ตัวเลขเศรษฐกิจเชิงลบ กดดันตลาดหุ้น
ในช่วงเวลาที่ยังไม่มีความชัดเจนว่าดอกเบี้ยนโยบายจะปรับลดลงเมื่อไรตัวเลขเศรษฐกิจที่ไม่ดีถูกตีความในเชิงบวก ในมุมที่คิดว่าจะทำให้ธนาคารกลางปรับลดดอกเบี้ย แต่ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันที่สัญญาณการปรับลดดอกเบี้ยมีความคมชัด ตัวเลขเศรษฐกิจที่ย่ำแย่กลับมาถูกตีความตรงไปตรงมา ในมุมที่สร้างความกังวลให้กับตลาดหุ้น ภาพดังกล่าวเห็นได้จากการรายงานตัวเลข ตลาดแรงงาน และ PMI ในสหรัฐที่แย่กว่าคาดกลับมาสร้างแรงกดดันให้ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงแรง ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวน่าจะมีผลในเชิง SENTIMENT ต่อเนื่องมายังตลาดหุ้นไทย แต่อย่างไรก็ตามภายใต้สัญญาณที่ กนง. จะคงดอกเบี้ยสวนทางกับดอกเบี้ยโลกที่ปรับลดลง เรามองว่าน่าจะทำให้เห็นเม็ดเงินไหลเข้ามาบ้านเรา และเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นประเมินว่า SET INDEX น่าจะผันผวน แต่ก็มี DOWNSIDE ที่จำกัด โดยวันนี้ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของ SET INDEX ที่ 1315 – 1330 จุดหุ้น TOP PICK เลือก BEM, CPN และ IVL
ความกังวลเศรษฐกิจซบเซา บวกตะวันออกกลางตรึงเครียดกดดันตลาดหุ้นผันผวน
วานนี้ตลาดหุ้นโลกพลิกกลับมาร่วงหนักอีกครั้ง โดยในฝั่งสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงราว-1.2% ถึง -2.3% ส่วนฝั่งยุโรปปิดตัวในแดนลบราว -1.0% ถึง -2.3% ขณะที่ปัจจัยเข้ามากดหลักๆ มาจากความกังวลเศรษฐกิจจีนและสหรัฐฯ ส่งสัญาณชะลอตัวสะท้อนจากตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ อาทิ
• ดัชนี PMI ภาคการผลิตจีนเดือน ก.ค.67 ปรับตัวลดลง สู่49.8 จุด ซึ่งต่ำกว่าคาด และร่วงลงมาอยู่ในโซนหดตัว (PMI < 50) ครั้งแรกในรอบ 8 เดือน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ DEMAND ภายในประเทศอ่อนแอ และต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น
• ISM PMI ภาคการผลิตสหรัฐฯ เดือน ก.ค.67 ย่อตัวลงสู่ซึ่งป็นการหดตัว 4เดือนติดกันต่อเนื่อง และต่ำสุดในรอบ 8 เดือน จากผลกระทบของคำสั่งซื้อ
ใหม่รวมถึงการจ้างงานปรับตัวลง
• ตัวเลขผู้ขอสวสัดิการว่างงานสหรัฐฯ พุ่ง 249,00 ราย ซึ่งสูงกว่าคาดและทำระดับสูงสุดในรอบ 1 ปีซึ่งอาจเห็นภาพของจำนวนผู้ว่างงานเพิ่มขึ้น
เนื่องด้วยจีนและสหรัฐฯ เป็นประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ มีสัดส่วนการค้า 1 ใน 4 ของโลก ทำให้ความเสี่ยงทที่จะเกิด DEMAND ซบเซา หนุนให้นโยบายการเงินมีความผ่อนคลายมากขึ้น ด้านทิศทางดอกเบี้ยขาลงในสหรัฐฯ ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ สะท้อนจากBOND YIELD 10Y ย่อตัวลงต่อเนื่อง ล่าสุดหลุด 4%ท่ามกลางปัจจัยแวดล้อมต่างประเทศผันผวน แนะนำสะสมหุ้นกลุ่ม DOMESTICPLAY (CPALL BJC CRC BDMS) และหุ้นกลุ่มปันผลสูงหลบความผันผวน (SIRILH) รวมถึงธีม BOND YIELD ย่อตัวหนุนเงินบาทแข็งค่า (GULF BGRIM GPSC) และหุ้นรับวัฏจักรดอกเบี้ยขาลง (TIDLOR MTC)
นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น โดยล่าสุดอิหร่านประกาศโจมตีอิสราเอล เพื่อสางแค้นให้แกนนำฮามาส ซึ่งผลที่ตามมาอาจเพิ่มความกังวล SUPPLY ลดลง และส่งผลให้ราคาน้ำมันขยับสูงขึ้น มองเป็นSENTIMENT เชิงบวกต่อหุ้นอิงราคาน้ำมัน อาทิ BCP TOP PTTEPสรุป ภาพรวมตลาดหุ้นโลก ได้รับแรงกดดันหลักๆ จากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัว ในช่วงทิศทางดอกเบี้ยชัดเจนขึ้น ทำให้ตลาดการเงินเพิ่มน้ำหนักกับความกังวลเศรษฐกิจซบเซา นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้นการเมืองไทย รอความชัดเจนในเดือนนี้ คาดเป็นตัวกำหนด
ทิศทาง FUND FLOW
กระบวนการพิจารณาคดีทางการเมือง กรณีที่มีผลต่อเสถียรภาพรัฐบาลอย่างประเด็น 40 ส.ว.ยื่นถอดถอน นายกฯ เศรษฐา และประเด็นยุบพรรคก้าวไกล เริ่ม
เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วง พ.ค.67 ทำให้FLOW ต่างชาติทยอยไหลออกจากหุ้นไทยตั้งแต่นั้นมาโดยเดือน พ.ค.67 และ มิ.ย.67 FLOW ต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 1.6 หมื่นล้านบาท และ3.5 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ และสร้างแรงกดดดันต่อ SET INDEX 5% หรือ ราว 60จุด ในช่วงเวลาเดียวกัน
อย่างไรก็ตามในช่วงเดือน ส.ค. 67 จะมีความคืบหน้าที่ชัดเจนขึ้น หรือทราบผลการวินิจฉัย ซึ่งน่าจะลดระดับความกังวลทางการเมืองลงไปได้บ้างไม่มากก็น้อย ซึ่งมีความคืบหน้าและรายละเอียด ดังนี้
• คดียุบพรรคก้าวไกล ศาล รธน.นัดฟังคำวินิจฉัย วันที่ 7 ส.ค.67 เวลา 15.30น.
• คดีถอดถอนเศรษฐา จากตำแหน่งนายกฯ ศาล รธน.นัดฟังคำวินิจฉัย วันที่14 ส.ค.67 เวลา 15.00 น.
ซึ่งประเด็นแรก หากศาลนัดฟังคำวินิจฉัยแล้ว ยุบพรรคก้าวไกล สส.ภายในพรรคสามารถย้ายพรรคได้ภายใน 60 วัน ซึ่งมองว่าอาจทำให้เสียงของพรรคฝ่ายค้านลดลง แต่หากไม่ถูกสั่งให้ยุบพรรค ท่าทีของพรรคฝ่ายค้านทางสภาฯ ก็น่าจะดูร้อนแรงและแข็งแกร่งมากขึ้น
ส่วนประเด็นสอง หากศาลนัดฟังคำวินิจฉัยแล้ว นายกฯ ถูกถอดถอน ตลาดหุ้นน่าจะถูกตีความในเชิงลบ เพราะ ครม.ในปัจจุบัน จะพ้นสภาพไปด้วย และต้องมีการโหวตเลือกนายกใหม่ และอาจนำไปสู่มาตการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆที่เตรียมไว้ ต้องชะลอออกไปเช่นกัน ซึ่งอาจส่งผลให้ GDP GROWTH บ้านเรา ชะลอตัวลงในบางภาคส่วนอย่างไรก็ตามหากการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ใช้เวลาไม่นาน และได้มาซึ่งรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ ผลกระทบก็น่าจะเกิดขึ้นเพียงระยะเวลาสั้นๆแต่ถ้านายกฯ ไม่ถูกถอดถอน การดำเนินนโยบายต่างๆ ยังเป็นไปตามกระบวนการตามปกติ และตลาดหุ้นน่าจะตอบสนองในเชิงบวก
สรุป ประเด็นความไม่แน่นอนทางการเมืองไทยยังต้องติดตามต่อ ซึ่งจะรู้ผลลัพธ์ในเดือนหน้า ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดทิศทางตลาดหุ้นไทยที่แท้จริง ซึ่งในช่วงเวลาก่อนรู้ผล(ปัจจุบัน) น่าจะกดดันให้ตลาดหุ้นไทยผันผวนในกรอบแคบ อย่างไรก็ตามฝ่ายวิจัยฯคาดว่าตลาดหุ้นไทยจะผันผวนไม่มากนัก เนื่องจากมีมาตรการ ตลท.มาช่วยพยุงอาทิ UPTICK RULE และการกำกับหุ้นที่สามารถ SHORT SALE ซึ่งไม่เหมือน 2เดือนที่ผ่านมา
Research Division
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม, CISA
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน และทางเทคนิค
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์