่วงสิ้นไตรมาส 3, เม็ดเงินใหม่จากการขายหน่วยลงทุน วายุภักษ์ รวมถึงการออกกอง TESG มาขาย จาก บลจ.ต่างๆ ตามเงื่อนไขใหม่, การบริหารจัดการน้ำ และมาตรการเยียวยาอุทกภัย, การแถลงนโยบายจากรัฐบาล หลังจัดตั้ง ครม.ใหม่ (การปรับรูปแบบนโยบาย โดยเฉพาะเรื่องการแจกเงินหมื่น)
ด้านปัจจัยในต่างประเทศ เราคาดว่าประเด็นทั่วไปที่ตลาดน่าจะรับรู้ไปแล้ว คือ การลดดอกเบี้ยของ เฟด และ ECB ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯชะลอตัวตามตัวเลข ISM PMI เงินเฟ้อชะลอ ซึ่งจะไม่เป็นตัวถ่วงตลาดหุ้นไทยในระยะสั้น แต่เรื่องภัยสงคราม การเมืองระหว่างประเทศเป็นอะไรที่อยู่เหนือคาดการณ์ของตลาด ซึ่งเป็นความเสี่ยงเดียวในระหว่าง เดือน กย.-ตค. ที่ไม่อาจจะประเมินล่วงหน้า (แต่ถ้าผ่านไปได้ทางน่าจะสะดวก)
คาดการณ์กรอบดัชนีฯสัปดาห์นี้ พักอยู่ในช่วง 1,350-1,375 จุด ให้น้ำหนักรอฝ่าแนวต้าน ขึ้นไปเล่นกรอบบน ส่วนกลยุทธ์ คงคำแนะนำ หยุดไล่ราคาหุ้นที่ราคาแรลรี่ดันดัชนีฯ หมุนมาเล่นหุ้นแถวสอง กลางเล็กที่มี พื้นฐานกำไรรองรับ Valuation ไม่แพง....

กลยุทธ์การลงทุน
กลยุทธ์แนะนำ เลือกหุ้นเล่นเป็นรายตัว โฟกัสไปข้างหน้า เน้นไปที่แนวโน้มผลการดำเนินงานที่จะมีโอกาสถูกปรับเพิ่มประมาณการณ์ หรือ มองเห็นปัจจัยหนุนชัดเจนที่จะเข้ามาเกื้อหนุนต่อผลการดำเนินงานหลังจากนี้

วิเคราะห์ทางเทคนิค
แนวโน้มระยะสั้น SET เข้าเกณฑ์เงื่อนไขปรับฐาน เช่น Market monitor ขึ้นสู่ภาวะความร้อนแรง…ดัชนีทดสอบตำแหน่ง Fibonacci retracement 61.8% (โซนต้าน 1,370 จุด) ขณะที่โมเมนตัม RSI เข้าสู่เขต overbought และกำลังตัดเส้น signal line ลง นอกจากนี้ยังมีองค์ประกอบจากหุ้นใหญ่ หุ้นนำตลาด เช่น กลุ่มธนาคาร กลุ่มสื่อสาร และ อิเล็คทรอนิกส์ เริ่มย่อ
คำถาม: ตลาดจะลงแค่ไหน! ตัวเลข Fibo 38.2% และ เส้น EMA 25 ชี้จุดรับบริเวณ 1,335-1,340 ลงไม่ลึก ลักษณะ“throwback” แต่หน้าหุ้นจะมีการ switching สลับหมุนเวียนเปลี่ยนกลุ่ม
สรุป: ตลาดให้เวลาพักบ้าง…..รอจังหวะติดเครื่องใหม่! ขาขึ้นยังไม่จบง่ายๆ

 

 

What to watch
ตีข่าวโอเปกพลัสเตรียมเดินหน้าเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในเดือน ต.ค. สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า แหล่งข่าว 6 รายจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) เปิดเผยว่า โอเปกและชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส ได้เตรียมเดินหน้าแผนการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในเดือนต.ค.
แหล่งข่าวระบุว่า สมาชิก 8 ชาติจากโอเปกพลัสจะเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันรวม 180,000 บาร์เรล/วัน โดยเริ่มตั้งแต่เดือนต.ค. แหล่งข่าวเปิดเผยว่า การตัดสินใจดังกล่าวมีขึ้น หลังจากที่ลิเบียลดการผลิตน้ำมัน อันเนื่องจากปัญหาการเมืองภายในประเทศ ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ย. ซึ่งจะเป็นปัจจัยกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะหนุนอุปสงค์น้ำมันในตลาด
ปัจจุบัน โอเปกพลัสปรับลดกำลังการผลิตรวม 5.86 ล้านบาร์เรล/วัน โดยมาจากการปรับลดกำลังการผลิตของสมาชิกโอเปกพลัสจำนวน 3.66 ล้านบาร์เรล/วัน และการปรับลดกำลังการผลิตโดยสมัครใจของสมาชิกโอเปกพลัส 8 ชาติจำนวน 2.2 ล้านบาร์เรล/วัน ทั้งนี้ การปรับลดกำลังการผลิตจำนวน 3.66 ล้านบาร์เรล/วันมีกำหนดสิ้นสุดลงในช่วงสิ้นปี 2568 ส่วนการปรับลดกำลังการผลิตโดยสมัครใจจำนวน 2.2 ล้านบาร์เรล/วันนั้น สมาชิกโอเปกพลัส 8 ชาติจะเริ่มทยอยยุติการปรับลดกำลังการผลิตในช่วง 1 ปีตั้งแต่เดือน ต.ค.2567 จนถึงเดือนก.ย.2568 หรือบ่งชี้ว่าโอเปกพลัสจะเริ่มปรับเพิ่มกำลังการผลิตในเดือนต.ค.2567
การจัดตั้ง รัฐบาลใหม่และ คาดแถลงนโยบาย ภายใน 15 กย.
แบงก์ชาติกำลังผลักดัน กม.ให้แบงก์พาณิชย์ ต้องรับผิดชอบหาก ลูกค้าถูกหลอกโอนเงิน เช่น ถูกหลอกดูดเงินจากแอพฯผ่านช่องโหว่แอพฯแบงก์, และมีข่าวแบงก์ชาติเตรียมอนุญาตให้สถาบันการเงินปล่อยกู้ร่วม ซื้อรถยนต์ได้ทั้งป้ายแดง และมือสอง
การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ วันที่ 19 กย. คาดลดดอกเบี้ย 0.25% เหลือ 5.25% ธนาคารกลางยุโรป 12 กย. คาดลดดอกเบี้ย 0.25% เหลือ 3.50%
การประชุม กนง. 16 ตค. ตลาดยังคงคาดว่าจะคงดอกเบี้ยฯที่ 2.5%
FTSE Rebalance: FTSE All World หุ้นออก BLA, และกลุ่มขยับจาก Large-Cap ไปเป็น Mid-Cap ได้แก่ OR MINT PTTGC EA CRC สำหรับกลุ่ม Small-Cap หุ้นเข้า BLA CPNREIT และหุ้นออก ITD NER ORI TPIPL (คาดมีผล 6 กย.นี้)

หุ้นแนะนำวันนี้
MTC การปล่อยสินเชื่อกู้ร่วมเพื่อซื้อรถยนต์มือสอง คาดจะช่วยกระตุ้นราคารถมือสองได้-ช่วยลดปัญหาขาดทุนรถยืด(S 43 R 46 SL 42.5)

 

 

รายงานพื้นฐานวันนี้

Fundamental Portfolio
เพิ่ม CBG
พอร์ตจำลองการลงทุนเชิงปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Portfolio) วันนี้ถอด STEC เพิ่ม CBG เข้ามาแทน โดยมองว่าแนวโน้มกำไร 3Q24 ที่เติบโตทั้ง YoY, QoQ รวมทั้งการขยายส่วนแบ่งการตลาดเปิด Upside อีกทั้งแนวโน้มต้นทุนที่ไม่ได้เพิ่ม ยังช่วยหนุนอัตรากำไรดีขึ้นด้วย
ปัจจุบัน ผลตอบแทนของพอร์ตฯ ตั้งแต่ต้นปีที่ -4.7% YTD (เทียบ SET ที่ -4.4% YTD) และหากนับจากการปรับพอร์ตครั้งก่อน (31 ก.ค.) ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น +2.0% (เทียบ SET ในช่วงเดียวกันที่ +2.5%)

 

Commodities
สัปดาห์ที่ผ่านมาน้ำมันดิบเด่น และค่าระวางเรือเทกองดีขึ้น
ในสัปดาห์ที่แล้วราคาน้ำมันดิบดูไบ เพิ่มขึ้น $1.81 WoW เป็น $78.10/บาร์เรล (บวกต่อ PTTEP) (แต่สัปดาห์นี้ปรับฐานลงแล้ว)
ค่าการกลั่น (อิงสิงคโปร์) ย่อตัว $1.41 WoW เป็น $2.58/บาร์เรล จากผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ (ลบต่อ SPRC และ TOP)
ส่วนต่างราคา (Spread) ส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง WoW จากต้นทุน Naphtha เพิ่มขึ้น ขณะที่ราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ยังใกล้เคียงเดิม (โดยรวมลบต่อ PTTGC มากสุด)
ราคาถ่านหิน ลดลงเพียง 1% WoW อยู่ที่ $147.93/ตัน (ลบต่อ BANPU เล็กน้อย)
ค่าระวางเรือเทกอง (BDI) เพิ่มขึ้น 2% WoW เป็น 1,779 จุด (บวกต่อ PSL และ TTA เล็กน้อย)
ส่วนค่าระวางเรือตู้คอนเทนเนอร์ (World Container Index) ลดลง 3% WoW เป็น 5,181 จุด (ลบต่อ RCL เล็กน้อย)
Fundamental View: เชิงพื้นฐานเราชอบ PTTEP และ TOP มากสุด และโอกาสเก็งกำไรเรือเทกองอย่าง PSL TTA


TPIPL
(Visit Note)
ทีพีไอ โพลีน
แนวโน้มปี 2024 ยังไม่น่าตื่นเต้น
Our View: จากการเข้าร่วมงาน Opportunity Day เรามีมุมมองเชิงระมัดระวังต่อแนวโน้มผลการดำเนินงานปี 2024 เนื่องจากมี downside risk ต่อประมาณการ EBITDA ปีนี้ โดย EBITDA ในช่วง 1H24 ที่ 5 พันล้านบาท คิดเป็นเพียง 45% ของประมาณการปี 2024 ที่ 1.1 หมื่นล้านบาท (เพิ่มขึ้น 13% YoY)
อย่างไรก็ตาม แนวโน้ม 3Q24 ธุรกิจปูนซีเมนต์มีแนวโน้มฟื้นตัว QoQ โดยมีปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของอุปสงค์ปูนซีเมนต์ทั้งในไทย (การเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาล, การฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ หากมีการลดดอกเบี้ย) และต่างประเทศ (โครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่) ในขณะที่ธุรกิจ Specialty Polymer มีแนวโน้มทรงตัว โดยคาดปริมาณขายคาดว่าจะทรงตัว QoQ ในขณะที่อัตรากำไรคาดว่าจะทรงตัวหรือเพิ่มขึ้นเล็กน้อย QoQ


Quantitative Strategy
คาดตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นได้ต่อในเดือน ก.ย. แม้ว่าอาจย่อตัวในระยะสั้น
เราคาดว่าตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นต่อในเดือน ก.ย. โดย Market-timing Indicator ส่งสัญญาณดังต่อไปนี้ 1) แม้ว่าในสัปดาห์นี้ SET มีโอกาส pullback จากการที่ดัชนี Short-term Bull-to-Bear ปรับตัวลงจากโซน upper bound แต่คาดว่าน่าจะเป็นการย่อตัวในระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากยังไม่เห็นสัญญาณ overnight volatility ที่สูงขึ้น 2) ดัชนี Composite Medium-term Indicator ส่งสัญญาณเชิงบวกและยังไม่ได้อยู่ในโซนตึงตัว จึงทำให้การย่อตัวของ SET มักจะไม่ลึก 3) การฟื้นตัวของ SET ในช่วงสามสัปดาห์ที่ผ่านมามีการกระจายตัวมากขึ้น พิจารณาได้จาก Medium-term Market Breadth Indicator ของตลาดหุ้นไทยที่เพิ่มขึ้นจาก 16% เป็น 31% ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้คาดว่า SET จะขึ้นไปทดสอบระดับ 1380-1400 จุด ในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้านี้

 

สรุปประเด็นจาก Quick take

BCP
บางจาก คอร์ปอเรชั่น ประเด็นสำคัญจากงาน Bangchak Group: Way Forward to 2030 Investor Forum
เราเข้าร่วมงาน Bangchak Group: Way Forward to 2030 Investor Forum เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาและมีมุมมองเชิงบวกต่อภาพการเติบโตอย่างต่อเนื่องของบริษัท

View From Fundamental: มุมมองเชิงบวกของตลาดต่อโอกาสเติบโตในอนาคตคาดว่าจะเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นได้ต่อไป ปัจจุบัน BCP ซื้อขายที่ PBV ปี 2024 ที่ 0.5 เท่า (ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 1 เท่า อยู่ 1SD) น่าจะช่วยจำกัดความเสี่ยงขาลงของราคาหุ้น เราจึงคงคำแนะนำ "ถือ"

 

วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ Tel. (662) 618-1336
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน/ปัจจัยทางเทคนิค
นภนต์ ใจแสน นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน
ภูวดล ภูสอดเงิน, AISA นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน

 

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

1200 แตก By: แม่มดน้อย

แม่ดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ และแล้ว ดัชนีตลาดหุ้นไทย ก็แตก 1,200 จุด ด้วยพ่อใหญ่อย่าง DELTA แม่ใหญ่ AOT เป็นหัวหอก....

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้