Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.กรุงศรี พัฒนสิน : KSS Daily Strategy

699

 


"Earnings Plays"

 

KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "อยู่ในช่วงสร้างฐาน" ต้าน 1305/1310 จุด รับ 1290/1285 จุด ดัชนี S&P500 ปรับลง -2.3% กดดันหลักจากหุ้น TESLA -12% กำไรแย่กว่าคาด แม้ตลาดรับรู้ตั้งแต่เช้าวานนี้ และเป็นปัจจัยเฉพาะของอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันด้านราคา แต่ทำให้เกิดแรงขายหุ้นกลุ่มเทคฯที่ High Valuation ไปด้วย อย่างไรก็ดี เช้าวันนี้ IBM รายงานกำไร และให้ Outlook ดีกว่าคาด หนุน Dow Jones Futures ฟื้นตัว ส่วนเศรษฐกิจผสมผสาน ส่วนที่ดีกว่าคาด คือ สต๊อคน้ำมันลดลง และ PMI ภาคบริการดี แต่ยอดขายบ้านใหม่ และ PMI ภาคผลิต ชะลอลง บ่งชี้เศรษฐกิจสหรัฐ "Soft Landing" วันนี้ตลาดจะรอ US GDP 2Q24 ตลาดคาด +1.8%q-q vs prev. +1.4%q-q ส่วนราคาน้ำมันรีบาวน์ครั้งแรกใน 3 วัน น่าจะทำให้กลุ่มพลังงานต้นน้ำ (11% ของมูลค่าตลาด) ประคอง SET ภายใน นโยบาย Digital Wallet ชี้แจงกรอบเวลาและรายละเอียดเพิ่มขึ้น สะท้อนนโยบายรัฐฯเดินหน้า ทำให้ SET น่าจะยังคงแกว่งตัวสร้างฐานต่อ หุ้นนำ คือ กลุ่มได้ Digital Wallet หนุน และกลุ่มคาดกำไร 2Q24 จะดี MINT, CPALL, ICHI วันนี้แนะนำ MINT, GFPT, MOSHI เด่น

 

 

Daily outlook: "อยู่ในช่วงการสร้างฐาน" ต้าน 1305/1310 จุด รับ 1290/1285 จุด

What happened around the world ?

•(*/-) US Stocks : ตลาดหุ้นสหรัฐปรับลงแรง หลักๆมาจากหุ้น Tech เป็นการขายลดความเสี่ยงก่อนรายงานกำไร 2Q24 หลังกำไร TESLA ออกมาต่ำกว่าคาด และ จากการเลือกตั้งสหรัฐที่ไม่แน่นอนหลังตลาดให้โอกาส Kamala Harris มีโอกาสเพิ่มและสูสี Trump และ PMI สหรัฐผลิตออกมาต่ำ 50 จุด การเคลื่อนไหวรายดัชนี Dow Jones -1.25%d-d, S&P500 -2.3%, Nasdaq -3.6% โดยดัชนี S&P Sector ปรับขึ้นมีเพียง Utilities, Health care, Energy, Consumer staples, Sector ที่ปรับลงหลักๆคือ IT, Consumer discretionary, ICT ฯลฯ โดยหุ้นที่เคลื่อนไหวเด่น Tesla –12.3%รับรายงานกำไรหลังตลาดปิดออกมาต่ำคาด และต่ำคาด 4 ไตรมาสติด กลุ่มชิปปรับลงยกแผง Broadcom -7.6% NVIDIA -6.8%, AMD -6.1% ฯลฯ

•(*) US Earning : บริษัทจดทะเบียนใน S&P 500 รายงานงบ 2Q24 เพิ่มขึ้นอีก 42 บริษัทออกมาล่าสุดที่ 155 บริษัทจาก 500 บริษัทยอดขายและกำไรรวมดีกว่าคาด 1.01% (จากวันก่อนหน้าที่ 0.8%), และ 4.22% ( prev. 4.8%) ตามเดิม ส่วนอัตราการเติบโตกำไรและยอดขาย 7.5% (7.9%) และ 4.12% (3.55%)

•(*/+) Fed Speaks : คุณ William Dudley อดีตประธาน Fed สาขาNew York (Non voter)ให้สัมภาษณ์โทนเรียกร้องให้ Fed ลดอัตราดอกเบี้ยตั้งแต่การประชุม Fed สัปดาห์หน้า หนุนมุมมองดอกเบี้ยสหรัฐเป็นขาลง บวกต่อสินทรัพย์เสี่ยง

•(*) US Econ : ตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อออกมาผสมผสานกัน 1.) PMI ภาคการผลิต โดยสถาบัน S&P เดือน ก.ค. พลิกลดลงต่ำกว่า 50 จุดอยู่ที่ 49.5 จุด ลดลงต่ำกว่า 50 จุดครั้งแรกตั้งแต่ ธ.ค.23 2.) PMI บริการ ก.ค. 56 จุดสูงสุดในรอบ 2 ปี 4 เดือน KSS ยังคงมุมมองเศรษฐกิจเป็น Softlanding ทำให้ยังคงมุมมองดอกเบี้ยขาลงหนุนโอกาสลดดอกเบี้ยลง 3 ครั้งในปีนี้ คาดเป็นจิตวิทยาบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยง และหุ้น High growth หุ้นชิ้นส่วน กลุ่มการเงิน และ โรงไฟฟ้า

• (*/+) NH Hotel & MINT : NH Hotel (MINT ถือหุ้น 96%) และคิดเป็นสัดส่วนรายได้ 70% ของ MINT รายงานผลประกอบการ 2Q24 สร้างสถิติใหม่ที่ 93 ล้านยูโร (+15% yoy, พลิกจากขาดทุน qoq) ตามการเติบโตของรายได้ +12%yoy จากการเข้าสู่ช่วง high season ในยุโรปและ event ต่างๆ ที่จัดขึ้น ที่คาดจะดัน RevPar KSS ประเมิน จะส่งผลบวกต่อผลประกอบการของ MINT ใน 2Q24F ที่คาดจะสร้างสถิติสูงสุดใหม่เช่นกันยังคงคำแนะนำ "ซื้อ"

• (*/+) S. Korea Export : เกาหลีใต้รายงานตัวเลขยอดส่งออกเบื้องต้น 20 วันแรก +18.8%y-y สูงกว่าคาดและสูงสุดในรอบ 26 เดือน นำโดยการเติบโตของการส่งออกสินค้ากลุ่มชิ้นส่วน Semiconductors เติบโตระดับ 57.5%y-y และสินค้ากลุ่มปิโตรเติบโต +28.4%y-y KSS มองแนวโน้มการเร่งขึ้นของการส่งออกสินค้ากลุ่ม Semiconductor ดังกล่าวสอดคล้องกับทิศทางการเติบโตเร่งของยอดส่งออกสินค้า ICT รายเดือนของเกาหลีใต้และไต้หวัน มองเป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มชิ้นส่วน แนะนำ KCE (Buy, TP @ 52) ได้รับประโยชน์จากทั้งแนวโน้มการขายรถยนต์ใหม่ในสหภาพยุโรปที่เร่งขึ้นในเดือน มิ.ย. ระดับ +4.3%y-y สูงสุดนับตั้งแต่ ก.ค. 2019 และยอดส่งออก IC ของจีนงวด 2Q24 เด่น และได้รับผลกระทบจาก Tech-War จำกัด

•(*/+)Chicken : ราคาขายส่งของตีนไก่ +10% นับตั้งแต่ปลายสัปดาห์ที่แล้วหลังบราซิลสั่งห้ามส่งออกไก่ไปจีนเนื่องจากเกิดโรคไข้หวัดนก (ปี 2023 จีนนำเข้าตีนไก่มูลค่าราว 2.3 พันล้านดอลลาร์ราว 40% มาจากบราซิล) KSS มองคาดทำให้มีแนวโน้มราคาไก่ในจีนสูง และมีการนำเข้าตีนไก่และเนื้อไก่จากไทยมองเป็นบวกต่อหุ้นส่งออกไก่ไทย อาทิ GFPT

• (*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐปรับลง อายุ 2 ปี เร่งขึ้นปรับลง -6 bps ที่ 4.43% และอายุ 10 ปี ปรับขึ้น +4 bps ปิด 4.29% ส่วน Dollar Index ระยะสั้นแกว่งตัวออกข้าง 104.0 จุด

• (*) To monitor : ฝั่งสหรัฐ 25 ก.ค. Annualzied GDP 2Q24 คาด +1.8%q-q vs +1.4%q-q 26 ก.ค. รายได้และค่าใช้จ่ายภาคครัวเรือน คาด +0.4%m-m, +0.2%m-m vs prev. +0.5%m-m, +0.2%m-m และ PCE เดือน มิ.ย.24

•(*/+) Oil : ราคาน้ำมันดิบ Rebound หลังจากปรับลงต่อเนื่องช่วงต้นสัปดาห์ Brent +0.86%d-d ปิดที่ US$ 81.71/barrel น้ำมันดิบ West Texas +0.82%d-d ปิดที่ US$ 77.59/barrel แรงหนุนระยะสั้น คือ Supply ในสหรัฐลดลงรับ EIA รายงานสต๊อกน้ำมันลดลง 3.7 ล้านบาร์เรล มากกว่าตลาดคาดลดลง 1.6 ล้านบาร์เรล โดยรวมมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อ SET Index และหุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำ อาทิ PTT, PTTEP

 

What happened in Thailand ?

• (*) SET: ตลาดหุ้นวานนี้แกว่งตัวก่อนปิด -3.46 จุด หรือ -0.27% ปิดที่ 1298 จุด มูลค่าการซื้อขายเบาบาง 2.95 หมื่นล้านบาท กลุ่มถ่วง คือ กลุ่มพลังงาน (PTT, PTTEP) ตามราคาน้ำมันโลกที่ทำจุดต่ำสุดในรอบ 1 เดือน กลุ่มธนาคาร (BBL, KBANK, TTB) มองปกคลุมด้วยความกังวลต่อแนวโน้มคุณภาพสินทรัพย์ กลุ่มหนุน คือ กลุ่มอาหาร+เครื่องดื่ม (CBG, OSP, SAPPE) จากแรงหนุนราคาน้ำมันปรับตัวลดลงต่ำสุดในรอบ 1 เดือน ผสาน ราคาน้ำตาลปรับลงต่อเนื่อง เป็นบวกต่อแนวโน้มต้นทุน กลุ่มท่องเที่ยว (MINT) NH Hotel (ถือหุ้น 96% สร้างรายได้ให้ MINT ราว 70% ของรายได้รวม) ทำกำไร 2Q24 ทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 93 ล้านยูโร จากแรงหนุนงาน Events ใหญ่ที่ทยอยจัดในยุโรป

• (+) Flow : กระแสเงินทุนวานนี้เป็นภาพไหลเข้า ซื้อหุ้น +10.7 ล้านเหรียญฯ ซื้อพันธบัตร +234.5 ล้านเหรียญฯ TFEX เป็นสถานะ Net Short สุทธิราว -12,103 สัญญา เงินบาทเคลื่อนไหวแข็งค่า36.13 +/- บาท

• (*/+) Digital Wallet : รัฐบาลแถลงรายละเอียดนโยบาย Digital Wallet มีความชัดเจนมากขึ้นใน

1.) กรอบเวลาลงทะเบียนรับสิทธิ์ของประชาชนและร้านค้า ประชาชน (มีสมาร์ทโฟน) 1 ส.ค. -15 ก.ย. กลุ่มไม่มีสมาร์ทโฟน 16 ก.ย. -15 ต.ค. (แจ้งได้สิทธิ์หรือไม่ 22 ก.ย. เป็นต้นไป) ผ่าน Application "ทางรัฐฯ" ส่วนร้านค้าเริ่มลงทะเบียน 1 ต.ค. โดยการใช้สิทธิ์จะเริ่มมีผลตั้งแต่ช่วง 4Q24

2.) มีการชี้แจงข้อสงสัยช่วงถาม – ตอบ ในหลายๆประเด็นที่มีข้อกังวลช่วงก่อนแถลง อาทิ

-กำลังให้บริการระบบลงทะเบียน กรณีลงทะเบียนพร้อมกันอาจมีความล่าช้าได้บ้าง แต่ระยะเวลาที่เปิดลงทะเบียน 1.5 เดือนมองเพียงพอ

-ความเสถียรและความปลอดภัยระบบชำระเงิน BOT จะใช้เวลา 15 วันที่เข้ามาช่วยดู

-ระบบป้องกันการทุจริต มีการชี้แจงว่าสามารถตรวจสอบได้ว่าเงินส่งไปถึงประชาชนรายใด, มีการตัดสิทธิ์ผู้ที่ใช้สิทธิ์นโยบายรัฐฯในอดีตไม่ถูกต้อง การขายลดเงินดิจิทัลเป็นเงินสด มองไม่คุ้มค่า เนื่องจาก 1 เงินบาทดิจิทัล แลกได้เท่ากับ 1 บาทจริง, ระบบที่รองรับ คือ Blockchain ซึ่งธุรกรรมการแลกเปลี่ยนจะมีการบันทึกไว้ทั้งหมดและจะมี Flag ขึ้นกลุ่มที่มีธุรกรรมผิดปกติทันที

-งบประมาณส่วนเพิ่มปี 2024 (2567) จะขยับไปใช้ช่วงที่มีมาตรการปีปฏิทิน 4Q24 ซึ่งจะเป็นช่วง คือ ยืนยันกลไกทางงบประมาณดำเนินการได้ ถ้าเงื่อนไขการสร้างความผูกพันงบประมาณ (ประชาชนเสนอใช้บริการผ่านการลงทะเบียน และรัฐบาลมีแนวทางสนอง)

เราประเมินกรอบเวลาที่มีความชัดเจนมากขึ้น ผสาน เรามองในช่วงถาม - ตอบ มีจุดสร้างความเชื่อมั่นได้ อาทิ การที่มี BOT ช่วยตรวจสอบระบบชำระเงิน, การชี้แจงระบบป้องกันทุจริต และแนวทางการใช้งบประมาณส่วนเพิ่มปี 2024 ในปีงบถัดไป เราเชื่อว่าตลาดมีโอกาสค่อยๆกลับมาตอบรับทางบวกต่อหุ้น Domestic ที่ได้ประโยชน์ โดยประเด็นที่รอความชัดเจน เรามองการชี้แจงแนวทางที่มาเงินส่วนหนึ่งจะมาจากการบริหารจัดการงบประมาณประจำปี 2025 (2568) สูงราว 1.32 แสนล้านบาท และการพัฒนาระบบชำระเงินว่าจะทันตามกำหนดหรือไม่ ระยะสั้นเน้น กลุ่มค้าปลีก เครื่องดื่ม CPALL, CPAXT, BJC, CBG, ICHI, OSP (ตั้งรับ)

• (*) TH Politic: ศาล รัฐธรรมนูญนัดฟังคำวินิจฉัยคดีคุณสมบัตินายกฯ "เศรษฐา" 14 ส.ค. มองจิตวิทยาบวกอ่อนๆ ในด้านกรอบเวลาข้อสรุปการเมืองที่ใกล้มีความชัดเจนมากขึ้น

• (*) Short Sales: หลังจากมาตรการ Uptick Rule ตั้งแต่ 1 ก.ค. วานนี้ในส่วนจำนวนหุ้นที่มียอด Short คงค้างอยู่ที่ 403 บริษัท (vs วันทำการล่าสุด 403 บริษัท) พบว่าส่วนใหญ่ยอด Short เท่าเดิม +สัดส่วนกลุ่มถูก Short ลดลง มีจำนวนเพิ่มขึ้น โดยมีรายละเอียดดังนี้ โดยกลุ่มที่ลดลงจากวันทำการก่อนหน้าเพิ่มขึ้นเป็น 46 บริษัท (วันทำการล่าสุด 117 บริษัท) หุ้นที่ Short เท่าเดิมอยู่ที่ 260 บริษัท (วันทำการล่าสุด 215 บริษัท) ส่วนหุ้นที่ Short เพิ่มขึ้นมี 95 บริษัท (วันทำการล่าสุด 66 บริษัท)

• (*) To Monitor: สัปดาห์นี้ติดตาม 1.) 26 ก.ค. ศาลปกครองสูงสุดนัดอ่านคำพิพากษาคดี BTSC ฟ้อง กทม. เกี่ยวับการชำระเงินค่าเดินรถและซ่อมบำรุงส่วนต่อขยายสายสีเขียว 2.) 26 ส.ค. ติดตามรายงานยอดนำเข้า - ส่งออก มิ.ย. 24 ตลาดคาดส่งออก 2.0%y-y vs prev. 7.2%y-y ยอดนำเข้า ตลาดคาด 3.0%y-y vs prev. 1.7%y-y 3.) รายงานกำไร Real Sector ที่มีกำหนดรายงานสัปดาห์นี้ อาทิ GLOBAL, DELTA และ 4.) การทยอย Preview กำไรงวด 2Q24F กลุ่ม Real Sector จะออกมาเพิ่มขึ้น มองกลุ่มกำไรเด่น y-y, q-q อาทิ สื่อสาร (ADVANC, TRUE) ค้าปลีก (CPALL, CPAXT) เครื่องดื่ม (ICHI, OSP, SAPPE) ชิ้นส่วน (KCE) เกษตร (GFPT, CPF) ท่องเที่ยว (MINT) โรงไฟฟ้า (CKP, GULF, GPSC) ความงาม (MASTER, KLINIQ)

 

 

Daily Strategy : MINT, GFPT, MOSHI เด่น

ระยะสั้น วันนี้มองภาพตลาด "อยู่ในช่วงของการสร้างฐาน" หุ้นสหรัฐปรับตัวลดลง สะท้อนการลดความเสี่ยงก่อนรายงานกำไร 2Q24 หลัง TESLA รายงานกำไรต่ำกว่าคาด แต่เป็นปัจจัยเฉพาะตัว ขณะที่รายงานเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผสมผสานไม่อ่อนตัวลงเร็ว หนุนราคาน้ำมันรีบาวน์ มองช่วยประคอง SET สร้างฐาน ส่วนภายในหลังตลาดปรับฐานต่อเนื่อง ปัจจุบันมี Equity Risk Premium ทั้ง Current และ Forward ใกล้ระดับ +1 S.D. มอง SET อยู่ในช่วงสร้างฐาน 1) กลุ่ม Domestic ได้ประโยชน์นโยบาย Digital Wallet มีความชัดเจนมากขึ้น อาทิ CPALL, CPAXT 3) กลุ่มคาดกำไร 2Q24F จะดี อาทิ MINT, GFPT, CPALL, ADVANC, TRUE

 

หุ้นได้ประโยชน์ภาคผลิตโลกผ่านจุดต่ำสุด + เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวหนุนอุตสาหกรรมทยอยเข้าสู่ Upgrade Cycle (HANA, KCE)
กลุ่มภาคผลิตไทย PMI ภาคผลิตไทยอยู่ในระดับขยายตัวต่อเนื่อง 2 เดือนหนุน (GFPT, TU, CBG, OSP )
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรการท่องเที่ยวชุดใหญ่ของรัฐฯ หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (CPALL, OSP, AOT, MINT, ERW)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, GPSC, CPALL, TRUE, MINT, MTC, MOSHI)
กลุ่มได้ประโยชน์ Microsoft ลงทุน Data Center ในไทย (ADVANC, TRUE, INSET, GULF, WHA)

• JULY24 Best Picks: TRUE, CPAXT, GULF, KCE, WHA, MINT, OSP

• 3Q24Stock Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP

 

Tactical & Investment Idea

 

Research Highlight

 

• MSCI Rebalance: ดัชนี MSCI มีกำหนดการประกาศผลการ Rebalance รอบใหม่วันที่ 12 ส.ค. (ไทยทราบผลเช้า 13 ส.ค.) โดยการ Rebalance จะมีผล 30 ส.ค. เบื้องต้นเราคาดหุ้นที่มีความเสี่ยงสูงหลุดออกจากดัชนี ได้แก่ AWC GPSC EA เสี่ยงระดับกลาง คือ IVL เสี่ยงต่ำ คือ KTC ระยะสั้นมีโอกาสหุ้นชุดดังกล่าวจะมีโอกาสเคลื่อนไหว Underperform เชิงกลยุทธ์ให้เลี่ยงลงทุนไปก่อน

Strategy Update : เลือกตั้งสหรัฐ สร้างความไม่แน่นอน แต่เป็นโอกาสระยะสั้น-กลางของเอเชียและไทย

การเลือกตั้งสหรัฐ 5 พ.ย.24 ตลาดเริ่มให้น้ำหนักมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังคุณ Kamara Harris สลับมาเป็นตัวแทนผู้สมัครรับเลือกตั้งปธน. แทนคุณ Biden ที่ถอนตัวออกไป ทำให้ผลคะแนนเดิมที่คุณ Biden ถูกคุณ Trump ทิ้งห่างกลับมาสูสีมากขึ้น อย่างไรก็ดีด้วยระดับคะแนนปัจจุบันโอกาสที่ Trump จะเป็นประธานาธิบดียังเหนือกว่า และนโยบายทั้งสองพรรคเหมือนกัน ในส่วนการทำสงครามการค้า (Trade War) สงครามเทคโนโลยี (Tech War) กับจีน ทำให้ตลาดมีความกังวลต่อความเสี่ยงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นคล้ายกับสมัยคุณ Trump ดำรงตำแหน่งครั้งแรกปี 2017-21

อิงผลการศึกษา Krungsri Research ประเมิน หากมีการยกระดับ Tariff ขึ้นราว 25% จากปัจจุบัน 1.) คาดกระทบยอดส่งออกจีน -5.76% และสหรัฐฯ -3.26% แต่จะบวกต่ออาเซียน และกลุ่มประเทศกำลังพัฒนารวมถึงไทย และ 2.) KSS ประเมินผลกระทบจะไม่สูงเท่ารอบปี 2018-19 เพราะภาพ Supply Chain ของโลกมีความเปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่ช่วงคุณ Trump ดำรงตำแหน่งสมัยแรก อิงสัดส่วนการส่งออกสินค้าจีนไปยังกลุ่มประเทศ Belt and Road ที่ปัจจุบันสูง 46% จากระดับต่ำราว 26% ในปี 2006 รวมถึงสัดส่วนการส่งออกจีนไปยังประเทศพัฒนาแล้วเหลือ 22% จากปี 2006 ที่ 50% 3.) คาดกรณีดังกล่าวจะส่งผลบวกต่อไทย GDP +0.04% และส่งออก +0.87%

ส่วนผลกระทบตลาดหุ้นสหรัฐ และ SET Index ก่อนและหลังการเลือกตั้ง จากการศึกษา KSS ในอดีต พบว่า ในการเลือกตั้งประธานาธิบดี 5 ครั้งหลังสุด ดัชนี S&P 500 มักปรับตัวผันผวนก่อนการเลือกตั้ง ก่อนจะปรับตัวขึ้นหลังการเลือกตั้ง ส่วนปี 2024 KSS ประเมินมีโอกาสอาจจะเห็นภาพ Fund Flows สลับยังมา ไทย SET Index -6.8%นับตั้งแต่ต้นปี(ytd) และ Valuation จูงใจ และมีโอกาสที่ Upside เพิ่มจากการที่ดอกเบี้ยไทยคาดมีโอกาสที่ กนง. อาจจะพิจารณากลับมาเดินหน้าลดดอกเบี้ย ลงอย่างน้อย 1 ครั้งๆ ราว 25 bps ทำให้โดยรวม KSS ยังคงมุมมองบวกต่อแนวโน้ม SET Index ช่วง 3Q24 ปรับขึ้น วางดัชนีเป้าหมายสิ้นปี 2024 ที่ 1,540 จุด กลยุทธ์การลงทุนยังให้เน้นลงทุนในหุ้น Theme US Election แนวนโยบายที่จะยังคงอยู่คือการเดินหน้าสงครามการค้าและเทคโนโลยีกับจีน ผสาน กระแส FDI เข้าไทยที่ดีช่วงหลัง ทำให้ยังคงมุมมองบวกต่อหุ้นกลุ่มนิคม เน้น WHA และกลุ่มส่งออกอาหาร ชิ้นส่วน คาดได้จิตวิทยาบวกเช่นกัน อาหาร CPF, GFPT, TU ชิ้นส่วน KCE, HANA

• Strategy Update : ThaiESG 2024 ต่อ SET Index

รัฐบาลมีแผนปรับเงื่อนไขสิทธิประโยชน์จากกองทุนลดหย่อนภาษี ThaiESG ใหม่ โดยปรับเงื่อนไขให้สิทธิซื้อเพิ่มลดหย่อนภาษีได้เพิ่มขึ้นทั้งเม็ดเงิน และสัดส่วนเทียบกับฐานรายได้ ผสาน ระยะเวลาลงทุนสั้นลง KSS คาดว่าฐานเม็ดเงินที่เข้าสู่กองทุน ThaiESG รอบนี้ จะสูงราว 7.8 หมื่นล้านบาทต่อปี ขณะที่ SET ณ ปัจจุบัน ยังอยู่ใน Value Zone น่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนเชิงบวกตลาดหุ้นไทยนับจากนี้.

เชิงกลยุทธ์ : โดยรวม KSS ประเมินเป็น "บวก" ต่อตลาดหุ้นไทยคล้ายสมัยมาตรการลดหย่อนภาษีผ่านกองทุน LTF ในอดีต เนื่องจากเป็นการเสริมสภาพคล่องของเงินลงทุนระยะยาวในประเทศให้กลับมาแข็งแรงขึ้น กลยุทธ์แนะลงทุนในหุ้นใน SETESG ที่มีคุณสมบัติราคาลงแรงกว่า SET -6.6%YTD ได้แก่ BTS SCC, CRC, IVL, PTTGC, CPN, BBL, HMPRO และกลุ่มที่มีน้ำหนัก (Weight) ใน ESG สูง ได้แก่ GULF AOT, MTC, CPALL, GPSC

• Strategy Update : Time to Invest

ทีมกลยุทธ์ออกรายงาน Strategy Update "Time to invest" มอง SET Index โซนปัจจุบันให้ Current ERP ที่ 3.6% เป็นโซนลงทุน และมองใกล้ระดับจุดกลับตัว มองหุ้นน่าลงทุน 1) กลุ่มให้ Dividend สูง 2) กลุ่มที่ Underperform และมีส่วนลดทางพื้นฐานสูง

Key Ideas:

• SET Index ในปี 2024 ยัง "Underperform" ตลาดหุ้นโลกต่อเนื่องจากปี 2023 โดย YTD ปรับตัวลดลง -8.6% โดยการปรับตัวลดลงเร่งขึ้นในระยะหลังจากปัญหาความไม่ชัดเจนการเมือง

• อิงกลไก Equity Risk Premium (ERP) คือ ส่วนต่างผลตอบแทนระหว่าง Earnings Yield และ Bond Yield อิงระดับ Current EPS ปัจจุบันที่ราว 83 บาทต่อหุ้น และ Forward EPS ที่ 92 บาท ที่ระดับ Index โซน 1350-1300 จุด ถือเป็นจุดน่าสนใจสำหรับการวางสถานะลงทุนระยะกลาง-ยาว อิงระดับดัชนีปัจจุบัน Current และ Forward ERP นั้นสูงในระดับ 3.6%-4.22% สูงกว่า Avg 3.09% ขณะที่หาก Current ERP สูงเกินกว่าระดับ + 1 S.D. (4.09%) vs ปัจจุบันอยู่ที่ 3.6% ใกล้ระดับ +1 S.D. ที่เป็นจุดกลับตัวของตลาด

 

• จากการศึกษา Back test ย้อนหลัง 20 ปี พบว่า Current ERP แตะระดับดังกล่าว 7 ครั้งในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา พบว่า SET จะกลับมาให้ผลตอบแทนเป็นบวกเฉลี่ยทุกครั้งในระยะกลาง กล่าวคือ จากนั้น 3 เดือน 6 เดือน 9 เดือน และ 1 ปี SET ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 0.7%, 4.4% 9.9% และ 20.6% ด้วยความน่าจะเป็น 57%, 43%, 72% และ 86% ตามลำดับ

• มุมมองเม็ดเงินลงทุนระยะสั้นนักลงทุนต่างชาติ รอบล่าสุดที่เข้ามาคือ เริ่มตั้งแต่ช่วง เม.ย. 21 ซึ่งซื้อสะสมรวมถึงจุดสูงสุดช่วงราว มี.ค. 23 ด้วยเม็ดเงินรวม 2.85 แสนล้านบาท ขณะที่หลังจากนั้นเป็นการขายต่อเนื่องถึงปัจจุบัน นับถึงวานนี้ พบว่า เม็ดเงินดังกล่าวไหลออกจาก SET ไปกว่า 3แสนล้านบาทแล้ว บ่งชี้แรงขาย ของนักลงทุนต่างชาติจากจุดนี้น่าจะลดลงเป็นลำดับ

• มาตรการ Uptick ใกล้มีผล เดือน กค 2024 น่าจะลดความผันผวนฝั่ง "Short Sell" ได้บ้าง

กลยุทธ์ คำแนะนำสำหรับผู้ลงทุนระยะกลาง-ยาว ทยอยสะสมหุ้นในจุดที่มี Margin of Safety สูง ใน 2 Theme เด่น

1.) Dividend Plays ที่ธุรกิจมีความมั่นคง ให้ผลตอบแทน Div. Yield มากกว่าปีละ 4% (vs Policy Rate 2.5%) ได้แก่ SCB AP ICHI PTT BBL INTUCH ADVANC HMPRO BJC WHA TU

2.) หุ้นในกลุ่มที่ Underperform กว่าตลาด (SET YTD ปรับตัวลดลง -8.6%) แต่พื้นฐานระยะกลาง-ยาวยังแข็งแกร่ง Valuation มีส่วนลด PBV24F ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย >20% ได้แก่ BTS IVL LH HMPRO KCE PTTGC GPSC HANA GULF

 

 


• MINT (Buy, TP42): We reiterate our BUY with a target price of Bt42 on i) record high core profit in 2Q24F that driven by strong recovery in Europe and Thailand ii) 2H24F profit would improve yoy driven by favorable season for hotel business and deleverage debt, Our FY24F profit is intact at Bt8.7bn (+62% yoy). A correction in the share price presents an opportunity to accumulate MINT to capture strong earnings ahead. Valuation is attractive at 8x 2024 EV/EBITDA vs 12x for peers. Maintain BUY rating.

• PTG (Trading Buy, TP10.1): มอง Positive ต่อกำไรสุทธิ 2Q24F ของ PTG ที่ 422 ลบ. (+281% y-y, +64% q-q) สูงสุดในปี และโตสูงทั้ง y-y q-q หนุนจากทั้งธุรกิจ Oil ที่ Brand ปั๊ม PT เจาะตลาดได้ต่อเนื่องสะท้อนผ่านการเพิ่มสาขาไปพร้อมๆกับเพิ่มยอดขายต่อสาขา ส่งให้ปริมาณขาย +11% y-y, flat q-q และการผ่อนคุมราคาดีเซลของรัฐ ส่งให้ค่าการตลาดน้ำมัน +8% y-y, +10% q-q นอกจากนี้ Non-oil เติบโตต่อเนื่องตามการขยายสาขา ทั้งนี้เราปรับเพิ่มกำไร 2024-26F 1-3% สะท้อนปัจจัยบวกข้างต้น และปรับ TP24F เป็น 10.1 บาท/หุ้น (เดิม 10.0) คงคำแนะนำ Trading Buy โดยรอดูความชัดเจนของกฏหมายโครงสร้างราคาน้ำมันใน 4Q (หากไม่ได้แทรกแซงหนัก) ค่อยเข้าเก็งกำไรการฟื้นตัวใน 2025F

• SCC (Trading Buy, TP290): มอง Neutral ต่อกำไรสุทธิ 2Q24 ที่ 3,708 ลบ. (-54% y-y, +53% q-q) ใกล้เคียงตลาดคาด การฟื้น q-q เพราะ ธุรกิจปิโตรเคมีที่ปริมาณขายฟื้นตัว และอัตรากำไรฟื้น (เฉพาะ PVC) รวมถึงมีเงินปันผลหนุน มอง 2H24F จะเป็นภาพฟื้น y-y ต่อเนื่องตามการฟื้นของ demand หนุน ให้อัตรากำไรฟื้นทั้ง ธุรกิจซีเมนต์, ปิโตรเคมี และบรรจุภัณฑ์ สำหรับการลด q-q ใน 3Q24F เรามองไม่ได้น่ากังวลจากส่วนใหญ่มาจากปัจจัยฤดูกาล คงคำแนะนำ Trading Buy roll over ไปใช้ TP25F = 290 บาท/หุ้น คงมุมมองรอให้โครงการ LSP กลับมา COD ก่อน ค่อยเข้าเก็งกำไรการฟื้นใน 2025-26F ที่ oversupply น้อยลง และ LSP หนุนปริมาณขาย

• MOSHI (Buy, TP64): เรามีมุมมอง Slightly positive ต่อข้อมูลในการประชุมนักวิเคราะห์ แม้แนวโน้มผลประกอบการ 2Q24F ยังอ่อนแอ คาดกำไรสุทธิที่ 76 ลบ. (-8%y-y และ -39%q-q) สาเหตุจากรายได้ที่ลดลง และ SG&A to sales ที่สูงขึ้น แต่แนะนำให้มองข้ามกำไร 2Q24F ที่สะดุดจากปัญหาขาดแคลนสินค้าชั่วคราว ซึ่งปัจจุบันได้รับการแก้ไขและราคาหุ้นตอบรับไปมากแล้ว อีกทั้งบริษัทมีแนวทางที่ชัดเจนในการฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง โดยเราคงประมาณการกำไร 2024-26F และคงคำแนะนำ Buy ที่ TP24F เดิม 64 บาท อิง DCF โดยเรามอง MOSHI เป็นผู้นำกลุ่มสินค้าไลฟ์สไตล์ที่เติบโตเร็วกว่าตลาดค้าปลีกโดยรวม อีกทั้งมีแผนเชิงรุกในภาวะที่คู่แข่งยังชะลอ

 

3Q24F Equity Outlook : The strong get stronger, the weak get less weak

Stock Best Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA

Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

หมดข่าว เลิก By : นายกล้วยหอม

นายกล้วยหอม เห็น นักลงทุนต่างชาติ ขายหุ้นไทยออก วานนี้ หลังจาก สหรัฐกับจีน ตกลงการค้า จบด้วยดี.....

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้