Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.กรุงศรี พัฒนสิน : KSS Daily Strategy

527

 

 

"THB Strengthen Plays"

 

KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "Up" ต้าน 1373/1380 จุด รับ 1348/1343 จุด ดัชนี S&P500 ขึ้นแรง +1.15% หลังถ้อยแถลงคุณ Powell ประธาน Fed ยืนยันว่าถึงเวลาปรับเปลี่ยนนโยบายทางการเงิน เนื่องจากเงินเฟ้อกำลังจะเข้ากรอบเป้าหมาย และเริ่มกังวลตลาดแรงงานที่ชะลอลง ทำให้ตลาดเชื่อมั่นว่า Fed จะปรับนโยบายได้ทัน เพื่อประคองเศรษฐกิจสหรัฐสู่ภาวะ "Soft Landing" โดยสถานการณ์นี้ทำให้ Dollar Index อ่อนค่า Global Yield ลดต่ำลง เป็นภาพหนุนกระแสเงินหมุนเข้าสู่พันธบัตรและสินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะ TIPs > Ems > DMs เราคาดจะเห็นการ Upgrade มุมมองของตลาดหุ้น Asean ขณะที่ไทยน่าจะได้อานิงสค์บวกนี้ ผสานเศรษฐกิจเริ่มฟื้น และ Valuation ถูก Forward PER24F SET อยู่ราว 15 เท่า ยังต่ำกว่า AVG 17.3X คาด SET ปรับขึ้นต่อ หุ้นนำ คือ กลุ่มดอกเบี้ยขาลงหนุน (โรงไฟฟ้า เช่าซื้อ Digital Tech หนี้สูง) กลุ่มน้ำมัน (น้ำมันดีดแรงเฉลี่ย +2.5% รับสถานการณ์ตะวันออกกลางสลับมาตึงเครียดขึ้น) กลุ่มขายสินค้าไอทีรับกระแสเก็งกำไรแรงก่อนวันเปิดตัว I-phone 16 ชัด+จิตวิทยาบวกเงินบาทแข็ง วันนี้แนะนำ MTC, BA, ADVICE

 

 


Daily outlook: "Up" ต้าน 1373/1380 จุด รับ 1348/1343 จุด

What happened around the world ?

(*/+) US Stocks: ตลาดหุ้นสหรัฐวันศุกร์ปรับขึ้นแรงใกล้ทดสอบจุดสูงสุดของปีช่วงเดือน ก.ค.24 รับการให้ความเห็นประธาน Fed ในการประชุม Jackson hole หนุนการลดดอกเบี้ยปีนี้ อิง Dow Jones +1.14%d-d , S&P500 +1.15%d-d, Nasdaq +1.47%d-d โดยดัชนี S&P 500 ปรับขึ้นทุก Sector โดยกลุ่มที่ขึ้นเด่นคือ Real estate, IT, Consumer Discretionary ฯลฯ ส่วนหุ้นที่เคลื่อนไหวโดดเด่นหลักๆคือ กลุ่ม tech ที่ได้ปกลุ่มระโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง กลุ่มชิป NVDIA +4.55%, Super micro computer +1.4% ฯลฯ มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนไทย , Microstrategy +12.1% ปรับขึ้นตามราคา cryptocurrency ที่ขึ้นแรง มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นที่ทำธุรกิจเชื่อมโยง Crypto ในไทย อาทิ BTC, TTA ฯลฯ

(*/+) Jackson Hole : งานสัมมนาประจำปี Jackson Hole Symposium ปี เป็นไปตามคาด คือการให้ความเห็นของคุณ Jerome Powell ประธาน Fed ให้ความเห็นชี้โอกาสสหรัฐลดดอกเบี้ย โดยใจความหลักคือ 1)เวลามาถึงแล้วที่นโยบายจะต้องปรับตัว ทิศทางของการเคลื่อนไหวชัดเจนแล้ว ช่วงเวลาและความเร็วของการลดดอกเบี้ยจะขึ้นอยู่กับข้อมูลที่เข้ามา แนวโน้มที่เปลี่ยนแปลงไป และสมดุลของความเสี่ยง 2)Fed มีความมั่นใจเพิ่มขึ้นว่าเงินเฟ้อจะลดลงเหลือ 2% บ่งชี้ความเชื่อการเริ่มต้นของวงจรดอกเบี้ยขาลงจะเริ่มในการประชุม ก.ย. นี้เช่นกัน เป็นบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยงโลก บวกต่อโรงไฟฟ้า เน้น GULF กลุ่มเช่าซื้อ กลุ่มหนี้สูง CPAXT,CPALL, TRUE, ADVANC กลุ่ม Tech Consult BBIK BE8 ขณะที่กลุ่มชิ้นส่วนเน้น HANA, DELTA สำหรับกองทุนแนะนำ กองทุน KF-CSINCOM

(*/-) BOJ : คาซูโอะ อุเอดะ ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น(BOJ) กล่าวต่อรัฐสภาญี่ปุ่นวันศุกร์ ว่า BOJ พร้อมที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หากเศรษฐกิจและเงินเฟ้อเป็นไปตามคาด โดยเงินเฟ้อญี่ปุ่น ล่าสุด เดือน ก.ค. อยู่ที่ 2.8%y-y (สูงกว่ากรอบเป้าหมาย BOJ) ทำให้มีโอกาสที่ BOJ อาจจะกลับมาขึ้นดอกเบี้ยต่อ มองผลจะทำให้ค่าเงินเยนมีแนวโน้มแข็งค่า และเป็นจิตวิทยาลบต่อตลาดหุ้นญี่ปุ่น KSS ยังคงให้น้ำหนักการลงทุน Neutral

(*/-) China – EU tariff : กระทรวงพาณิชย์จีนจัดประชุมร่วมกับบรรดาผู้ผลิตรถยนต์และสมาคมอุตสาหกรรมในวันศุกร์ เพื่อหารือเรื่องการขึ้นภาษีนำเข้ารถเครื่องยนต์เบนซินขนาดใหญ่ ตลาดคาดเป็นการตอบโต้ยุโรปเก็บภาษี EV กับจีน (ประเมินจะส่งผลกระทบต่อเยอรมนีมากที่สุด เพราะเยอรมนีส่งออกรถที่มีเครื่องยนต์ขนาด 2.5 ลิตรขึ้นไปโดยส่งออกไปจีนมากถึง 1.2 พันล้านดอลลาร์) KSS ประเมินจะเป็นปัจจัยบวกทำให้เกิดการย้ายฐานการผลิต หรือ ย้ายการนำเข้ามาที่ชิ้นส่วนในไทย มองบวกต่อหุ้นกลุ่มนิคมไทย เน้น WHA และหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ เน้น KCE

(*) To monitor : 26 ส.ค. ติดตามยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทน ก.ค. คาด +3.9%m-m, 27 ส.ค. ความเชื่อมั่นผู้บริโภค ส.ค. คาด 100.0 29 ส.ค. ติดตาม GDP 2Q รายงานครั้งที่สอง คาด +2.8%q-q เท่าการรายงานครั้งก่อน, 30 ส.ค. ติดตามเงินเฟ้อ PCE ก.ค. คาด +0.2%m-m, +2.7%y-y ฝั่งจีน 20 ส.ค. PBOC ประกาศอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี คาดคงไว้ทั้งอายุ 1 ปี และ 5 ปี ที่ระดับ 3.35% และ 3.85% ตามลำดับ ฝั่งญี่ปุ่น 30 ส.ค. ติดตามดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรม ก.ค. คาด +3.9%m-m vs prev. -4.2%m-m

(*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐ อายุ 2 ปีปรับลง -10 bps ที่ 3.90% ต่ำสุดในรอบ 3 สัปดาห์และอยู่บริเวณแนวรับสำคัญ และอายุ 10 ปี -6 bps ปิด 3.795% โดยรวมมองบวกต่อหุ้นกลุ่มการเงิน เน้น MTC กลุ่มโรงไฟฟ้า GULF ระยะสั้น ส่วน Dollar Index อ่อนค่าลงมาบริเวณ 100.6 จุด

(*) Tension : อิสราเอลเปิดฉากโจมตีฮิซบอลเลาะห์ เพื่อยับยั้งแผนฮิซบอลเลาะห์จากการที่อิสราเอลสังหารผู้บัญชาการทำให้อิสราเอลประกาศภาวะฉุกเฉินทั่วประเทศเป็นเวลา 48 ชั่วโม และโจมตีต่อเป้าหมายของฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอนเพื่อตอบโต้การเตรียมการโจมตีที่อิสราเอล KSS ประเมินเป็นเพียงจิตวิทยาลบต่อสินทรัพย์เสี่ยงระยะสั้น เพราะ 1.)การเจรจาหยุดยิงยังเดินหน้า 2.)สนามบิน al gurion ในเจรูซาเร็ม กลับมาเปิดแล้ว 3.)หุ้นอิสราเอลยังปรับขึ้น ในทางตรงข้ามจะบวกต่อสินทรัพย์ปลอดภัยอาทิ ทองคำ เช่นเดียวกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ มีแนวโน้มปรับตัวขึ้น โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบ แต่ระยะกลาง - ยาว ยังต้องติดตามความรุนแรงและความยืดเยื้อ หากไม่บานปลายยังคงมองเป็นปัจจัยกระทบเพียงช่วงสั้น

(*/+) Oil : น้ำมันดิบ Brent +2.33%d-d ปิดที่ US$ 79.02/barrel น้ำมันดิบ West Texas +2.49%d-d ปิดที่ US$ 74.8/barrel แรงหนุนจาก Dollar ที่อ่อนค่าแรง และความตึงเครียดในตะวันออกกลาง มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มพลังงานต้นน่้ำ และโรงกลั่น ยังแนะนำเก็งกำไร PTTEP, PTT

(*/+) Soft Commodity :ราคาปรัน้ำตาลบขึ้นในทางเดียวกันเกือบทุกสินค้า แรงหนุนหลักคือ Dollar ที่อ่อนค่าแรง โดยหลักๆคือน้ำตาล +3.03%d-d ปิดที่ 18.39US$/lb เป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นน้ำตาล อาทิ KSL , KTIS KBS., ราคายาง TOCOM 2.38%d-d ปิดที่ 349.1JPY/kgเ เพราะคาดการณ์อินเดียนำเข้ายางพาราเพิ่มขึ้น เป็นจิตวิทยาบวกต่อ STA, NER ถั่วเหลือง +1.20%d-d ปิดที่ 973 US$/bu บวกต่อ TVO

 

 

What happened in Thailand ?

(*/+) SET : SET วันทำการล่าสุด ปรับตัวขึ้น +13.8 จุด ก่อนปิดที่ 1354.87 จุด ตอบรับความคาดหวังเชิงบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ หลังอดีตนายกฯ แถลงในงาน Vision for Thailand กลุ่มหนุน คือ กลุ่มค้าปลีก (CPAXT, CPALL, HMPRO) ตอบรับความชัดเจนนโยบาย Digital Wallet เดินหน้าชุดแรกจะเป็นการแจกเงินสด 1.4 แสนล้านบาท กลุ่มธนาคาร (SCB, BBL, KBANK) หนุนจากความคาดหวังเชิงบวกมาตรการแก้หนี้ครัวเรือนของรัฐฯ และผลบวกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ Digital Wallet ชุดแรก กลุ่มถ่วง คือ กลุ่มชิ้นส่วน (DELTA, HANA) ตามจิตวิทยาลบหุ้นเทคฯ ต่างประเทศ ถูกขายลดความเสี่ยงก่อนการประชุม Jackson Hole กลุ่มการแพทย์ (BDMS, BH) มองเป็นภาพตลาดสลับกลุ่มลงทุน

(+) Flows: เม็ดเงินต่างชาติวันทำการล่าสุดเป็นภาพไหลเข้า ซื้อหุ้น 82.9 ล้านเหรียญฯ ขายพันธบัตร -60.9 ล้านเหรียญฯ TFEX เป็นสถานะ Net Long ที่ 15,472 สัญญา ส่วนเงินบาทเคลื่อนไหวแข็งค่าสู่ 33.95 +/- บาท

(+) Apple I-Phone: Bloomberg รายงาน Apple กำลังวางแผนเตรียมจัดงานเปิดตัวสินค้าอย่างยิ่งใหญ่ที่สุดในวันอังคารที่ 10 ก.ย.นี้ เพื่อเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ "iPhone 16" พร้อมกับ Apple Watches และ Airpods อิงคาดการณ์ i-Phone 16 ทุกรุ่นจะสามารถใช้งาน AI (Apple Inteeligence) เราเชื่อว่าโอกาสที่จะได้รับผลตอบทางบวกสูง ผสาน แบรนด์อื่นๆ ทยอยเปิดตัวและเร่งกระตุ้นทำตลาดตามมา มีโอกาสส่งผลกระแสเก็งกำไรหุ้นจำหน่ายอุปกรณ์ IT อาทิ COM7, JMART, SPVI, CPW, ADVICE, SIS, SYNEX คึกคักกว่าปกติ หากอิงค่าสถิติการเปิดตัว i-Phone ครั้งหลังสุด หุ้นมักให้ผลตอบแทนเด่นก่อนเปิดตัว 2-3 สัปดาห์ คือ SPVI (ผลตอบแทน 5.8%-10%, ความเป็นไปได้ 83%) รองมาคือ JMART (0.8-3.9%, ความเป็นไปได้ 100%) ทั้งนี้ หากอิงภาพพื้นฐานปัจจุบันประกอบด้วย เรามองตัวเลือกน่าเก็งกำไร ได้แก่ ADVICE (เริ่มขายผลิตภัณฑ์ Apple ช่วยต่อยอดกำไรเด่น), COM7 (กลับมาเน้นธุรกิจหลักขายสินค้า IT มากขึ้น) และ SPVI ตามลำดับ

(*) SET200 Rebound Plays: ทีมกลยุทธ์คัดเลือกหาหุ้นที่ปรับฐานลงแรงกว่าตลาด YTD โดย SET Index -4.3% และมีความน่าสนใจทางพื้นฐานรวม 12 บริษัท คือ BTS (ผลตอบแทน -41.5%) JMT (-39.2%) KCE(-30%) SCGP (-30%) SCGD (-29.5%) HANA (-27.7%) ERW (-27.6%) MOSHI (-26.2%) BGRIM( -23.7%) CENTEL (-22.9%) AMATA (-21.1%) AEONTS (-18.1%)

(*) FTSE Rebalance : FTSE ประกาศผลการ Rebalance ดัชนีรอบใหม่แล้ว คาดมีผลราคาปิด 6 ก.ย. 24 จะมีการเปลี่ยนแปลงในแต่ละส่วนดังนี้

o FTSE All World (Large + Mid Cap)

หุ้นเข้า : ไม่มี

หุ้นออก : BLA

***ส่วนการเปลี่ยนแปลงขนาดระหว่าง Large Cap และ Mid Cap ดังนี้

• หุ้นเข้า Large Cap ใหม่ : ไม่มี

• หุ้นออก Large Cap สู่ Mid Cap : CRC, EA, MINT, PTTGC, OR

• หุ้นเข้า Mid Cap ใหม่ : ไม่มี

• หุ้นออก Mid Cap : BLA

***หุ้นที่ขยับลงระหว่าง Large -> Mid cap จะมีผลลบเล็กน้อยจากการ Rebalance เนื่องจาก Market cap ที่ลดลง แต่ผลลบจะน้อยกว่าการถูกถอดออกจากดัชนีหลัก FTSE All world มาก

o FTSE Small Cap :

หุ้นเข้า : BLA, CPNREIT

หุ้นออก : ITD, NER, ORI, TPIPL

o FTSE Micro Cap :

หุ้นเข้า : DITTO, FTREIT, FUTUREPF, ITD, ORI, RBF, SRPIME. SAPPE, SJWD, SYMC, CREDIT, WHART, WICE

หุ้นออก : ZEN, UAC, TRC, THREL, TWPC, TRU, STI, SCAP, SA, SABUY, S11, QHHR, PYLON, POLY, PJW, NCAP, MONO, MILL, MICRO, GEL, GJS, EP, DEMCO, CV, CIMBT, CCET, B-WORK, AS, AMATAV, AMANAH, AJ, 2S

กลยุทธ์ : ระยะสั้น ระมัดระวัง หุ้นใน FTSE All-World ซึ่งเป็น Benchmark หลัก คือ ตัวที่ถูกถอดออก คือ BLA และ Trading เก็งกำไรหุ้นที่ถูกเพิ่มน้ำหนักส่วนใหญ่ที่เป็นกอง REIT ซึ่งล่าสุดมีแรงขับเคลื่อนจากความเชื่อมั่นภาพวงจรดอกเบี้ยใกล้เข้าสู่ขาลงเต็มตัว อาทิ CPNREIT(TP Con-11.7, Yield25F- 9.9%), FTREIT(TP Con11.8, Yield25F-7.5%), FUTURPF, SYMC(TP Con-12.6), WHART(TP Con10.8, Yield25F-7.8%)

(*) Flood: สถานการณ์น้ำท่วมในประเทศไทย ฝั่งภาคเหนือ แม้ตามหน้าข่าวมีความน่ากังวลจนเริ่มมีการกล่าวถึงความเสี่ยงระดับน้ำท่วมใหญ่ปี 2011 แต่เรายังเชื่อว่าสถานการณ์ยังไม่น่ากังวล หากพิจารณา 4 เส้นทางน้ำหลักจากภาคเหนือในปัจจุบัน

- แม่น้ำยม จุดที่มีปัญหาในปัจจุบัน จ.แพร่ ซึ่งไม่มีเขื่อนหลักที่ค่อยหน่วงมวลน้ำ

แต่หากมองเส้นทางน้ำอื่นอีก 3 ส่วนหลัก คือ กลุ่มที่เริ่มเสี่ยง คือ เส้นทางแม่น้ำวัง

- แม่น้ำปิง ที่มีเขื่อนภูมิพล ปัจจุบันปริมาณน้ำอยู่ที่ราว 44% vs 25 ส.ค. 11 ปีน้ำท่วมระดับน้ำอยู่ที่ 75%

- แม่น้ำวัง ที่มีเขื่อนกิ่วคอหมา ปัจจุบันปริมาณน้ำอยู่ที่ราว 79% (vs 25 ส.ค. 11 ปีน้ำท่วมระดับน้ำอยู่ที่ 79%) เขื่อนกิ่วลม ปัจจุบันปริมาณน้ำอยู่ที่ราว 59% (vs 25 ส.ค. 11 ปีน้ำท่วมระดับน้ำอยู่ที่ 39%)

- ส่วน จ. น่าน ที่กำลังท่วมอยู่ในฝั่งแม่น้ำน่าน ปัจจุบันที่มีเขื่อนสิริกิติ์ปริมาณน้ำอยู่ที่ราว 69% (vs 25 ส.ค. 11 ปีน้ำท่วมระดับน้ำอยู่ที่ 93%)

ทั้งนี้ หากตั้งสมมติฐานผลกระทบอยู่ในวงจำกัด จ.แพร่ จ.น่าน และอาจจะมีในส่วนสุโขทัย เรามองกลุ่มหุ้นที่ได้รับจิตวิทยาลบ อาทิ ค้าปลีก แต่เบื้องต้นยังมองเป็นจำนวนสาขาในพื้นที่ดังกล่าวไม่มาก ส่วนจิตวิทยาบวก คือ กลุ่มขายวัสดุก่อสร้างที่มีโอกาสได้ประโยชน์การซ่อมแซ่มระยะถัดไป หลังน้ำท่วมคลี่คลาย อาทิ DOHOME GLOBAL DCC TASCO TOA SCGD

(*) To Monitor: สัปดาห์นี้ 1.) 26 ส.ค. ยอดนำเข้า - ส่งออก ไทย ตลาดคาด 1.2% และ 8% vs prev. 0.3%y-y และ -0.3%y-y ตามลำดับ 2.) 30 ส.ค. ดุลบัญชีเดินสะพัด ก.ค. 24 3.) MSCI Rebalance รอบ ส.ค. มีผล 30 ส.ค. (ราคาปิด) MSCI Global Standard หุ้นเข้า : ไม่มี หุ้นออก : AWC (-95 ล้านเหรียญฯ), GPSC(-90 ล้านเหรียญฯ), EA(-35 ล้านเหรียญฯ) และ IVL ( -90 ล้านเหรียญฯ) 4) ทิศทางนโยบายของ ครม. ใหม่ที่คาดจะแถลงต่อสภาใน 15 วันหลังโปรดเกล้าแต่งตั้ง ครม. ใหม่

 

Daily Strategy : MTC, BA, ADVICE เด่น

ระยะสั้น วันนี้มองภาพตลาด "Up" หนุนภาพบวกต่างประเทศคุณ Powell ที่ให้สัญญาณจุดเปลี่ยนดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐแล้ว หนุนความเชื่อมั่นตลาดน่าจะช่วยให้เศรษฐกิจสหรัฐฯประคอง Soft Landing ได้ เป็นบวกต่อการลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะกลุ่มประเทศที่เศรรษฐกิจฟื้นตัวดีขึ้น ซึ่งไทยอยู่ในรอบที่เข้าข่ายกลุ่มดังกล่าว มองหุ้นนำ 1.) กลุ่มดอกเบี้ยขาลงหนุน (โรงไฟฟ้า เช่าซื้อ Digital Tech หนี้สูง) 2.) กลุ่มน้ำมัน (น้ำมันดีดแรงเฉลี่ย +2.5% รับสถานการณ์ตะวันออกกลางสลับมาตึงเครียดขึ้น) 3.) กลุ่มขายสินค้าไอทีรับกระแสเก็งกำไรแรงก่อนวันเปิดตัว I-phone 16 ชัด+จิตวิทยาบวกเงินบาทแข็ง

 

หุ้นฝั่ง Global Plays ที่ตลาดยังเชื่อมั่นภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ Soft Landing (PTTEP, TOP, GFPT, TU, CBG, OSP, DELTA, HANA )
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (CPALL, CPAXT, OSP, AOT, MINT, ERW, VGI, BA)
กลุ่มที่ได้ประโยชน์เงินบาทแข็งค่า กลุ่มที่มีหนี้สินต่างประเทศสูง + กลุ่มนำเข้าสินค้า/บริการ/วัตถุดิบ รวมถึงงบลงทุนที่ต้องใช้อุปกรณ์จากต่างประเทศ (PTT, GULF, BGRIM, GPSC, BA, AAV, COM7, SYNEX, ADVICE, ADVANC, TRUE, BE8, BBIK)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, GPSC, CPALL, TRUE, MINT, MTC)
กลุ่มได้ประโยชน์ Microsoft ลงทุน Data Center ในไทย (ADVANC, TRUE, INSET, GULF, INTUCH, WHA, AMATA)

• AUG24 Best Picks: ADVANC, CPALL, CPAXT, HANA, MINT, TRUE, WHA

• 3Q24Stock Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP

 

 

Tactical & Investment Idea

 

Research Highlight

 

• Strategy Update : Data Center

กระแสเทคโนโลยีสมัยใหม่ Cloud, AI และในอนาคตในส่วนระบบ Automation แม้ไทยอาจจะไม่ได้อยู่ในกลุ่มประเทศต้นน้ำที่ได้ประโยชน์จากการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีขึ้นมาโดยตรง แต่กระแสหลักนี้ จะสร้างโอกาสให้ไทยช่วง 4-5 ปีนับจากนี้ ด้วยศักยภาพการเป็นศูนย์กลางโครงสร้างพื้นฐานสำคัญด้านเทคโนโลยี กล่าวคือ Data Center ในไทย มีจุดเด่นจากพื้นที่ตั้งเป็นศูนย์กลางภูมิภาค, ความพร้อมโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ 4G 5G ที่ครอบคลุม ความเสี่ยงต่อภัยพิบัติต่ำ และกระแสไฟฟ้าที่มีเสถียรภาพและมั่นคง ทำให้ไทยเป็นจุดสนใจ จากการขยาย Data Center จากสิงคโปร์ซึ่งเป็นศูนย์กลางเดิมที่เริ่มมีข้อจำกัด

จากการรวบรวมตัวเลข KSS ในส่วนเม็ดเงินลงทุน Data Center ที่มีโอกาสเกิดขี้นในประเทศหลักๆ เราประเมินปัจจุบันมีเม็ดเงินมหาศาลรอลงทุน Data Center ในไทยช่วง 4-5 ปีจากนี้ ไม่น้อยกว่า 2.0 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนสูงราว 1.1% ของมูลค่า GDP ประเทศไทยในปัจจุบัน โดยหากทยอยลงทุน 4-5 ปี เท่ากับผลบวกต่อ GDP ราว 0.2-0.25% ต่อปี ซึ่งยังไม่รวมการนำมาสู่ประโยชน์ด้านดิจิตอลต่างๆ อีกจำนวนมากต่อประเทศ ถือเป็นหนึ่งใน S Curve ใหม่ของไทย และ Upside ของเศรษฐกิจระยะกลาง-ยาวที่เชื่อว่าตลาดยังแทบไม่รวมในประมาณการ GDP

มุมมองเชิงกลยุทธ์ ประเมินว่า Upside จากแรงขับเคลื่อนด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ มีจุดเด่นสำคัญ คือ ปริมาณข้อมูลที่ใช้สนับสนุนจะเติบโตแบบทวีคูณ (Exponential) ซึ่งน่าจะสร้างโอกาสทางธุรกิจสูงกว่าที่ตลาดคาดคิดไว้ และเป็น Thematic Theme ระยะกลาง-ยาว 1-5ปี KSS มีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นที่อยู่ในระบบนิเวศน์ของ Data Center โดยฝั่ง Data Center เราแนะนำผู้ได้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานขยายตัวโดยตรง อาทิ GULF INTUCH ADVANC TRUE INSET DELTA STPI(Non-Coverage) กลุ่ม Digital Tech ที่ Data Center จะนำมาสู่ Upside งานประเภท Cloud Adoption และ AI รวมถึง Automation Adoption ระยะหนุนอุตสาหกรรมเข้าสู่รอบใหญ่ของการขยายตัวอีกครั้ง อาทิ BE8 BBIK ส่วนกระแส Cycle เทคโนโลยี AI ที่ผลักดันอุปกรณ์สื่อสารต่างๆ พัฒนาให้มี AI พื้นฐานติดเครื่องมากขึ้น จะสร้างโอกาส ฟื้นตัวจากรอบการเปลี่ยนอุปกรณ์ตามกระแส AI เราคาดไม่ต่างไปจากยุค 3G 4G หนุนหุ้นได้ประโยชน์ อาทิ HANA , ADVICE(Non-Coverage), SYNEX(Non-Coverage)

Best Picks : GULF, TRUE, DELTA, INSET, BE8, HANA, ADVICE

• Strategy Update : Earnings Plays

งบบริษัทจดทะเบียนไทย 2Q24 รายงาน 613 บริษัท กำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 2.55 แสนล้านบาท +17.6%y-y, -4.6%q-q โดย Sector กำไรที่เพิ่ม y-y q-q หลักๆคือ เกษตร, เครื่องดื่ม, อสังหาฯ, พลังงาน, ค้าปลีก และกลุ่มเทคโนโลยี ฯลฯ Sector ที่กำไร หดตัว y-y และ q-q คือ ยานยนต์ รับเหมา สื่อ โดยรวมกำไร 1H24 ออกมา 5.23 แสนล้านบาทคิดราว 47% ของคาดการณ์กำไรที่ตลาดประเมินทั้งปี 90 บาทต่อหุ้น +/- (เท่ากับ 1.14 ล้านล้านบาท)

Outlook กำไรบริษัทจดทะเบียน 2H24 เราประเมินเร่งขึ้นจากช่วงครึ่งปีแรก แรงหนุนหลัก คือ KSS ประเมิน ภาพใหญ่ ตามเดิมคือ มองภาพทิศทางดอกเบี้ยโลกเป็นขาลง เศรษฐกิจสหรัฐมองเป็นภาพ Soft landing และเศรษฐกิจจีนค่อยๆฟื้น หนุนราคาน้ำมันดิบดูไบ ยืนระดับสมมติฐานทั้งปี 2024 -2025 ที่ 82 เหรียญฯ และ 75 เหรียญ เศรษฐกิจไทยคาด GDP Growth ล่าสุดที่ 2.4%y-y (Krungsri Research) vs ฐานช่วง 1H24F คาด 1.8%y-y บ่งชี้ 2H24F ดีขึ้น มีแรงหนุนหลักมาจากฝั่งท่องเที่ยวที่สัญญาณชี้นำเป็นไปในทางบวก ขณะที่แรงขับเคลื่อนจากเม็ดเงินลงทุนรัฐฯ และการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง หลังการเมืองมีสัญญาณสุญญากาศทางการเมืองจะสั้นกว่าที่ตลาดกังวล จากความคาดหวังการได้นายกและครม. ชุดใหม่ โดยรวมทำให้คาดกำไรทั้งปีอยู่บริเวณ 90 -91 บาท/หุ้น ส่งผลให้ปัจจุบัน Current และ Forward Equity Risk Premium(ERP) ของ SET สูงราว 4.03% และ 4.42% ใกล้ระดับ AVG + 1 S.D. (4.07%) ที่เป็นจุดพร้อมฟื้นตัวในกรณีไม่มีวิกฤติ

เชิงกลยุทธ์ KSS ยังคงเป้าหมายดัชนีสิ้นปี 2024 ที่ 1540 จุด บนสมมติฐาน(Market EPS 2024 ที่ 90 บาท, ERP เท่าค่าเฉลี่ย 3.06%) ประเมินหุ้นที่คาดเคลื่อนไหวนำตลาดในระยะถัดไป จะอยู่ในกลุ่มที่ทิศทางกำไร 3Q24 ดีเร่งขึ้น q-q ,y-y หลักๆคือ กลุ่มส่งออกอาหาร ชิ้นส่วน ที่เป็นช่วงฤดูกาลส่งออก เน้น CPF DELTA HANA กลุ่มโรงไฟฟ้า เน้น GULF กลุ่ม Domestic ที่ปรับฐานลึกและจะฟื้นตัวใน 2H24F เน้น AOT, CPALL, CPAXT กลุ่มที่ยังอยู่ใน Upcycle ADVANC, TRUE, WHA

• Strategy Update : I-Phone 16 เตรียมเปิดตัว หนุนหุ้นจำหน่ายมือถือ

กระแสการเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ใกล้จะเริ่มขึ้น โดยปกติจะเกิดขึ้นในช่วง 1 -2 สัปดาห์แรกของเดือน ก.ย. ของทุกปี และในปีนี้ iPhone 16 คาดว่าจะเปิดตัว 10 ก.ย. 24 หรือราว 4 สัปดาห์ข้างหน้า ภายใต้จุดเด่นของ iPhone 16 คือ การใช้ชิป A17 -18 สนับสนุนฟีเจอร์ AI อาทิ การแปลภาษา, การแต่งภาพ เราประเมินรอบนี้มีโอกาสสูงที่จะเห็นกระแสตอบรับทางบวกจากฟีเจอร์ AI ที่ iPhone 16 จะสามารถใช้งานได้ทุกรุ่น จากปัจจุบันที่ใช้งานเฉพาะ รุ่นเรือธง (Flagship) iPhone 15 Pro เท่านั้น ทำให้กลุ่มลูกค้าที่เดิมไม่ได้ใช้งานเครื่องรุ่นเรือธงเดิม (Flagship) มีโอกาสพิจารณาเปลี่ยนเครื่องใหม่ vs ภาพหลายรุ่นช่วงก่อนหน้าที่ส่วนใหญ่ไม่มีฟีเจอร์ที่เป็นจุดเปลี่ยน ทำให้วงจรเปลี่ยนเครื่องค่อนข้างยาวนาน กระทบยอดขายหุ้นที่ดำเนินธุรกิจช่องทางจำหน่าย

KSS ได้ทำการศึกษาสถิติการเปิดตัว i-Phone ย้อนหลัง 6 ครั้งล่าสุด พบว่า หากลงทุนหุ้นที่ได้ประโยชน์สูง คือ กลุ่มที่จำหน่าย iPhone ก่อนเปิดตัว iPhone 1 เดือน (ช่วงเวลาปัจจุบัน) และขายทำกำไรหุ้นในช่วงเปิดตัว หุ้นในกลุ่มทุกบริษัทมีความเป็นไปได้เกิน 75% ที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก โดยหุ้นที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยมากสุด คือ JMART (ความเป็นไปได้ 100%, ผลตอบแทนเฉลี่ย 12.8%) SPVI (83%, 12.4%) COM7(83%, 5.7%) CPW(75%, 4.8%) และ SYNEX(83%, 4.4%) ตามลำดับ

กลยุทธ์ ด้วยผลศึกษาดังกล่าว ประกอบกับ ภาพพื้นฐานปัจจุบัน KSS แนะนำเก็งกำไรหุ้นที่รายได้ส่วนใหญ่ยังมาจากการจำหน่ายอุปกรณ์ที่นอกจาก iPhone ยังเชื่อว่าจะมีอานิสงส์จากกระแส AI ในอุปกรณ์ตามหนุนอีกระลอกใหญ่ แนะนำเก็งกำไร SPVI (Trading), CPW (Trading) SYNEX (TP Con-13.9), ADVICE(TP-6.55) ส่วนการลงทุนแนะนำ ADVANC(TP-280) และ TRUE(TP-12) อีกหนึ่งกลุ่มที่มีโอกาสได้ประโยชน์ หากความนิยมสูง ระดับเงินอุดหนุนที่ใช้ขายเครื่องจะลดต่ำลง หนุนกำไร

• MSCI Rebalance: •MSCI ประกาศหุ้นเข้าออกในการคำนวณดัชนี โดยการ Rebalance จะมีผลวันที่ 30 ส.ค.24

MSCI Global Standard ▪️หุ้นเข้า : ไม่มี ▪️หุ้นออก : AWC (-95 ล้านเหรียญฯ), GPSC(-90 ล้านเหรียญฯ), EA(-35 ล้านเหรียญฯ) และ IVL ( -90 ล้านเหรียญฯ)

MSCI Global Small Cap ▪️หุ้นเข้า : BJC, EA, KAMART, TLI ▪️หุ้นออก : BAFS, BYD, EPG, NEX, ORI, PTG, RBF, THANI, SC, SJWD, SKY, SNNP, THCOM

• Strategy Update : เลือกตั้งสหรัฐ สร้างความไม่แน่นอน แต่เป็นโอกาสระยะสั้น-กลางของเอเชียและไทย

การเลือกตั้งสหรัฐ 5 พ.ย.24 ตลาดเริ่มให้น้ำหนักมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังคุณ Kamara Harris สลับมาเป็นตัวแทนผู้สมัครรับเลือกตั้งปธน. แทนคุณ Biden ที่ถอนตัวออกไป ทำให้ผลคะแนนเดิมที่คุณ Biden ถูกคุณ Trump ทิ้งห่างกลับมาสูสีมากขึ้น อย่างไรก็ดีด้วยระดับคะแนนปัจจุบันโอกาสที่ Trump จะเป็นประธานาธิบดียังเหนือกว่า และนโยบายทั้งสองพรรคเหมือนกัน ในส่วนการทำสงครามการค้า (Trade War) สงครามเทคโนโลยี (Tech War) กับจีน ทำให้ตลาดมีความกังวลต่อความเสี่ยงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นคล้ายกับสมัยคุณ Trump ดำรงตำแหน่งครั้งแรกปี 2017-21

อิงผลการศึกษา Krungsri Research ประเมิน หากมีการยกระดับ Tariff ขึ้นราว 25% จากปัจจุบัน 1.) คาดกระทบยอดส่งออกจีน -5.76% และสหรัฐฯ -3.26% แต่จะบวกต่ออาเซียน และกลุ่มประเทศกำลังพัฒนารวมถึงไทย และ 2.) KSS ประเมินผลกระทบจะไม่สูงเท่ารอบปี 2018-19 เพราะภาพ Supply Chain ของโลกมีความเปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่ช่วงคุณ Trump ดำรงตำแหน่งสมัยแรก อิงสัดส่วนการส่งออกสินค้าจีนไปยังกลุ่มประเทศ Belt and Road ที่ปัจจุบันสูง 46% จากระดับต่ำราว 26% ในปี 2006 รวมถึงสัดส่วนการส่งออกจีนไปยังประเทศพัฒนาแล้วเหลือ 22% จากปี 2006 ที่ 50% 3.) คาดกรณีดังกล่าวจะส่งผลบวกต่อไทย GDP +0.04% และส่งออก +0.87%

ส่วนผลกระทบตลาดหุ้นสหรัฐ และ SET Index ก่อนและหลังการเลือกตั้ง จากการศึกษา KSS ในอดีต พบว่า ในการเลือกตั้งประธานาธิบดี 5 ครั้งหลังสุด ดัชนี S&P 500 มักปรับตัวผันผวนก่อนการเลือกตั้ง ก่อนจะปรับตัวขึ้นหลังการเลือกตั้ง ส่วนปี 2024 KSS ประเมินมีโอกาสอาจจะเห็นภาพ Fund Flows สลับยังมา ไทย SET Index -6.8%นับตั้งแต่ต้นปี(ytd) และ Valuation จูงใจ และมีโอกาสที่ Upside เพิ่มจากการที่ดอกเบี้ยไทยคาดมีโอกาสที่ กนง. อาจจะพิจารณากลับมาเดินหน้าลดดอกเบี้ย ลงอย่างน้อย 1 ครั้งๆ ราว 25 bps ทำให้โดยรวม KSS ยังคงมุมมองบวกต่อแนวโน้ม SET Index ช่วง 3Q24 ปรับขึ้น วางดัชนีเป้าหมายสิ้นปี 2024 ที่ 1,540 จุด กลยุทธ์การลงทุนยังให้เน้นลงทุนในหุ้น Theme US Election แนวนโยบายที่จะยังคงอยู่คือการเดินหน้าสงครามการค้าและเทคโนโลยีกับจีน ผสาน กระแส FDI เข้าไทยที่ดีช่วงหลัง ทำให้ยังคงมุมมองบวกต่อหุ้นกลุ่มนิคม เน้น WHA และกลุ่มส่งออกอาหาร ชิ้นส่วน คาดได้จิตวิทยาบวกเช่นกัน อาหาร CPF, GFPT, TU ชิ้นส่วน KCE, HANA

 

 

 

• PTTGC (Neutral, TP-32) : มอง slightly positive ต่อข้อมูลในที่ประชุมนักวิเคราะห์ แผนระยะยาวเป็นเชิงรุกมากขึ้นเติบโตผ่านการขยาย allnex รวมถึงแผนขยายในอินเดีย อาจสร้าง upside ต่อ EBITDA 2025-26F ได้ราว 1% ส่วนข้อมูลด้านลบ อย่างด้อยค่าฯ PTTAC+Vencorex บริษัทมีการเปิดเผยความเสี่ยงไว้ก่อนหน้าแล้ว และราคาปรับลง YTD สะท้อนไประดับหนึ่ง เราคงมุมมอง core operation ฟื้นตัว h-h ใน 2H24F หนุนจากอะโรเมติกส์และโรงกลั่น ทั้งนี้เราคงคำแนะนำ Neutral ที่ TP25F = 32.00 บาท/หุ้น ด้วย 2H24F ไม่มี catalyst (มีด้อยค่าฯ และ core operation ฟื้นแต่อยู่ในระดับต่ำ) สามารถรอดูข้อสรุปสัญญาฯกับ PTT และรอให้ spread HDPE เหนือ 400 $/ton (ระดับก่อน oversupply รอบใหญ่) ก่อนได้

• OSP (Buy, TP28) : The tone of the analyst briefing was positive from raising revenue growth guidance for FY24F to high single digit (from mid-single digit) and indicating that the gross margin could expand yoy into 2H24. We, thus, : 1) increase our revenue by 0.9% in FY24F- FY25F, 2) increase gross margin by 0.7-1ppt to 36.5% and 3) lower SG&A to total sales by 1ppt to 24.8% which lead to core profit increase by 14-16.7% in FY24F-FY25F. We maintain BUY and increase TP by 8% to Bt28.

• ZEN (Neutral, TP6.5) : We have a more positive outlook for ZEN, anticipating 2Q24 as the bottom with expect 3Q24F showing better-than-expected due to less negative SSSG and effective strategy adjustments. We've revised our earnings forecasts upward to Bt58m (-63% YoY) for FY24F and Bt104m for FY25F, reflecting a recovery. Given the expected hoh improvements in 2H24F and a 30% YTD stock price decline, ZEN now trades at an attractive 18x P/E FY25F, equivalent to -2SD of its historical average. Consequently, we upgrade our recommendation to NEUTRAL with a new target price of Bt6.50, as we await more concrete signs of recovery.

• CHG (Buy, TP3.2) : เราคงคำแนะนำ Buy สำหรับ CHG ปรับใช้ราคาเป้าหมายปี 25F ที่ 3.20 บาท (เดิม TP24F 3.70 บาท) วิธี DCF WACC 7.4% L-T growth 3% คิดเป็น Imply PE ปี 25F ราว 29 เท่า เรามองว่า CHG น่าสนใจ 1) ศักยภาพการให้บริการที่เพิ่มขึ้นของเครือข่าย รพ.ต่างๆ จะเพิ่มโอกาสการแข่งขัน และขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น 2) ผลบวก Economies of scale ของการใช้บริการที่เพิ่มขึ้น ทำให้อัตรากำไรของ CHG เริ่มฟื้นตัวใน 2H24F เป็นต้นไป และ 3) คาด 3Q24F มีปัจจัยเสริมธุรกิจปกติ ทำให้คาดว่าเติบโตเด่น q-q นอกจากนี้ CHG ปัจจุบันซื้อขายเทียบเท่า Forward PE 3y ที่ -1.0SD

 

 

3Q24F Equity Outlook : The strong get stronger, the weak get less weak

Stock Best Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA

Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP

 

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

ตั้งลำ By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ ตลาดหุุ้นไทย ดีดตัว ตั้งลำได้อีกครั้ง ยืน 1,180 จุด ได้ ด้วยตลาดต่างประเทศปรับตัวขึ้น ....

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้