Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.กรุงศรี พัฒนสิน : KSS Daily Strategy

318

 


"Global Plays"

 

KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "UP" ต้าน 1310/1320 จุด รับ 1290/1280 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ฟื้นแรง ดัชนี S&P500 +2.3% ทุกกลุ่มปรับขึ้น ความกังวลภาคแรงงานที่เป็นประเด็นต้นสัปดาห์ลดลง หลังยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ดีกว่าคาด -3.3%w-w สู่ 2.3 แสนราย ขณะที่ Avg. 4 สัปดาห์ยังเป็นขาขึ้น บ่งชี้เศรษฐกิจสหรัฐฯค่อยๆอ่อนลง เป็นภาพ Soft Landing ภาวการณ์ Search for Yield จะกลับมาเป็นภาพหลัก โดยฝั่ง Asia และไทย จีนติดตามเงินเฟ้อ CPI ตลาดคาด +0.3%y-y vs prev. +0.2%y-y จะบวก y-y 5 เดือนติด ส่วนไทยกำไร 2Q24 ดี 110 บริษัทที่รายงานแล้ว กำไรรวมดีกว่าคาด 5% เติบโต 25%y-y บริษัทที่มีคาดการณ์ 50 แห่ง กำไรดีกว่าคาด+ตามคาดสูง 44 แห่ง สัปดาห์หน้าจะมีความชัดเจนประเด็น Overhang คุณสมบัตินายก vs SET ที่ถูกขายลดความเสี่ยงล่วงหน้าแล้วตั้งแต่ช่วงที่เริ่มมีประเด็น -5.9% หนุนมอง SET วันนี้ปรับตัวขึ้นตามต่างประเทศ หุ้นนำวันนี้ หุ้นกลุ่ม Global Plays และกลุ่มได้ประโยชน์ Yield พีค (โรงไฟฟ้า เช่าซื้อ หนี้สูง) หุ้นกำไร 2Q24 เด่น วันนี้แนะนำ DELTA, HANA, TOP (ค่าการกลั่นเช้านี้เด่น 6.89 เหรียญฯ +26%d-d)

 


Daily outlook: "UP" ต้าน 1310/1315 จุด รับ 1290/1280 จุด

What happened around the world ?

•(*/+) US Stocks: ตลาดหุ้นสหรัฐ Rebound แรงรับตัวเลข Initial jobless claim ดีกว่าคาดลดความกังวล US Recession อิง Dow Jones -+1.76%d-d , S&P500 +2.3%d-d, Nasdaq +2.86%d-d โดยดัชนี S&P 500 ปรับขึ้นทุก Sector และนำโดยกลุ่ม Tech และ High Growth ขึ้นนำโดย IT, ICT ฯลฯ ส่วนหุ้นที่เคลื่อนไหวโดดเด่นหลักๆคือ หุ้นกลุ่มชิปปรับตัวขึ้น ARM Holdings + 10% Intel + 7%, Eli Lilly +9% หลังจากบริษัทปรับเพิ่มประมาณการรายได้ทั้งปีขึ้น, Warner Bros Discovery -8% รับรายงานรายได้ 2Q24 ออกมาต่ำคาด

• (*)Fed speaks : คุณ Thomas Barkin ประธาน (Fed สาขา Richmond(Voter) เผยว่า มีเวลา" ที่จะประเมินว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังกลับสู่ภาวะปกติหรือกำลังอ่อนแอลง

• (*/+) US Econ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานรายสัปดาห์ -1.7 หมื่นรายสู่ระดับ 2.33 แสนราย ดีและต่ำกว่าที่ Consensus คาดไว้ที่ 2.4แสนราย (ตัวเลขแรงงานที่ออกมาลดความกังวล US Recession และสะท้อนว่าตลาดแรงงายยังไม่อยู่ระดับที่น่ากังวล และบ่งชี้ ไม่ได้มีการปลดแรงงานเพิ่ม แต่จุดที่ให้น้ำหนักคือ นายจ้างไม่รับคนเพิ่มทำให้ Continuing Claims สูงขึ่น 6 พันรายอยู่ที่ 1.875 ล้านคนและมากกว่าคาดที่ 1.870 ล้านคนโดยรวม สะท้อนภาพภาคแรงงานสหรัฐฯประคองในลักษณะ Soft Landing ได้ (ความเสี่ยง Hard Landing จะเกิดขึ้นผู้ขอรับสวัสดิการครั้งแรกเฉลี่ยจะสูงกว่าระดับ 4.0 แสนตำแหน่ง)

• (*/+) Taiwan Export : ไต้หวันรายงานยอดส่งออกขยายตัวเป็นบวก 7 เดือนติดและล่าสุดเดือน ก.ค. ขยายตัว 3.1%y-y (โครงสร้างสินค้าส่งออกไต้หวันหลักๆ คือ Electronic 33%ของยอดส่งออกรวม, สินค้า ICT ราว 10.8% ฯลฯ) และยอดนำเข้าเดือนเดียวกัน +16.2% ดีกว่าตลาดคาด 9.7% (ยอดนำเข้าที่ยังดีสะท้อนภาพภาคการผลิตไต้หวันแกร่ง) KSS มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นส่งออกชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เน้นลงทุน HANA, KCE

• (*/+)Japan Wage hike สำนักงานบุคลากรแห่งชาติญี่ปุ่นปรับเพิ่มเงินเดือนพื้นฐานของข้าราชการ เฉลี่ย +2.76%สูงสุด 32 ปี โดยจำนวนข้าราชการในญี่ปุ่นมีราว 2.8 ล้านคน(หรือคิดราว 2.2% ของจำนวนประชากรญี่ปุ่น) มองบวกต่อภาคการบริโภคครัวเรือนญี่ปุ่น ราว 60%ของ GDP มองหนุนอัตราเงินเฟ้อญี่ปุ่นทรงตัวสูง และบวกต่อหุ้นที่ส่งออกสัตว์ไปญี่ปุ่น FM(สัดส่วนราว 25%ของยอดขายรวม) GFPT (สัดส่วนราว 5%ของยอดขายรวม), CPF (สัดส่วนราว 2.7%)

• (*/+) Heat : Bloomberg รายงานคาบสมุทรไอบีเรียเผชิญกับอุณหภูมิร้อนจัดในช่วงฤดูร้อน และคาด อุณหภูมิในสเปนอาจสูงถึง 42 องศาเซลเซียสในแคว้นกันตาเบรียและริโอฮาทางตอนเหนือ รวมคาดการณ์ว่า เมืองต่าง ๆ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของยุโรป เช่น ลอนดอน ปารีส และเบอร์ลิน มีแนวโน้มว่าจะเผชิญกับวันที่ร้อนที่สุดของฤดูกาลในช่วงต้นสัปดาห์หน้า มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มเครื่องดื่มที่ส่งออกไปยุโรป อาทิ SAPPE (ส่งออกไปยุโรปราว 27%ของยอดขายรวม) มอง Trading

• (*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐแนวโน้มปรับขึ้นต่อเนื่อง 3 วัน อายุ 2 ปีปรับขึ้น 4 bps ที่ 4.0% และอายุ 10 ปี ปรับขึ้นต่อเนื่อง 3 วัน +3 bps ปิด 3.99% โดยรวมมองบวกต่อหุ้นกลุ่มธนาคาร (BBL, SCB, KBANK, KTB, TTB) และประกันชีวิต (BLA, TLI) ระยะสั้น ส่วน Dollar Index แข็งค่าขึ้นบริเวณ 103.0 จุด

•(*) To monitor : จีนติดตาม 8-9 ส.ค. ตัวเลข PPI และ CPI เดือน ก.ค.ตลาดคาด -0.9%y-y, 0.3%y-y

 

•(*/+) Oil : ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นติดต่อกัน 2 วัน Brent +1.06%d-d ปิดที่ US$ 79.16/barrel น้ำมันดิบ West Texas +1.28%d-d ปิดที่ US$ 76.19/barrel แรงหนุนมาจาก ... มองจิตวิทยาบวกต่อหุ้นพลังงานต้นน้ำ PTT, PTTEP

•(-) World Container Index : WCI พลิกปรับลง 3 สัปดาห์ติด สัปดาห์ล่าสุด -3%w-w ) อยู่ที่ 5,551 เหรียญต่อ 40 ft และปรับลงต่อเกือบทุกเส้นทางเรือ แรงกดดันหลักๆมาจากความตึงเคร่ยดในะตวันออกลางล่าสุดลดลง ประเมินจิตวิทยาลบต่อหุ้นเรือ Container อาทิ RCL และบวกต่อกลุ่มให้บริการโลจิสติกส์ในลักษณะ Freight Forwarder ที่มีสัดส่วน Sea Freight สูง อาทิ SINO (90% ของรายได้), SONIC (62% ของรายได้) LEO (75% ของรายได้) และ WICE (34% ของรายได้) ยังแนะนำเพียง ชะลอการลงทุน

 

What happened in Thailand ?

• (*/+) SET: SET ปรับตัวเพิ่มขึ้น +5.7 จุด หรือ +0.44% ปิดที่ 1296.25 จุด ดัชนีมีโมเมนตัมฟื้นตัวต่อเนื่องจากวานนี้ กลุ่มหนุน คือ กลุ่มพลังงาน (PTTEP, PTT, TOP) หนุนหลักจากราคาน้ำมันฟื้นตัวแรง +2.5% และ TOP รายงานกำไร 2Q24 ดีกว่าคาด กลุ่มค้าปลีก (CPAXT, CPALL, CRC) จิตวิทยาบวก รมช.คลังคาดการเบิกเงินดิจิตอล มีผล พ.ย. 24 ผสาน ข่าวรัฐฯเตรียมหารือมาตรการสกัดสินค้าจีน ผสานเก็ง CPAXT คาดรายงานกำไร 2Q24F เติบโตสูง y-y กลุ่มถ่วง คือ กลุ่มชิ้นส่วน (DELTA, KCE) จิตวิทยาลบต่างประเทศที่ยังมีภาพ Sector Rotation ออกจากหุ้นเทคโนโลยี สู่กลุ่ม Value กลุ่มธนาคาร (KBANK, BBL) มองตลาดให้น้ำหนักเงินเฟ้อไทยที่ยังต่ำ ทำให้มี Downside การปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย

• (*/+) Flow : เม็ดเงินต่างประเทศวันทำการล่าสุดเป็นภาพไหลเข้า ซื้อพันธบัตร +137.5 ล้านเหรียญฯ ขายหุ้น -14.1 ล้านเหรียญฯ TFEX เปิดสถานะ Net Short ที่ -17,341 สัญญา เงินบาทแข็งค่าที่ 35.3 +/- บาท

• (*/+) Virtual Bank: กระแสการยื่นขอใบอนุญาต หรือไลเซนส์ ตั้งธนาคารไร้สาขา หรือ Virtual Bank ที่ BOT เปิดให้บริษัทต่างๆ ยื่นขอไลเซนส์ได้ตั้งแต่ 20 มี.ค. - 19 ก.ย. 24 แม้ช่วงแรก BOT จะกำหนดการให้ใบอนุญาตจะมีเพียง 3 ราย แต่ล่าสุดกระแสมีความคึกคักมากขึ้น โดยปรากฏชื่อกลุ่ม BTS ที่ให้ความสนใจเข้าสู่ธุรกิจผ่านบริษัทย่อย VGI ผสาน ความสัมพันธ์กับ BBL ที่ดียาวนาน และ BBL เปิดช่องถึงความจำเป็นการเปลี่ยนแปลงด้านดิจิตอล ทำให้ถูกคาดหมายว่าจะเป็นอีกกลุ่มที่สนใจร่วมกับ กลุ่มที่มีกระแสก่อนหน้า คือ SCB กับ Webank จากจีน, กลุ่ม KTB – GULF – ADVANC, กลุ่ม CP รวมถึงกลุ่ม J Group มองบวกต่อโอกาสที่การเข้าถึงสินเชื่อในระบบจะเพิ่มสูงขึ้นสำหรับประชาชนหลายกลุ่ม ช่วยลดภาระทางการเงิน ขณะที่กลุ่มธุรกิจที่มีโอกาสได้ประโยชน์ จากปริมาณงาน Digital Transformation เพิ่มเข้ามาในอุตสาหกรรม Digital Tech Consult ระยะสั้นมองจิตวิทยาบวกต่อหุ้น BE8, BBIK เน้น BBIK ที่กำไรผ่านจุดต่ำสุดใน 2Q24 แล้ว

• (*) EA: วันนี้ (9 ส.ค.) ติดตาม EA นัดประชุมเจ้าหนี้ผู้ถือหุ้นกู้ 2 รุ่น ขอเลื่อนไถ่ถอน รุ่น EA248A วงเงิน 1,500 ล้านบาท นัดประชุม 9 ส.ค. ยืดเวลาครบดีลไปอีก 10 เดือน 15 วัน เพิ่มดอกเบี้ยให้ 1.89% ต่อปี ส่วนรุ่น EA249A วงเงิน 4,000 ล้านบาท นัดประชุม 14 ส.ค. ยืดเวลาครบดีลไปอีก 9 เดือน 1 วัน เพิ่มดอกเบี้ยให้ 1.80% ต่อปี เรามองมีโอกาสที่ผู้ถือหุ้นกู้จะอนุมัติคล้ายกรณี ITD ต้นปี

• (*/+) Short Sales: หลังจากมาตรการ Uptick Rule ตั้งแต่ 1 ก.ค. วานนี้ในส่วนจำนวนหุ้นที่มียอด Short คงค้างอยู่ที่ 399 บริษัท (vs วันทำการล่าสุด 398 บริษัท) พบว่ากลุ่มที่มียอด Short เท่าเดิม +สัดส่วนกลุ่มถูก Short ลดลง วานนี้เพิ่มขึ้นชัดเจน โดยมีรายละเอียดดังนี้ โดยกลุ่มที่ลดลงจากวันทำการก่อนหน้าเพิ่มเป็น 99 บริษัท (วันทำการล่าสุด 14 บริษัท) หุ้นที่ Short เท่าเดิมอยู่ที่ 235 บริษัท (วันทำการล่าสุด 197 บริษัท) ส่วนหุ้นที่ Short เพิ่มขึ้นมี 62บริษัท (วันทำการล่าสุด 187 บริษัท) มองจิตวิทยาด้านบวกต่อ SET โดยหุ้นที่วานนี้มียอด Short ลดลงสูง 5 อันดับแรก คือ BTS KCE, PSL, TIDLOR, GUNKUL

• (*/+) SET 2Q24 Earnings: หุ้นใน SET ที่รายงานกำไรงวด 2Q24 แล้วทั้งสิ้น 110 บริษัท (vs วานนี้ 76 บริษัท) โดยเป็นหุ้นที่มีคาดการณ์กำไรของตลาด 50 บริษัท (vs ล่าสุด 35 บริษัท)ดีกว่าคาด 24 บริษัท (vs ล่าสุด 20 บริษัท) ตามคาด 20 บริษัท (vs ล่าสุด 11 บริษัท)แย่กว่าคาด 6 บริษัท (vs ล่าสุด 4 บริษัท) กำไรดีกว่าตลาดคาด 5.0% (vs ล่าสุด 5.3%) เติบโต 25%y-y (vs ล่าสุด +9.8%y-y) หุ้นที่รายงานกำไรวานนี้

กลุ่มที่ดีกว่าคาด ได้แก่ BH (10%y-y, -3%q-q) TOP (396%y-y, -5%q-q) PTTGC (พลิกกำไร y-y, พลิกกำไร q-q แต่กำไรปกติต่ำกว่าคาด GPSC (362%y-y, 65%q-q) COCOCO (73%y-y, 11.6%q-q) TACC (28%y-y, 13%q-q) TIDLOR (17.7%y-y, -1%q-q) แต่ยังกังวลภาพคุณภาพสินทรัพย์แย่ลง ONEE (-1%y-y, 285%q-q) MAJOR (-56.4%y-y, 66%q-q
กลุ่มที่เป็นไปตามคาด คือ BCP (298%y-y, -25%q-q) CPAXT (43.5%y-y, -12.3%q-q) OR (-8%y-y, -32%q-q) SNNP (3.6%y-y, 3.0%q-q) BBIK (-38%y-y, -40%q-q) PR9 (15%y-y, -12%q-q) GULF (64%y-y, 35.5%q-q) ดีตามคาด
กลุ่มที่ต่ำกว่าคาด คือ SAT(-37%y-y, -25%q-q)
กลุ่มที่ไม่มีคาด คือ ASIAN (1532%y-y, 3.6%q-q) NYT (-10%y-y, -36%q-q) LPN (11%y-y, 15%q-q)
ส่วนกลุ่มที่คาดรายงานกำไรวันนี้ อาทิ ADVICE BEC BTG PTG CBG CKP BE8 BTG IVL NER PTT SPA WHA หุ้นที่ตลาดคาดกำไรเด่น ได้แก่ BTG (247%y-y, 516%q-q) PTG (298%y-y, 72%q-q) CBG (102%y-y, -68%q-q) PTT(33%y-y, -8%q-q) SPA (39%y-y, 11%q-q)

• (*) To Monitor: สัปดาห์หน้า ประเด็นในประเทศติดตาม 1.) 14 ส.ค. ศาลรัฐธรรมนูญนัดพิพากษาคดีคุณสมบัตินายก 2.) รายงานกำไรตลาดงวด 2Q24F โค้งสุดท้าย ติดตามหุ้นหลักๆ อาทิ AAV, AP, BDMS, BEM, BGRIM, BJC., CPALL, KCE, PLANB, SAPPE, AOT, AWC, BTS, CENTEL, CPF, CRC, HANA, OSP, SIRI, SPRC, BCH. CK, STEC หุ้นตลาดคาดรายงานกำไรดี คือ BGRIM, BJC, CPALL, KCE, SAPPE, PLANB, AOT, CPF, OSP, SIRI, SPRC

 

Daily Strategy : DELTA HANA TOP เด่น

ระยะสั้น วันนี้มองภาพตลาด "UP" ตลาดหุ้นต่างประเทศผ่อนคลายจากภาพบวกภาคแรงงานบ่งชี้ภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯเป็น Soft Landing หนุนภาวการณ์ Search for Yield โดยฝั่งเอเชีย วันนี้ลุ้นรายงานเงินเฟ้อจีน หากขยายตัว y-y ต่อเนื่องจะเป็นสัญญาณบวก ส่วนไทยมองมีลุ้นจากภาพกำไร 2Q24 รายงาน 110 บริษัท ออกมาดีกว่าคาด 5% เติบโต 25%y-y หนุน EPS ตลาดสัปดาห์นี้ถูกปรับสู่ 90.96 จากเดิม 90.84 บาท มองหุ้นนำ 1) หุ้นกลุ่ม Global Plays (น้ำมัน โรงกลั่น ชิ้นส่วน) 2) กลุ่มได้ประโยชน์ Yield พีค ความเชื่อมั่นดอกเบี้ยขาลง (โรงไฟฟ้า เช่าซื้อ หนี้สูง) และ 3) หุ้นกำไร 2Q24 เด่น + Outlook งวด 2H24 ดี

 

หุ้นฝั่ง Global Plays ที่ตลาดยังเชื่อมั่นภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ Soft Landing (PTTEP, TOP, GFPT, TU, CBG, OSP, DELTA, HANA )
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรการท่องเที่ยวชุดใหญ่ของรัฐฯ หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (CPALL, CPAXT, OSP, AOT, MINT, ERW)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, GPSC, CPALL, TRUE, MINT, MTC)
กลุ่มได้ประโยชน์ Microsoft ลงทุน Data Center ในไทย (ADVANC, TRUE, INSET, GULF, INTUCH, WHA, AMATA)

• AUG24 Best Picks: ADVANC, CPALL, CPAXT, HANA, MINT, TRUE, WHA

• 3Q24Stock Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP

 

 

Tactical & Investment Idea

 

Research Highlight

 

• Strategy Update : I-Phone 16 เตรียมเปิดตัว หนุนหุ้นจำหน่ายมือถือ

กระแสการเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ใกล้จะเริ่มขึ้น โดยปกติจะเกิดขึ้นในช่วง 1 -2 สัปดาห์แรกของเดือน ก.ย. ของทุกปี และในปีนี้ iPhone 16 คาดว่าจะเปิดตัว 10 ก.ย. 24 หรือราว 4 สัปดาห์ข้างหน้า ภายใต้จุดเด่นของ iPhone 16 คือ การใช้ชิป A17 -18 สนับสนุนฟีเจอร์ AI อาทิ การแปลภาษา, การแต่งภาพ เราประเมินรอบนี้มีโอกาสสูงที่จะเห็นกระแสตอบรับทางบวกจากฟีเจอร์ AI ที่ iPhone 16 จะสามารถใช้งานได้ทุกรุ่น จากปัจจุบันที่ใช้งานเฉพาะ รุ่นเรือธง (Flagship) iPhone 15 Pro เท่านั้น ทำให้กลุ่มลูกค้าที่เดิมไม่ได้ใช้งานเครื่องรุ่นเรือธงเดิม (Flagship) มีโอกาสพิจารณาเปลี่ยนเครื่องใหม่ vs ภาพหลายรุ่นช่วงก่อนหน้าที่ส่วนใหญ่ไม่มีฟีเจอร์ที่เป็นจุดเปลี่ยน ทำให้วงจรเปลี่ยนเครื่องค่อนข้างยาวนาน กระทบยอดขายหุ้นที่ดำเนินธุรกิจช่องทางจำหน่าย

KSS ได้ทำการศึกษาสถิติการเปิดตัว i-Phone ย้อนหลัง 6 ครั้งล่าสุด พบว่า หากลงทุนหุ้นที่ได้ประโยชน์สูง คือ กลุ่มที่จำหน่าย iPhone ก่อนเปิดตัว iPhone 1 เดือน (ช่วงเวลาปัจจุบัน) และขายทำกำไรหุ้นในช่วงเปิดตัว หุ้นในกลุ่มทุกบริษัทมีความเป็นไปได้เกิน 75% ที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก โดยหุ้นที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยมากสุด คือ JMART (ความเป็นไปได้ 100%, ผลตอบแทนเฉลี่ย 12.8%) SPVI (83%, 12.4%) COM7(83%, 5.7%) CPW(75%, 4.8%) และ SYNEX(83%, 4.4%) ตามลำดับ

กลยุทธ์ ด้วยผลศึกษาดังกล่าว ประกอบกับ ภาพพื้นฐานปัจจุบัน KSS แนะนำเก็งกำไรหุ้นที่รายได้ส่วนใหญ่ยังมาจากการจำหน่ายอุปกรณ์ที่นอกจาก iPhone ยังเชื่อว่าจะมีอานิสงส์จากกระแส AI ในอุปกรณ์ตามหนุนอีกระลอกใหญ่ แนะนำเก็งกำไร SPVI (Trading), CPW (Trading) SYNEX (TP Con-13.9), ADVICE(TP-6.55) ส่วนการลงทุนแนะนำ ADVANC(TP-280) และ TRUE(TP-12) อีกหนึ่งกลุ่มที่มีโอกาสได้ประโยชน์ หากความนิยมสูง ระดับเงินอุดหนุนที่ใช้ขายเครื่องจะลดต่ำลง หนุนกำไร

• Strategy Update : Fed คงดอกเบี้ยตามคาด แต่ตลาดมองดอกเบี้ยลด 3 ครั้ง ย้ำภาพดอกเบี้ยขาลง

ผลประชุม Fed : ผลประชุม Fed มติเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยที่ 5.25-5.5% Key Highlight คือถ้อยแถลงของ ประธาน Fed เผยข้อมูลเศรษฐกิจมีพัฒนาการที่ดี โดยเฉพาะฝั่งเงินเฟ้อ และเริ่มกล่าวถึงการเปิดทางการลดดอกเบี้ยในปีนี้ หากอิง Statement ประเด็นที่เปลี่ยนแปลงรอบก่อน และสนับสนุนมุมมองการลดดอกเบี้ยคือ การอ่อนตัวลงของตลาดแรงงาน ปรับประโยคการจ้างงานเป็น "Moderated" (จากรอบก่อน Remained Strong) และ คาดอัตราการว่างงานสูงขึ้นแต่ยังอยู่ในระดับต่ำ สนับสนุนมุมมองตลาดคาดโอกาสการลดอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งปี 3 ครั้งๆละ 25 bps อัตราดอกเบี้ยสิ้นปีอยู่ที่ 4.5-4.75% สอดคล้องกับ MUFG คาดปีนี้จะเห็นการลดดอกเบี้ย 3 ครั้งเช่นกัน

KSS ประเมิน หลังจากนี้ ตลาดจะเริ่มจับตารายงานทิศทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคแรงงานมากขึ้น นำโดยอัตราว่างงาน (Unemployment Rate) ก.ค. 24 ที่จะประกาศ 2 ส.ค. ไม่ควรสูงเกิน 4.2% อิงเกณฑ์ Sahm's Rule เสี่ยง "US Recession" ในช่วง 6 เดือนข้างหน้า หรือช่วงต้นปี 2025 (Consensus คาดเฉลี่ย 4.1%) อย่างไรก็ตาม เรายังให้น้ำหนักอัตราว่างงานยังต่ำกว่าระดับดังกล่าวและเห็นด้วยกับมุมมอง Consensus ซึ่งจะเป็นภาพ Soft landing หากอิงดัชนีชี้นำฝั่ง ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก

ทั้งนี้ น้ำหนักหลักในส่วนอัตราดอกเบี้ยเป็นขาลงทิศทางดังกล่าวจะหนุนภาพ Search for Yield มายัง SET Index ยังแกว่งที่ระดับ Current และ Forward ERP สูง 3.75% และ 4.31% ล้วนใกล้ระดับ Avg + 1 S.D. ที่ 4.07% น่าจะหนุน SET ฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง กลยุทธ์เน้นกลุ่ม Yield ลดลง อาทิ โรงไฟฟ้า เน้น GULF, BGRIM กลุ่มเช่าซื้อ กลุ่มหนี้สูง เน้น CPALL, CPAXT, TRUE, MINT

• MSCI Rebalance: ดัชนี MSCI มีกำหนดการประกาศผลการ Rebalance รอบใหม่วันที่ 12 ส.ค. (ไทยทราบผลเช้า 13 ส.ค.) โดยการ Rebalance จะมีผล 30 ส.ค. เบื้องต้นเราคาดหุ้นที่มีความเสี่ยงสูงหลุดออกจากดัชนี ได้แก่ AWC GPSC EA เสี่ยงระดับกลาง คือ IVL เสี่ยงต่ำ คือ KTC ระยะสั้นมีโอกาสหุ้นชุดดังกล่าวจะมีโอกาสเคลื่อนไหว Underperform เชิงกลยุทธ์ให้เลี่ยงลงทุนไปก่อน

• Strategy Update : เลือกตั้งสหรัฐ สร้างความไม่แน่นอน แต่เป็นโอกาสระยะสั้น-กลางของเอเชียและไทย

การเลือกตั้งสหรัฐ 5 พ.ย.24 ตลาดเริ่มให้น้ำหนักมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังคุณ Kamara Harris สลับมาเป็นตัวแทนผู้สมัครรับเลือกตั้งปธน. แทนคุณ Biden ที่ถอนตัวออกไป ทำให้ผลคะแนนเดิมที่คุณ Biden ถูกคุณ Trump ทิ้งห่างกลับมาสูสีมากขึ้น อย่างไรก็ดีด้วยระดับคะแนนปัจจุบันโอกาสที่ Trump จะเป็นประธานาธิบดียังเหนือกว่า และนโยบายทั้งสองพรรคเหมือนกัน ในส่วนการทำสงครามการค้า (Trade War) สงครามเทคโนโลยี (Tech War) กับจีน ทำให้ตลาดมีความกังวลต่อความเสี่ยงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นคล้ายกับสมัยคุณ Trump ดำรงตำแหน่งครั้งแรกปี 2017-21

อิงผลการศึกษา Krungsri Research ประเมิน หากมีการยกระดับ Tariff ขึ้นราว 25% จากปัจจุบัน 1.) คาดกระทบยอดส่งออกจีน -5.76% และสหรัฐฯ -3.26% แต่จะบวกต่ออาเซียน และกลุ่มประเทศกำลังพัฒนารวมถึงไทย และ 2.) KSS ประเมินผลกระทบจะไม่สูงเท่ารอบปี 2018-19 เพราะภาพ Supply Chain ของโลกมีความเปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่ช่วงคุณ Trump ดำรงตำแหน่งสมัยแรก อิงสัดส่วนการส่งออกสินค้าจีนไปยังกลุ่มประเทศ Belt and Road ที่ปัจจุบันสูง 46% จากระดับต่ำราว 26% ในปี 2006 รวมถึงสัดส่วนการส่งออกจีนไปยังประเทศพัฒนาแล้วเหลือ 22% จากปี 2006 ที่ 50% 3.) คาดกรณีดังกล่าวจะส่งผลบวกต่อไทย GDP +0.04% และส่งออก +0.87%

ส่วนผลกระทบตลาดหุ้นสหรัฐ และ SET Index ก่อนและหลังการเลือกตั้ง จากการศึกษา KSS ในอดีต พบว่า ในการเลือกตั้งประธานาธิบดี 5 ครั้งหลังสุด ดัชนี S&P 500 มักปรับตัวผันผวนก่อนการเลือกตั้ง ก่อนจะปรับตัวขึ้นหลังการเลือกตั้ง ส่วนปี 2024 KSS ประเมินมีโอกาสอาจจะเห็นภาพ Fund Flows สลับยังมา ไทย SET Index -6.8%นับตั้งแต่ต้นปี(ytd) และ Valuation จูงใจ และมีโอกาสที่ Upside เพิ่มจากการที่ดอกเบี้ยไทยคาดมีโอกาสที่ กนง. อาจจะพิจารณากลับมาเดินหน้าลดดอกเบี้ย ลงอย่างน้อย 1 ครั้งๆ ราว 25 bps ทำให้โดยรวม KSS ยังคงมุมมองบวกต่อแนวโน้ม SET Index ช่วง 3Q24 ปรับขึ้น วางดัชนีเป้าหมายสิ้นปี 2024 ที่ 1,540 จุด กลยุทธ์การลงทุนยังให้เน้นลงทุนในหุ้น Theme US Election แนวนโยบายที่จะยังคงอยู่คือการเดินหน้าสงครามการค้าและเทคโนโลยีกับจีน ผสาน กระแส FDI เข้าไทยที่ดีช่วงหลัง ทำให้ยังคงมุมมองบวกต่อหุ้นกลุ่มนิคม เน้น WHA และกลุ่มส่งออกอาหาร ชิ้นส่วน คาดได้จิตวิทยาบวกเช่นกัน อาหาร CPF, GFPT, TU ชิ้นส่วน KCE, HANA

• Strategy Update : ThaiESG 2024 ต่อ SET Index

รัฐบาลมีแผนปรับเงื่อนไขสิทธิประโยชน์จากกองทุนลดหย่อนภาษี ThaiESG ใหม่ โดยปรับเงื่อนไขให้สิทธิซื้อเพิ่มลดหย่อนภาษีได้เพิ่มขึ้นทั้งเม็ดเงิน และสัดส่วนเทียบกับฐานรายได้ ผสาน ระยะเวลาลงทุนสั้นลง KSS คาดว่าฐานเม็ดเงินที่เข้าสู่กองทุน ThaiESG รอบนี้ จะสูงราว 7.8 หมื่นล้านบาทต่อปี ขณะที่ SET ณ ปัจจุบัน ยังอยู่ใน Value Zone น่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนเชิงบวกตลาดหุ้นไทยนับจากนี้.

เชิงกลยุทธ์ : โดยรวม KSS ประเมินเป็น "บวก" ต่อตลาดหุ้นไทยคล้ายสมัยมาตรการลดหย่อนภาษีผ่านกองทุน LTF ในอดีต เนื่องจากเป็นการเสริมสภาพคล่องของเงินลงทุนระยะยาวในประเทศให้กลับมาแข็งแรงขึ้น กลยุทธ์แนะลงทุนในหุ้นใน SETESG ที่มีคุณสมบัติราคาลงแรงกว่า SET -6.6%YTD ได้แก่ BTS SCC, CRC, IVL, PTTGC, CPN, BBL, HMPRO และกลุ่มที่มีน้ำหนัก (Weight) ใน ESG สูง ได้แก่ GULF AOT, MTC, CPALL, GPSC

 

• CPAXT (Buy, TP40): เรามีมุมมอง NEUTRAL ต่อกำไรสุทธิ 2Q24 ของ CPAXT ที่ 2.18 พันลบ.(+44%y-y แต่ -12%q-q) ใกล้เคียงเราและตลาดคาด โดยกำไรสุทธิโตดีขึ้น y-y มากกว่าช่วง 1Q24 ที่ +15% เพราะ GPM ค้าปลีกปรับขึ้น +40bps y-y ครั้งแรกนับจากควบรวม (4Q21) ตาม Product mix ทั้งนี้ เราแนะนำ BUY โดย rollover ราคาเป้าหมายเป็นปี 25F ที่ 40 บ. ชอบCPAXT ที่ i) อัตรากำไรขั้นต้นธุรกิจค้าปลีกเริ่มปรับขึ้น หนุนกำไรปกติปี24F จะโต +26% ดีกว่ากลุ่มฯ+20% และ ii) ระยะยาวมีผลบวกการปรับโครงสร้าง ล่าสุดจะจัดประชุมผู้ถือหุ้น 23 ก.ย. และคาด NewCo ซื้อขาย 3 ต.ค. ให้เป็นหุ้นเด่นคู่กับ CPALL (TP80)

• TOP (Buy, TP78.5): มอง Positive ต่อกำไรสุทธิ 2Q24 ของ TOP ที่ 5,547 ลบ. (+397% y-y, -5% q-q) สูงกว่าเราและตลาดคาด ลดลง q-q น้อยกว่ากลุ่มโรงกลั่นด้วยกัน เพราะมี stock gain และกำไรพิเศษมาชดเชย ค่าการกลั่นที่ลดลง มองในช่วง 2H24F ที่กำไรชะลอ h-h จากไม่มี stock gain หนุน สามารถทยอยสะสมรับการเติบโตในระยะยาวตามปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นจากกำลังการผลิตใหม่ +45% ของโครงการ CFP ได้ คงคำแนะนำ Buy ที่ TP25F = 78.50 บาท/หุ้น ความเสี่ยงสำคัญ i) ความคืบหน้าของ CAP2 และ ii) ประเด็นแรงงานโครงการ CFP

• MAJOR (Buy, TP17.1): เรามอง Positive ต่อกำไรสุทธิ 2Q24 ที่ 232 ลบ. สูงกว่าเราและตลาดคาด 20-30% แต่กำไรสุทธิลดลง -56% y-y จากปีก่อนมีกำไรพิเศษ ถ้าไม่รวมกำไรปกติจะโต +19% y-y จากการบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้น และกำไรปกติเติบโต +166% q-q ตามฤดูกาล แนวโน้มกำไร 3Q24F อ่อนตัว y-y q-q แต่จะกลับมาฟื้นตัวเด่นใน 4Q24F จากภาพยนตร์ไทยฟอร์มใหญ่เข้าฉาย คงคำแนะนำ Buy ปรับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 25F ที่ 17.10 บาท

• ONEE (Buy, TP5.55): เรามอง Slightly Positive ต่อกำไรสุทธิ 2Q24F ที่ 120 ลบ. (-1% y-y +282% q-q) ใกล้เคียงคาด แต่ฟื้นเด่น q-q ตามฤดูกาลและรายการทีวีได้รับความนิยมสูงหนุนรายได้ แนวโน้ม 2H24F มีละครฟอร์มใหญ่รอออกอากาศและคอนเสิร์ตใหญ่หนุนกำไรแข็งแกร่งและโดดเด่นกว่าหุ้นสื่อทีวีด้วยกัน คงคำแนะนำ Buy ปรับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 25F ที่ 5.55 บาท

 


3Q24F Equity Outlook : The strong get stronger, the weak get less weak

Stock Best Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA

Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

พีที สเตชั่น จับมือ "โป๊ยเซียน" แจกยาดม 2 หมื่นหลอด เติมความสดชื่นเต็ม MAX ในแคมเปญ "เพื่อนคู่ใจทุกการเดินทาง"

พีที สเตชั่น จับมือ "โป๊ยเซียน" แจกยาดม 2 หมื่นหลอด เติมความสดชื่นเต็ม MAX ในแคมเปญ "เพื่อนคู่ใจทุกการเดินทาง"

งบหมดแล้ว By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ ภาคเช้าที่ผ่านมา SET หมุนทะลุเส้น 1200 จุด อีกครั้ง ด้วยแบงก์ ,อิเล็กทรอนิกส์ และพลังงาน....

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้