Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.กรุงศรี พัฒนสิน : KSS Daily Strategy

587

 


"Anti-Commodities Plays"

 

KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "สร้างฐานเพื่อฟื้นตัว" ต้าน 1310/1315 จุด รับ 1296/1286 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐฯวานนี้ปรับลง ขณะที่ Futures เช้านี้ยังลดลงต่อ บจ. ที่รายงานกำไรวานนี้+After Hours ส่วนใหญ่ต่ำคาด อาทิ UPS, TESLA, VISA ขณะที่ทิศทางเศรษฐกิจยังไม่แน่นอน ยอดขายบ้านมือสอง ต่ำกว่าคาด -5.4%m-m ลง 4 เดือนติด ขณะที่ภาวะลงทุนโลกที่เข้าสู่วงจรดอกเบี้ยขาลง เชื่อ Fund Flows มีโอกาสขยับสู่ประเทศที่มีภาพฟื้นตัว ภายในแม้วันนี้มีภาพลบราคาน้ำมันปรับลงต่อต่อกลุ่มพลังงาน แต่เชื่อกลุ่ม Domestic ที่มีสัญญาณทางบวกจะประคอง อาทิ ท่องเที่ยว (นักท่องเที่ยว ก.ค. เร่งขึ้นทุกสัปดาห์ และยอดทั้งเดือนคาดใกล้ค่าเฉลี่ยรายเดือนฤดูกาล 1Q24) กลุ่มค้าปลีก เครื่องดื่ม ธนาคาร เช่าซื้อ (ครม.คงค่าไฟฟ้าปลายปี 4.18 บาท และวันนี้แถลงนโยบาย Digital Wallet) กลุ่ม Anti-Commodities (ราคาพลังงานปรับลง) ด้านการเมืองเชื่อว่าการพิจารณาคดีคุณสมบัตินายกยังไม่มีประเด็นลบเพิ่ม ขณะที่ SET กลับมาอยู่ในโซนลงทุน Current และ Forward ERP ที่ 3.83% และ 4.38% ใกล้ระดับ AVG. +1 S.D. มอง SET วันนี้สร้างฐานเพื่อฟื้นตัวได้ วันนี้แนะนำ BA, BJC, OSP เด่น

 

 

Daily outlook: "สร้างฐานเพื่อฟื้นตัว" ต้าน 1310/1315 จุด รับ 1296/1286 จุด

What happened around the world ?

•(*/-) US Stocks : ตลาดหุ้นสหรัฐปรับลงจากประเด็นหลายบริษัท Real Sector รายงานงบต่ำคาด อิง Dow Jones -0.14%d-d, S&P500 -0.16%, Nasdaq -0.05% โดยดัชนี S&P Sector ปรับขึ้นมีเพียง Materials, Financials, Consumer Discretionary Sector ที่ปรับลงหลักๆคือ Energy (Chevron -1.85% , Exxon -1.6%), Utilities, Consumer Staples ฯลฯ โดยหุ้นที่เคลื่อนไหวเด่น COMZ บริษัท ICT สหรัฐ ( -2.6%d-d ) รายงานรายได้ต่ำคาด และตัวเลขลูกค้าที่ใช้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงลดลง 1.2 แสนราย , UPS บริษัทรับส่งพัสดุภัณฑ์รายใหญ่ -12.1%d-d ต่ำสุดในรอบ 4 ปี รายงานงบต่ำคาด เนื่องจาก Demand การส่งพัสดุชะลอและต้นทุนแรงงานสูงขึ้น, GM บริษัทผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของสหรัฐ -6.4% แม้รายงานงบสูงกว่าคาด แต่ตลาดกังวล GM ขาดทุนอย่างต่อเนื่องในจีน ฯลฯ

•(*) US Earning : บริษัทจดทะเบียนใน S&P 500 รายงานงบ 2Q24 ออกมา 113 บริษัทจาก 500 บริษัทกำไรรวม และยอดขายรวมดีกว่าคาด 0.8%, และ 4.8% ส่วนอัตราการเติบโตกำไรและยอดขาย 7.9% และ 3.55% โดยหุ้นที่รายงานงบออกมาหลังตลาดปิดเด่นๆ คือ Alphabet กำไรออกมาดีกว่าคาด และรายได้ออกมาดีกว่าคาด โดยเฉพาะธุรกิจ Google Search, Google Cloud ทะลุหมื่นล้านเหรียญเป็นครั้งแรก , Tesla กำไรออกมาต่ำคาด และต่ำคาด 4 ไตรมาสติด และหุ้นหลังตลาดปิด -8% (มองจิตวิทยาลบต่อ KCE) ฯลฯ

•(*) Democat party : 1.)สมาชิกวุฒิสภาพรรค Repulican หลายท่านออกมาเรียกร้องให้มีการบังคับใช้บทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขครั้งที่ 25 เพื่อถอดถอน ปธน. Biden ออกจากตำแหน่ง 2.) Kamala Harris ได้รับเสียงการสนับสนุนจากผู้แทนพรรคมากกว่าจำนวนที่จำเป็นเกินกว่า 1,976 คน ในการได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้สมัครประธานาธิบดี ทำให้เป็นที่แน่ชัดว่าจะเป็น Candidate ชิงตำแหน่งประธานาธดิบดี VS. ทรัมป์ KSS แนะนำให้ติดตามนบายหาเสียงเพิ่มเติม โดยปัจจุบัน เน้น 1.)เพิ่มภาษี Corporate tax มองเป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นสหรัฐ แต่จะบวกต่อตลาดหุ้นในฝั่งเอเชีย 2.)หนุนพลังงานสะอาด มองบวกต่อกลุ่มโรงไฟฟ้า เน้น GULF

•(*) US Econ : 1.) ยอดขายบ้านมือสองในสหรัฐ เดือน มิ.ย. ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 -5.4%m-m 3.89 ล้านหลัง ต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2010 2.) ราคาบ้านมือสองเฉลี่ยยังคงสูงขึ้นเพิ่มขึ้น 4.1% อยู่ที่ $4.269 แสน KSS ประเมินราคาบ้านที่ยังสูงผสานกับความต้องการบ้านที่มีแนวโน้มลดลงต่อ มองเงินเฟ้อหมวด Shelter ที่ Fed ให้น้ำหนักมีแนวโน้มอ่อนตัวลงต่อ หนุนโอกาสลดดอกเบี้ยลง 3 ครั้งในปีนี้ คาดเป็นจิตวิทยาบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยง และหุ้น High growth หุ้นชิ้นส่วน กลุ่มการเงิน และ โรงไฟฟ้า

• (*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐแนวโน้มระยะสั้นชะลอการขึ้นอิง อายุ 2 ปี เร่งขึ้นปรับลง -1 bps ที่ 4.49% และอายุ 10 ปี ปรับลง -1 bps ปิด 4.259% ส่วน Dollar Index ระยะสั้นแกว่งตัวออกข้าง 104.1 จุด

• (*) To monitor : ฝั่งสหรัฐ 24 ก.ค. Flash PMI ภาคผลิต ก.ค. 24 ไม่มีคาด vs prev. 51.6 จุด และ PMI ภาคบริการ ก.ค. 24 ไม่มีคาด vs prev. 55.3 จุด, 25 ก.ค. Annualzied GDP 2Q24 คาด +1.8%q-q vs +1.4%q-q 26 ก.ค. รายได้และค่าใช้จ่ายภาคครัวเรือน คาด +0.4%m-m, +0.2%m-m vs prev. +0.5%m-m, +0.2%m-m และ PCE เดือน มิ.ย.24 ฝั่งยุโรป 24 ก.ค. Flash PMI ภาคผลิต ก.ค. 24 คาด 46.3 จุด prev. 45.8 จุด, ภาคบริการ คาด 53 จุด prev. 52.8 จุด

•(*/-) Oil: ราคาน้ำมันดิบยังปรับลงต่อและทำจุดต่ำสุดในรอบ 1 เดือน อิง Brent -1.69%d-d ปิดที่ US$ 81.01/barre น้ำมันดิบ West Texas -1.84%d-d ปิดที่ US$ 76.96/barrel แรงกดดันมาจากข่าวการเจรจาหยุดยิงรอบใหม่ในตะวันออกกลาง อิสราเอลและกลุ่มฮามาสคือ นายกอิสราเอล สั่งให้คณะเจรจาของอิสราเอลทำการเจรจาหยุดยิงครั้งใหม่ในวันพฤหัสบดีนี้ ราคาน้ำมันดิบที่ปรับลงมองเป็นจิตวิทยาเชิงลบต่อหุ้นพลังงานต้นน้ำ PTT, PTTEP ในทางตรงข้ามจิตวิทยาบวกต่อหุ้นสายการบิน AAV กลุ่มโรงไฟฟ้า GULF

 

What happened in Thailand ?

• (*) SET: ตลาดหุ้นวานนี้ปรับตัวลงแรง -15.6 จุด หรือ -1.18% ปิดที่ 1302 จุด มองเป็นการขายลดความเสี่ยงการเมืองภายใน ก่อนศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาคดีคุณสมบัตินายกฯ เป็นการปรับตัวลดลงทุกกลุ่มอุตสาหกรรม กลุ่มถ่วงหลักๆ คือ กลุ่มพลังงาน (PTT, EA) เป็นผลกระทบเฉพาะตัว PTT จากความเสี่ยงอาจช่วยเหลือค่าไฟฟ้าที่รัฐฯมีมาตรการให้คงระดับค่าไฟฟ้างวด ก.ย. - ธ.ค. 24 ส่วน EA เกิดจากกังวลข่าวผิดนัดชำระหนี้หลัง EA แจ้งเลื่อนไถ่ถอนตั๋วแลกเงินระยะสั้นจำนวน 3 ชุดมูลค่า 700 ล้านบาท กลุ่มอาหาร+เครื่องดื่ม (CPF, ITC) กลุ่มสื่อสาร (ADVANC, TRUE) มองพักฐาน หลังเป็นกลุ่มนำตลาดในระยะที่ผ่านมา กลุ่มเช่าซื้อ (MTC, SAWAD, TIDLOR) กังวลความเสี่ยงคุณภาพลูกหนี้แย่ลงตามกลุ่มธนาคารที่รายงานกำไรออกมาก่อน

• (*/-) Flow : กระแสเงินทุนวานนี้เป็นภาพไหลออก ซื้อหุ้น +1.95 ล้านเหรียญฯ ขายพันธบัตร -16.0 ล้านเหรียญฯ TFEX เป็นสถานะ Net Short สุทธิราว -22,349 สัญญา เงินบาทเคลื่อนไหวแข็งค่าสู่ 36.15 +/- บาท

• (+) TH Tourism : จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 15-21 ก.ค. สูง 7.0 แสนราย +0.9%w-w เรามองบวกต่อทิศทางดังกล่าว เพราะ 1) ก.ค. 24 เป็นภาพเร่งขึ้นทุกสัปดาห์ 2) นักท่องเที่ยว 1-21 ก.ค. เฉลี่ยสูงราว 1.0 แสนรายต่อวัน คิดเป็น 93% ของช่วง Pre-COVID (นักท่องเที่ยวเฉลี่ยต่อวัน ก.ค. 19) 3) ยอดดังกล่าวฟื้นตัวชัดเจนจากช่วง 1H24 ที่มีสัดส่วน 88.3% ของ Pre-COVID 4) มองนักท่องเที่ยว ก.ค. 24 สูง 3.1 +/- ล้านคน ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยช่วงฤดูกาล 1Q24 ผสาน นักท่องเที่ยว YTD สูง 19.6 ล้านคน และมาตรการฟรีวีซ่าที่เพิ่งมีผล 1 สัปดาห์ หนุนคาดว่านักท่องเที่ยวทั้งปี 2024F ไม่ต่ำกว่า Consensus คาด 35.5-36 ล้านคน มองบวกต่อหุ้นการบิน+ท่องเที่ยว เน้น AOT, BA, ERW, MINT และหุ้นอิงภาคบริการ CPALL, CPAXT

• (+) Digital Wallet : วันนี้ (24 ก.ค.) รมว. พาณิชย์ เปิดเผยว่าจะมีจะมีการแถลงข่าวโครงการดิจิทัลวอลเล็ตตามที่ได้กำหนดไว้ โดยมีนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีในกระทรวงที่เกี่ยวข้อง แถลงข่าวถึงความชัดเจน รวมถึงรายละเอียดประชาชนจะเข้าสู่กระบวนการโครงการดิจิทัล วอลเล็ต และคาดว่าภายในเดือน ต.ค. 24 นี้จะจ่ายเงินได้ แม้ยังต้องติดตามบางประเด็น อาทิ เงินทุน ระบบชำระเงิน แต่หากความชัดเจน มองพัฒนาการดังกล่าวเป็นบวก เพราะตลาดยังไม่รวมนโยบายดังกล่าวในประมาณการ GDP และกำไรตลาดกลุ่มอิงกำลังซื้อภายใน ค้าปลีก เน้น CPALL, CPAXT สื่อสาร เน้น ADVANC, TRUE เครื่องดื่ม OSP รวมถึงธนาคาร เช่าซื้อที่ปัจจุบันกังวลคุณภาพหนี้

• (*) Cabinet : มติที่ประชุม ครม. ที่สำคัญวานนี้ ได้แก่

1) เห็นชอบตรึงค่าไฟฟ้า งวด ก.ย. - ธ.ค. 24 ที่ 4.18 บาท โดยได้มีการหารือกับ PTT และ EGAT แล้ว นอกจากนี้ ยังเห็นชอบมาตรการดูแลค่าไฟฟ้ากลุ่มเปราะบาง มองลบต่อหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าที่มีฐานลูกค้าอุตสาหกรรม (SPPs) สูง อาทิ GPSC BGRIM แต่มองบวกต่อกลุ่มอิงภายใน (ไม่มีแรงกดดันต้นทุนค่าไฟช่วงที่เหลือของปี+กำลังซื้อดีขึ้น) อาทิ ค้าปลีก CPALL, CPAXT เครื่องดื่ม OSP

2) ครม. รับทราบการต่ออายุกำหนดเพดานราคาน้ำมันดีเซลไม่เกิน 33 บาท/ลิตรถึง 31 ต.ค. 24 มองจิตวิทยาลบต่อกลุ่มสถานีบริการน้ำมัน

3) กองทุน ThaiESG ตามเกณฑ์ใหม่ยังไม่ถูกเสนอเข้า ครม. มองจิตวิทยาลบเล็กต่อหุ้น Big Cap ทั้งนี้ มองเป็นจังหวะสะสม โดยเชื่อความล่าช้าอาจเกิดจากผลกระทบการปรับเกณฑ์คัดเลือกหุ้นเข้า Universe หุ้น ESG ที่ลงทุนได้ หลังมีประเด็น EA

• (*/-) TH Government Disbursement : การเบิกจ่ายงบลงทุนรัฐฯ ช่วง ก.ค. 24 เป็นภาพชะลอลง จาก พ.ค. - มิ.ย. ที่เบิกจ่ายเฉลี่ยวันละ 0.36% (สิ้นสุด เม.ย. ที่งบประมาณปี 2024 มีผล งบลงทุนเบิกจ่ายได้ 14.6% vs 30 มิ.ย. ที่ 36.7%) ช่วง 19 วันแรก ก.ค. ลดลงเหลือเฉลี่ยวันละ 0.19% (งบลงทุนเบิกจ่ายสิ้นสุด มิ.ย. อยู่ที่ 36.7% vs 19 ก.ค. ที่ 40.4%) มองจิตวิทยาลบสั้นๆต่อกลุ่มอิงงบลงทุนรัฐฯ อาทิ กลุ่มรับเหมา กลุ่มจำหน่ายสินค้าผู้รับเหมาท้องถิ่น ทั้งนี้ หากอิงแผนรัฐฯที่ตั้งเป้าหมายเบิกจ่ายงบลงทุนให้ถึง 70% เท่ากับว่าช่วงที่เหลือ 74 วันจะต้องเบิกจ่ายเฉลี่ยวันละ 0.46% โดยปัจจุบันเราเห็นสัญญาณโครงการใหญ่ๆออกมามากขึ้น นำโดยรถไฟฟ้าสายสีส้ม BEM ลงนามจ้าง CK ก่อสร้างงานระบบ+โยธา 1.2 แสนล้านบาท ITD เซ็นสัญญาในส่วนทางด่วนจตุโชติ – ลำลูกกา 1.8 หมื่นล้านบาท

ขณะที่การประมูลรถไฟรางคู่ เฟส 2 ขอนแก่น – หนองคาย มูลค่า 2.8 หมื่นล้านบาท จะเปิดประมูล 20 ส.ค. นอกจากนี้ ช่วง ก.ย. กระทรวงคมนาคมเตรียมเสนอ ครม. อนุมัติ 1) รถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีแดง 2.2 หมื่นล้านบาท 2) รถไฟความเร็วสูงไทย - จีน เฟส 2 วงเงิน 3.3 แสนล้านบาท 3) ส่วนต่อขยายดอนเมือง โทลล์เวย์ 2.8 หมื่นล้านบาท

• (*/+) Short Sales: หลังจากมาตรการ Uptick Rule ตั้งแต่ 1 ก.ค. วานนี้ในส่วนจำนวนหุ้นที่มียอด Short คงค้างอยู่ที่ 403 บริษัท (vs วันทำการล่าสุด 399 บริษัท) แม้พบว่าส่วนใหญ่ยอด Short เท่าเดิม +สัดส่วนกลุ่มถูก Short ลดลง มีจำนวนเพิ่มขึ้น โดยมีรายละเอียดดังนี้ โดยกลุ่มที่ลดลงจากวันทำการก่อนหน้าเพิ่มขึ้นเป็น 117 บริษัท (วันทำการล่าสุด 82 บริษัท) หุ้นที่ Short เท่าเดิมอยู่ที่ 215 บริษัท (วันทำการล่าสุด 253 บริษัท) ส่วนหุ้นที่ Short เพิ่มขึ้นมี 66 บริษัท (วันทำการล่าสุด 64 บริษัท) มองจิตวิทยาบวกต่อ SET

• (*) To Monitor: สัปดาห์นี้ติดตาม 1.) 24 ก.ค. ศาลรัฐธรรมนูญนัดพิจารณาคดีคุณสมบัตินายก คาดมีโอกาสกำหนดวันวินิจฉัยคล้ายคดียุบพรรคก้าวไกล (7 ส.ค.) 3.) 24 ก.ค. ข้อสรุปนโยบาย Digital Wallet จากคณะกรรมาการนโยบายชุดใหญ่ 4.) 24 ก.ค. ศาลปกครองสูงสุดนัดอ่านคำพิพากษาคดี BTSC ฟ้อง กทม. เกี่ยวับการชำระเงินค่าเดินรถและซ่อมบำรุงส่วนต่อขยายสายสีเขียว 5.) 23-26 ส.ค. ติดตามรายงานยอดนำเข้า - ส่งออก มิ.ย. 24 ตลาดคาดส่งออก 2.0%y-y vs prev. 7.2%y-y ยอดนำเข้า ตลาดคาด 3.0%y-y vs prev. 1.7%y-y 6.) รายงานกำไร Real Sector ที่มีกำหนดรายงานสัปดาห์นี้ อาทิ SCC, GLOBAL, DELTA และ 7.) การทยอย Preview กำไรงวด 2Q24F กลุ่ม Real Sector จะออกมาเพิ่มขึ้น มองกลุ่มกำไรเด่น y-y, q-q อาทิ สื่อสาร (ADVANC, TRUE) ค้าปลีก (CPALL, CPAXT) เครื่องดื่ม (ICHI, OSP, SAPPE) ชิ้นส่วน (KCE) เกษตร (GFPT, CPF) ท่องเที่ยว (MINT) โรงไฟฟ้า (CKP, GULF, GPSC) ความงาม (MASTER, KLINIQ)

 

 

Daily Strategy : BA, BJC, OSP เด่น

ระยะสั้น วันนี้มองภาพตลาด "ตั้งฐานเพื่อฟื้นตัว" หุ้นสหรัฐปรับลดลง หลังกำไร บจ. ที่รายงานวานนี้+ After Hours ส่วนใหญ่ต่ำกว่าคาด สอดคล้องภาพใหญ่ที่เริ่มเห็นสัญญาณเศรษฐกิจอ่อนตัว คาด Fund Flows มีโอกาสเริ่มขยับมายังประเทศที่การเติบโตคาดหวัง โดยภายในวันนี้มองหุ้นนำ Domestic Plays ที่เห็นสัญญาณบวกเพิ่มขึ้น 1) ท่องเที่ยว เน้น AOT, BA, ERW, MINT 2) ค้าปลีก เครื่องดื่ม สื่อสาร (ครม. คงค่าไฟฟ้า+วันนี้แถลงนโยบาย Digital Wallet) ซึ่งคาดมีส่วนช่วยกลุ่มธนาคาร เช่าซื้อที่กำลังกังวลภาพคุณสินทรัพย์ด้วย 3) กลุ่ม Anti-Commodities ตอบรับราคาพลังงานปรับตัวลงต่อเนื่องราคาน้ำมันต่ำสุดในรอบ 1 เดือน

 

หุ้นได้ประโยชน์ภาคผลิตโลกผ่านจุดต่ำสุด + เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวหนุนอุตสาหกรรมทยอยเข้าสู่ Upgrade Cycle (HANA, KCE)
กลุ่มภาคผลิตไทย PMI ภาคผลิตไทยอยู่ในระดับขยายตัวต่อเนื่อง 2 เดือนหนุน (GFPT, TU, CBG, OSP )
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรการท่องเที่ยวชุดใหญ่ของรัฐฯ หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (CPALL, OSP, AOT, MINT, ERW)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, GPSC, CPALL, TRUE, MINT, MTC, MOSHI)
กลุ่มได้ประโยชน์ Microsoft ลงทุน Data Center ในไทย (ADVANC, TRUE, INSET, GULF, WHA)

• JULY24 Best Picks: TRUE, CPAXT, GULF, KCE, WHA, MINT, OSP

• 3Q24Stock Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP

 

Tactical & Investment Idea

 

Research Highlight

 

• Strategy Update : US Election (The first debate)

Debate รอบแรก Biden และ Trump ประเด็นที่หยิบยกขึ้นมา คือ ประเด็นการทำแท้ง, ผู้อพยพต่างชาติและผู้ก่อการร้าย และชายแดนสหรัฐ-เม็กซิโก US-Mexico Broader ฯลฯ ทั้งนี้ ประเด็นทางเศรษฐกิจสำคัญไม่ได้ลงรายละเอียดมาก Trump พูดเน้นเดินหน้าไปที่การลดการขาดดุลค้าและเน้นการขึ้นภาษีกับประเทศอื่นๆ ฯลฯ Biden เน้นประเด็นการขึ้นภาษีผู้ที่มีรายได้สูงและมหาเศรษฐี

กลยุทธ์ KSS ประเมินแนวโนบายคล้ายกับในอดีตยังไม่มีประเด็นใหม่ และยังเหลือระยะเวลาพอสมควรก่อนการ Debate รอบถัดไป 10 ก.ย. 24 รายละเอียดนโยบายต่างๆหรือนโยบายสร้างจุดเปลี่ยนจึงยังสามารถเกิดขึ้นได้เพิ่มเติม ทำให้ยังมีความไม่แน่นอนจากประเด็นการเลือกตั้งใหญ่สหรัฐฯ กอปรกับ เศรษฐกิจสหรัฐฯที่เริ่มอ่อนลง และ Valuation สหรัฐฯที่ตึงตัว ประเมินงวด 3Q24 ก่อนเลือกตั้งตลาดหุ้นสหรัฐฯมีโอกาสเคลื่อนไหวในกรอบรอความชัดเจน

ส่วนกระแสเชิงบวกต่อหุ้นต่างๆ เราคาดตลาดให้น้ำหนัก ดังนี้ การเดินหน้าสงครามการค้าและเทคโนโลยีกับจีน ทำให้ยังคงมุมมองบวกกระแสในประเด็นดังกล่าวก่อนการเลือกตั้ง จะหนุนตลาดเก็งหุ้นกลุ่มนิคมในระยะกลาง – ยาว เน้น WHA กลุ่มส่งออกชิ้นส่วน เน้น KCE, HANA อาหาร เน้น CPF, GFPT ทั้งนี้ หาก Trump ชนะการเลือกตั้งมองหุ้นที่ได้ผลประโยชน์บวกจากเศรษฐกิจสหรัฐดีขึ้น อาทิ จากมาตรการลด Corporate Tax บวกต่อ IVL PTTGC ระยะสั้นก่อนจะเห็นภาพว่าผู้สมัครจะมีโอกาสชนะเลือกตั้งสูง ยังให้เน้นกลุ่มที่เกาะกระแสนโยบายทั้งสองฝ่ายในส่วนสงครามการค้าและเทคโนโลยี เน้น WHA, KCE, HANA, CPF, GFPT

• Strategy Update : ThaiESG 2024 ต่อ SET Index

รัฐบาลมีแผนปรับเงื่อนไขสิทธิประโยชน์จากกองทุนลดหย่อนภาษี ThaiESG ใหม่ โดยปรับเงื่อนไขให้สิทธิซื้อเพิ่มลดหย่อนภาษีได้เพิ่มขึ้นทั้งเม็ดเงิน และสัดส่วนเทียบกับฐานรายได้ ผสาน ระยะเวลาลงทุนสั้นลง KSS คาดว่าฐานเม็ดเงินที่เข้าสู่กองทุน ThaiESG รอบนี้ จะสูงราว 7.8 หมื่นล้านบาทต่อปี ขณะที่ SET ณ ปัจจุบัน ยังอยู่ใน Value Zone น่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนเชิงบวกตลาดหุ้นไทยนับจากนี้.

เชิงกลยุทธ์ : โดยรวม KSS ประเมินเป็น "บวก" ต่อตลาดหุ้นไทยคล้ายสมัยมาตรการลดหย่อนภาษีผ่านกองทุน LTF ในอดีต เนื่องจากเป็นการเสริมสภาพคล่องของเงินลงทุนระยะยาวในประเทศให้กลับมาแข็งแรงขึ้น กลยุทธ์แนะลงทุนในหุ้นใน SETESG ที่มีคุณสมบัติราคาลงแรงกว่า SET -6.6%YTD ได้แก่ BTS SCC, CRC, IVL, PTTGC, CPN, BBL, HMPRO และกลุ่มที่มีน้ำหนัก (Weight) ใน ESG สูง ได้แก่ GULF AOT, MTC, CPALL, GPSC

• Strategy Update : Time to Invest

ทีมกลยุทธ์ออกรายงาน Strategy Update "Time to invest" มอง SET Index โซนปัจจุบันให้ Current ERP ที่ 3.6% เป็นโซนลงทุน และมองใกล้ระดับจุดกลับตัว มองหุ้นน่าลงทุน 1) กลุ่มให้ Dividend สูง 2) กลุ่มที่ Underperform และมีส่วนลดทางพื้นฐานสูง

Key Ideas:

• SET Index ในปี 2024 ยัง "Underperform" ตลาดหุ้นโลกต่อเนื่องจากปี 2023 โดย YTD ปรับตัวลดลง -8.6% โดยการปรับตัวลดลงเร่งขึ้นในระยะหลังจากปัญหาความไม่ชัดเจนการเมือง

• อิงกลไก Equity Risk Premium (ERP) คือ ส่วนต่างผลตอบแทนระหว่าง Earnings Yield และ Bond Yield อิงระดับ Current EPS ปัจจุบันที่ราว 83 บาทต่อหุ้น และ Forward EPS ที่ 92 บาท ที่ระดับ Index โซน 1350-1300 จุด ถือเป็นจุดน่าสนใจสำหรับการวางสถานะลงทุนระยะกลาง-ยาว อิงระดับดัชนีปัจจุบัน Current และ Forward ERP นั้นสูงในระดับ 3.6%-4.22% สูงกว่า Avg 3.09% ขณะที่หาก Current ERP สูงเกินกว่าระดับ + 1 S.D. (4.09%) vs ปัจจุบันอยู่ที่ 3.6% ใกล้ระดับ +1 S.D. ที่เป็นจุดกลับตัวของตลาด

 

• จากการศึกษา Back test ย้อนหลัง 20 ปี พบว่า Current ERP แตะระดับดังกล่าว 7 ครั้งในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา พบว่า SET จะกลับมาให้ผลตอบแทนเป็นบวกเฉลี่ยทุกครั้งในระยะกลาง กล่าวคือ จากนั้น 3 เดือน 6 เดือน 9 เดือน และ 1 ปี SET ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 0.7%, 4.4% 9.9% และ 20.6% ด้วยความน่าจะเป็น 57%, 43%, 72% และ 86% ตามลำดับ

• มุมมองเม็ดเงินลงทุนระยะสั้นนักลงทุนต่างชาติ รอบล่าสุดที่เข้ามาคือ เริ่มตั้งแต่ช่วง เม.ย. 21 ซึ่งซื้อสะสมรวมถึงจุดสูงสุดช่วงราว มี.ค. 23 ด้วยเม็ดเงินรวม 2.85 แสนล้านบาท ขณะที่หลังจากนั้นเป็นการขายต่อเนื่องถึงปัจจุบัน นับถึงวานนี้ พบว่า เม็ดเงินดังกล่าวไหลออกจาก SET ไปกว่า 3แสนล้านบาทแล้ว บ่งชี้แรงขาย ของนักลงทุนต่างชาติจากจุดนี้น่าจะลดลงเป็นลำดับ

• มาตรการ Uptick ใกล้มีผล เดือน กค 2024 น่าจะลดความผันผวนฝั่ง "Short Sell" ได้บ้าง

กลยุทธ์ คำแนะนำสำหรับผู้ลงทุนระยะกลาง-ยาว ทยอยสะสมหุ้นในจุดที่มี Margin of Safety สูง ใน 2 Theme เด่น

1.) Dividend Plays ที่ธุรกิจมีความมั่นคง ให้ผลตอบแทน Div. Yield มากกว่าปีละ 4% (vs Policy Rate 2.5%) ได้แก่ SCB AP ICHI PTT BBL INTUCH ADVANC HMPRO BJC WHA TU

2.) หุ้นในกลุ่มที่ Underperform กว่าตลาด (SET YTD ปรับตัวลดลง -8.6%) แต่พื้นฐานระยะกลาง-ยาวยังแข็งแกร่ง Valuation มีส่วนลด PBV24F ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย >20% ได้แก่ BTS IVL LH HMPRO KCE PTTGC GPSC HANA GULF

 

 

• SCGP (Trading Buy, TP33): มอง slightly negative ต่อกำไรสุทธิ 2Q24 ที่ 1,454 ลบ. (-2% y-y, -16% q-q) ใกล้เคียงตลาดคาด (แต่ GPM ต่ำกว่าตลาดคาด) ต่ำกว่าเราคาด -4% จากปรับราคาขึ้นได้ช้ากว่าต้นทุนกระดาษส่งให้ GPM ต่ำกว่าคาด และเป็นตัวฉุดหลักของภาพ q-q เราคาด 2H24F จะขาด catalyst จากแนวโน้มกำไรที่ลดลง h-h เพราะการขายในอินโดฯที่ฟื้นช้า และดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้น เราปรับลดกำไรลงสะท้อนการฟื้นตัวช้าของธุรกิจอินโดฯ (Fajar) ที่ตลาดส่งออกเผชิญการแข่งขันสูงในจีน และมีความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าฯ ปรับไปใช้ TP25F = 33.0 บาท/หุ้น คงคำแนะนำ Trading Buy ต่อ SCGP แนะนำรอเห็นการฟื้นตัวของตลาดอินโดฯและจีนชัดเจนก่อน ค่อยเข้าเก็งกำไรการฟื้นตัวใน 2025F ที่สภาวะการแข่งขันในภูมิภาคลดลงตามการฟื้นของ demand ส่งให้ปรับราคาขายได้ต่อเนื่อง

• BA (Buy, TP24.25): เรามอง Positive ต่อแนวโน้ม 2Q24F ของ BA คาดกำไรสุทธิ 501 ลบ. และกำไรปกติ 489 ลบ. เติบโต +20% y-y ตามการฟื้นของอุตฯ การบินหนุนปริมาณผู้โดยสารและราคาตั๋วเฉลี่ยแข็งแกร่งต่อเนื่อง แต่กำไรปกติลด q-q ตามฤดูกาล ลุ้น 3Q24F กำไรดีกว่าคาดหนุนเราและตลาดปรับกำไรปี 24F ขึ้น เรายังเลือก BA เป็นหุ้น Top pick กลุ่มการบิน คงคำแนะนำ Buy ราคาเป้าหมาย 24.25 บาท

• BJC (Buy, TP30): เรามองบวกเล็กน้อยต่อแนวโน้มกำไรปกติ 2Q24F ที่ 1.20 พันลบ. ปรับขึ้น +4%y-y, +20%q-q และดีกว่าเคยคาดไว้เดิม เพราะอัตรากำไรขั้นต้นจะปรับขึ้นเด่น ทั้งนี้ แม้เราปรับกำไรปกติทั้งปี 24-25F ลง -5%ต่อปีสะท้อนกำลังซื้อฟื้นช้า แต่มองปัจจุบันเป็นจังหวะสะสมหุ้นแล้วจาก 3 เหตุผล คือ 1) ราคาหุ้นอยู่ในโซนถูก ซื้อขายบน PER ปี 24F ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย -2.0 SD , 2) เริ่มเห็นผลบวกจากการปรับกลยุทธ์เน้นเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นในหลายธุรกิจของ BJC และ 3) เป็นหนึ่งในผู้ได้ประโยชน์จากมาตรการ digital wallet เพราะมีสัดส่วนรายได้ร้านค้าขนาดเล็ก คิดเป็น 19% ของรายได้ จึงแนะนำ BUY

• OSP (Buy, TP26): We estimate 2Q24F core profit to be Bt911m, up 66% yoy and 10% qoq, underpinned by: 1) the moderate sales growth of 5% yoy (to Bt7b) and 2) 4ppt gross margin (to 38%) driven by good sales growth and slight natural gas price decline (about 5% yoy, and 9% COGS contribution). We also note that there could be a Bt300m impairment (non-cash) from two potential divestments that could happen in 2H24F. If including the impairment, the net profit could be Bt611m, up 11% yoy and down 26% qoq. 1H24F core profit accounts for 61% of our FY24F forecast. Maintain BUY, TP Bt26.

 

3Q24F Equity Outlook : The strong get stronger, the weak get less weak

Stock Best Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA

Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

วันขาย By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ ขายเมื่อมีข่าวดี วันนี้ วันขาย ท่ามตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้น ตอบรับข่าวดี สหรัฐกับจีน ....

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้