Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.เอเซีย พลัส : Market Talk

490

 

 

 

คาด SET INDEX กลับมาปรับขึ้นได้ต่อ
ประเมินข่าวความคืบหน้าเรื่องการจัดตั้ง คณะรัฐมนตรี คาดว่าในสัปดาห์ นี้ น่าจะเห็นการนำรายชื่อ ครม. ขึ้นทูลเกล้าฯ และหลังดำเนินกระบวนการ ไปจนถึงการถวายสัตย์ฯ ขั้นตอนสุดท้ายจะเป็นการแถลงนโยบายต่อ รัฐสภา ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นในสัปดาห์หน้า หลังจากนั้นรัฐบาลก็จะปฎิบัติหน้าที่ อย่างเป็นทางการ คาดประชุม ครม. ครั้งแรกภายในสัปดาห์ที่ 3 ของเดือน ก.ย.67 ซึ่งน่าจะอนุมัติจ่ายเงินให้กับกลุ่มผู้เปราะบางตามแนวทาง การ ปรับปรุงโครงการ DIGITAL WALLET เดิม ส่วนประเด็นอื่นที่น่าสนใจคือ ทิศทางดอกเบี้ยของ FED ซึ่งเห็นสัญญาณเงินเฟ้อที่ควบคุมได้ และ ตลาดแรงงานที่อ่อนแอลง เป็นการตอกย้ำสัญญาณการปรับลดดอกเบี้ย ของ FED ในเดือน ก.ย. ในส่วนราคาน้ำมันปรับลดลงจากกระแสเรื่อง OPEC+ อาจเพิ่มกำลังการผลิต

 

มีโอกาสที่ SET INDEX สัปดาห์นี้น่าจะกลับมาอยู่ในทิศทางขึ้นอีกครั้ง โดยประเมินแนวต้านแรกอยู่ที่ 1368 จุด ส่วนแนวรับอยู่ที่ 1350 จุด หุ้น TOP PICK วันนี้เลือก GPSC, MINT และ SIRI

 

ใกล้เริ่มนโบบายการเงินโลกผ่อนคลายแบบเต็มสูบ แต่ต้องเฝ้าดู สัญญาณ RECESSION ไปด้วย
ภาวะเงินเฟ้อของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วที่ชะลอตัวลง หรืออยู่ภายใต้การควบคุม หนุน ให้ทิศทางดอกเบี้ยขาลงชัดเจนมากขึ้นในเดือน ก.ย. 67 รายละเอียดดังนี้

 

• เงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ เดือน ก.ค. 67 ทรงตัวอยู่ที่ 2.5%YOY ซึ่งต่ำกว่า ตลาดคาด 2.6%YOY โดย CONSUSES คาดหมายว่า FED จะปรับลด ดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 4 ปีครึ่ง ในการประชุมวันที่ 18 ก.ย. นี้ และน่าจะลด 0.75 –1.0% ในช่วงเวลาที่เหลือของปี เหลือ 4.5% -4.75%
• เงินเฟ้อทั่วไปของยุโรปเดือน ส.ค. 67 ลดลงสู่ระดับ 2.2%YOY ตามคาด ซึ่ง เป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ก.ค. 64 และชะลอตัวลงเข้าใกล้กรอบเป้าหมาย 2% มากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ CONSENSES คาด ECB อาจลดดอกเบี้ยลงอีก 0.25% สู่ระดับ 4.00% ในการประชุมวันที่ 12 ก.ย. นี้

 

กระแสนโบบายการเงินโลกผ่อนคลายแบบเต็มสูบที่ใกล้เริ่มต้น หนุนให้ค่าเงินเอเชียและ บาทแข็งค่าขึ้น และเม็ดเงินมีโอกาสไหลเข้ามาลงทุนเพิ่มเติม โดยกลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะได้ ประโยชน์จากประเด็นดังกล่าว อาทิ GPSC GULF BGRIM MINT MTC TIDLOR

 

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนจำเป็นต้องติดตามข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะภาคตลาดแรงงาน ซึ่งจะมีการรายงานในวันที่ 6 ก.ย. 67 ทั้งนี้ CONSENSUS คาดหมาย อัตราการว่างงานในเดือน ส.ค. 67 ลดลงมาอยู่ที่ 4.2% (เดือนก่อน 4.3%) จะทำให้ SAHM RULE +0.57% ซึ่งอาจส่งผลให้ความกลัวเรื่อง RECESSION หลงเหลืออยู่บ้าง แต่ถ้าหากอัตราการว่างงานปรับตัวสูงขึ้น จะยิ่งเพิ่มระดับความ กังวลเศรษฐกิจถดถอย และกลับมาเป็นประเด็นที่ให้น้ำหนักมากขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

 

สรุป เงินเฟ้อที่อยู่ภายใต้การควบคุม ทำให้นโบบายการเงินโลกมีแนวโน้มเริ่มผ่อน คลายแบบเต็มสูบในเดือน ก.ย. คาด FED ลดดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 4 ปีครึ่ง หนุนให้ ค่าเงินเอเชียและบาทแข็งค่าขึ้น และเม็ดเงินมีโอกาสไหลเข้ามาลงทุนเพิ่มเติม แต่ในอีก แง่มุมหนึ่งยังต้องติดตามข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะภาค ตลาดแรงงาน ที่มักเป็นตัวชี้นำ RECESSION

 

ราคาน้ำมันปรับตัวลงแรง กระทบหุ้นกลุ่มน้ำมันอย่างไร ?
ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงแรงกว่า 3% ทั้ง BRENT และ WTI หลังจากแหล่งข่าวเปิดเผยว่า สมาชิก OPEC+ จะเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน 1.8 แสน บาร์เรล/วัน ตั้งแต่เดือนตุลาคม 67 จากปัจจุบันที่มีการปรับลดกำลังการผลิตรวม 5.86 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งประกอบด้วยการปรับลดอย่างเป็นทางการของ OPEC+ 3.66 ล้านบาร์เรล/วัน และการปรับลดกำลังการผลิตโดยสมัครใจของสมาชิกกลุ่มฯ 2.2 ล้านบาร์เรล/วัน โดยการตัดสินใจดังกล่าว เพื่อช่วยชดเชยกรณีที่ลิเบียประกาศ ระงับการผลิตน้ำมันราว 0.7 ล้านบาร์เรล/วัน เนื่องจากปัญหาความขัดแย้งระหว่าง รัฐบาลภายในประเทศลิเบีย และยังมีแนวโน้มที่จะระงับการผลิตมากถึง 1.0 ล้าน บาร์เรล/วัน เร็วๆนี้ รวมถึงปัจจุบันสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดเริ่มคลี่คลาย หลังจาก OPEC+ ได้ปรับลดกำลังการผลิตลง 2.2 ล้านบาร์เรล/วัน ในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้ ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ยังมีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ย. ถือเป็นปัจจัยที่กระตุ้นเศรษฐกิจ และความต้องการใช้น้ำมันโดยรวมให้ปรับตัวสูงขึ้น

 

ทั้งนี้แนวโน้มราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังอยู่ในภาวะผันผวนจากทั้ง DEMAND และ SUPPLY ที่แท้จริง รวมถึงประเด็นบวกและลบต่อราคาน้ำมันที่เกิดขึ้นระหว่างทาง ซึ่ง หากพิจารณาภายใต้ DEMAND และ SUPPLY ที่แท้จริง และราคาน้ำมันในปัจจุบัน ฝ่ายวิจัยยังคงมุมมองที่คาดทิศทางราคาน้ำมันจะยังทรงตัวได้ในระดับสูงต่อเนื่องจาก เหตุการณ์ความไม่สงบในอิสราเอล และการจำกัด SUPPLY ของกลุ่ม OPEC+ ส่วน การปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันจะมีเสถียรภาพมากน้อยเพียงใดยังขึ้นอยู่กับ DEMAND ซึ่งแปรผันตามการเติบโตของเศรษฐกิจโลก โดยฝ่ายวิจัยกำหนดสมมติฐาน ราคาน้ำมันดิบดูไบระยะยาวตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไปอยู่ที่ 80 เหรียญฯ/บาร์เรล ซึ่งภายใต้สมมติฐานดังกล่าวมูลค่าพื้นฐานของ PTTEP อยู่ที่ 180 บาท/หุ้น ยังแนะนำหา จังหวะ TRADING ตามทิศทางราคาน้ำมัน

 

ครม.ชุดใหม่ น่าจะเห็นรัฐบาลใหม่เริ่มปฎิบัติหน้าที่ ครึ่งหลังของ เดือน ก.ย.67 ตาม ASPS คาด
ความคืบหน้าในการจัดตั้งรัฐบาลในช่วงนี้ คงเป็นเรื่องของการตรวจสอบคุณสมบัติ ของว่าที่ รัฐมนตรี ซึ่งดำเนินการควบคู่ไปกับการเจรจากับพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งล่าสุด ทาง THE STANDARD คาดการณ์ TIMELINE ของรัฐบาลชุดใหม่ไว้ใกล้เคียงกันที่ ASPS ประเมินไว้ก่อนหน้านี้ กล่าวคือ ประเมินว่าการนำรายชื่อ รัฐมนตรีขึ้นทูลเกล้าฯ น่าจะเกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์นี้(2-6 ก.ย.67) ตามด้วยพิธีการต่างๆ คือ การรอโปรดเกล้า ฯ ลงมา การถวายสัตย์ปฏิญาณ และสุดท้ายก่อนปฎิบัติหน้าที่คือการแถลงนโยบาย ต่อรัฐสภา ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นในช่วงกลางเดือน ก.ย.67 สอดคล้องกับนายกฯรักษาการ “นายภูมิธรรม” ที่คาดภายใน 15 ก.ย.67 จะได้ ครม.ชุดใหม่แน่นอน

 

สำหรับสถานการณ์การเจรจากับพรรคร่วมรัฐบาลเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า มติ กรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยแถลง ออกมาว่าไม่มีรายชื่อของพรรคพลังประชารัฐ เข้าร่วมรัฐบาล และเติมเต็มด้วยพรรคประชาธิปัตย์แทน ซึ่งฝ่ายวิจัยฯไม่ได้กังวลกับ ประเด็นดังกล่าวมากนัก เนื่องจากพรรคแกนนำของรัฐบาลชุดดังกล่าว ยังคงเป็น พรรคเพื่อไทย + พรรคภูมิใจไทยที่มีคะแนนเสียงรวมกัน 211 เสียง จึงไม่น่าจะมีการ เปลี่ยนแปลงนโยบายหลักไปจากเดิมมากนัก และน่าจะเห็นช่วงเวลาของการดำเนินการ นโยบายต่างๆคล้ายเดิม ซึ่งในสัปดาห์ที่ผ่านมา รมช.คลัง เผยว่ามีหลากหลายนโยบาย ที่จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยเดินต่อไปข้างหน้า และรอให้รัฐบาลใหม่เข้ามาผลักดัน อาทิ

 

• การจัดตั้งกองทุน THAI ESG / วายุภักษ์
• โครงการ DIGITAL WALLET คาดว่าจะแจกรอบแรกภายในเดือน ก.ย.67
• ระบบค้ำประกันรูปแบบใหม่ ที่กำลังเตรียมเสนอ ครม. ใหม่
• การเป็นศูนย์กลางทางเงินภูมิภาค ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการจัดตั้งคณะทำงาน แก้ไขร่างกฎหมาย
• โครงการ ENTERTAINMENT COMPLEX ซึ่งอยู่ระหว่างการรับผังความเห็น จัดทำร่าง พ.ร.บ.

 

สรุป กระแสการจัดตั้ง ครม.ชุดใหม่ คาดแล้วเสร็จช่วง กลาง ก.ย.67 ตามกรอบ TIMELINE เดิม หนุนให้ภาพรวมเศรษฐกิจไทย ยังมีโอกาสเห็นการเติบโตแบบขึ้นบันได ใน 2H67 ซึ่งมาจาก DIGITAL WALLET ที่เตรียมแจกเงินสดแก่กลุ่มเปราะบาง-ผู้พิการ ก่อน 1 หมื่นบาท/ราย ภายใน 30 ก.ย.67 ส่วนหุ้นที่คาดจะได้ประโยชน์ คือ หุ้นกลุ่มเช่า ซื้อ เกษตร-อาหาร และค้าปลีก อาทิ MTC BAM TIDLOR TU TFG GFPT CPALL CPAXT BJC เป็นต้น

 

มีโอกาสเห็น FUND FLOWเคลื่อนเข้ามาในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น
เดือน ก.ย. การเข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยสหรัฐขาลงเริ่มขึ้น ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินมีโอกาสเห็น FUND FLOW เคลื่อนเข้ามาในตลาดหุ้นไทยมากขึ้นจาก 3 ปัจจัย

 

1. ในอดีตเวลาดอกเบี้ยสหรัฐปรับตัวลง หุ้น VALUE มัก OUTPERFORM ได้ ดีกว่าหุ้น GROWTH และถ้าเปรียบเทียบกับ SET INDEX ที่ภาพรวมถูกมอง ว่าเป็นหุ้น VALUE ก็มักจะปรับตัวขึ้นได้ดีกว่าหุ้น GROWTH อย่าง ดัชนี NASDAQ เช่นกัน
2. ดอกเบี้ยสหรัฐลดลงเร็วกว่าไทย หนุนให้ค่าเงินบาทแข็งค่า เร่งจูงใจให้ต่างชาติ เข้ามาซื้อหุ้นไทยเพิ่มขึ้น เพราะมีโอกาสได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มเติม
3. ในมุม VALUATION ตลาดหุ้นไทยถูกกว่ากลุ่ม TIP มาก หากอิง MEYG (MARKET EARNING YIELD GAP) กับดอกเบี้ยนโยบาย ตลาดหุ้นไทยกว้าง มากสุดในกลุ่ม TIP คือ ตลาดหุ้นไทยมี MEYG 4.0%, ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์มี MEYG 2.1% และตลาดหุ้นอินโดฯ มี MEYG 0.7% แสดงว่า ตลาดหุ้นไทยมี VALUATION ที่น่าสนใจมากสุดในกลุ่ม TIP ในมุม MEYG

 

สรุป การเข้าสู่วัฎจักรดอกเบี้ยสหรัฐฯ ลดลง หุ้นไทยมีโอกาส OUTPERFORM อีกทั้ง ดอกเบี้ยสหรัฐลดลงเร็วกว่าไทย หนุนให้ค่าเงินบาทแข็งค่า เร่งจูงใจให้ต่างชาติเข้ามาซื้อ หุ้นไทยเพิ่มขึ้น เพราะจะได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มเติม ขณะเดียวกัน VALUATION ตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจ

 

Research Division
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส

เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม, CISA
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน และทางเทคนิค
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132

ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365

ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985

สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

1200 แตก By: แม่มดน้อย

แม่ดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ และแล้ว ดัชนีตลาดหุ้นไทย ก็แตก 1,200 จุด ด้วยพ่อใหญ่อย่าง DELTA แม่ใหญ่ AOT เป็นหัวหอก....

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้