Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.กรุงศรี พัฒนสิน : KSS Daily Strategy

590

 

 


"Consumer Play"

 

KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "Sideways/Up" ต้าน 1330/1335 จุด รับ 1320/1315 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับฐาน นำโดยแรงขายทำกำไรกลุ่มธนาคารก่อนผลประกอบการ และ Domino Pizza กำไรต่ำกว่าคาด ผสานความผันผวนด้านนโยบายก่อนการเลือกตั้ง ปธน. ในเดือน พย 2024 ซึ่งมักทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ระดับไตรมาสพักฐาน ดังที่เคยนำเสนอในบทวิเคราะห์กลยุทธ์ไตรมาส3 และสัญญาณนี้มักเป็นโอกาสของ EM-Asia ที่เศรษฐกิจค่อยๆฟื้นตัวแข็งแรงขึ้น ผสานใกล้จุดที่ Fed จะเริ่มลดดอกเบี้ย หนุน Fund Flow โดยวานนี้ ต่างชาติซื้อหุ้นไทยและ Net Long TFEX ติดกันเป็นวันที่ 2 เป็นจิตวิทยาบวก คล้อยหลัง IMF ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ไทย ขณะที่ Long Term Funds ในประเทศกำลังจะฟื้นคืนชีพ หลัง กระทรวงการคลังเตรียมเสนอกองทุน ThaiESG เกณฑ์ใหม่เข้า ครม. สัปดาห์หน้า คาดเริ่มเสนอขายได้นับจาก ส.ค. 24 มองเม็ดเงินใหม่เดือนละ 5-6 พันล้านบาท ปัจจัยดังกล่าวหนุน SET ยังอยู่ในช่วงฟื้นตัวต่อเนื่อง กลุ่มเด่น คือ หุ้น Big Cap ในดัชนี SETESG ที่มีพื้นฐานดี(GULF, AOT, CPALL, MINT, และกลุ่ม ICT) และกลุ่มทิศทางกำไร 2Q24F สดใส วันนี้แนะ CPAXT, OSP, GFPT เด่น

 

 


Daily outlook: "Sideways/Up" ต้าน 1330/1335 จุด รับ 1320/1315 จุด

What happened around the world ?

•(*/-) US Stocks : ตลาดหุ้นสหรัฐฯ Dow Jones -1.29%d-d, S&P500 -0.78%, Nasdaq -0.68% โดยดัชนี S&P Sector กลุ่มที่ปรับขึ้นหลักมีเพียงกลุ่ม Energy Sector ที่ปรับลงหลักๆคือ Healthcare, Financial, Consumer discretionary ฯลฯ โดยหุ้นที่เคลื่อนไหวเด่น อาทิ NVDIA +2.6%, Intel +1.2% (rebound หลังจากปรับลงแรงวันก่อนและรับ TSMC รายงานงบดีกว่าคาด) META + 3% รับข่าวหนุนจากเจรจาซื้อหุ้น 3 - 5% ใน EssilorLuxottica ผู้ผลิตแว่นตา Ray-Ban

• (*/+) Fed Speaks : คุณ Austan Goolsbee ประธาน Fed สาขา Chicago (Non Voter )ให้สัมภาษณ์โทน Dovish ต่อทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐเป็นขาลงคือ มองอาจจำเป็นต้องลดอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆ นี้เพื่อหลีกเลี่ยงการทรุดตัวอย่างรุนแรงของตลาดแรงงาน ซึ่งได้ชะลอตัวลงในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา มองหนุนความเชื่อดอกเบี้ยปลายทาง บวกต่อสินทรัพย์เสี่ยง

•(*) ECB meeting : ประชุมธนาคารกลางยุโรป(ECB) คงดอกเบี้ยไว้ตามเดิมโดย Deposit Rate อยู่ที่ 3.75% และ ยังคงลดการถือครองพันธบัตร APP อย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยไม่นำเงินจากพันธบัตรที่ครบกำหนดมาลงทุน ส่วนโครงการซื้อพันธบัตรฉุกเฉินช่วงโควิด ลดลงเดือนละประมาณ €7.5 Billion และวางแผนจะหยุดซื้อเพิ่มภายในสิ้นปี 2024 KSS มองเข้าสู่นโยบายการเงินตึงตัวชัดเจนมากขึ้น MUFG คาด ECB จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้งในช่วง ก.ย. 24 โดยรวมดอกเบี้ยที่เป็นขาลงมองบวกเศรษฐกิจยุโรปและบวกต่อหุ้นทีมีรายได้ในยุโรป อาทิ XO(70%ของรายได้รวม), MINT(50%) SHR(40%), IVL (22%) CRC(6%)

•(*/-) China Meeting : พรรคคอมมิวนิสต์จีนเปิดเผยรายงานการประชุมคณะกรรมเศรษฐกิจประจำปีที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 15 - 18 ก.ค. ที่ผ่านมา มองเป็น Slighly negative เล็กน้อย หลังจากไม่ได้มีการประกาศมาตรการพยุงหรือกระตุ้นเศรษฐกิจจีน ข้อสรุปคือ โดยทางการจีนจะยังคงเน้นให้ความสำคัญกับการปฏิรูประบบเศรษฐกิจมากกว่าการเติบโต และการเติบโตต้องเป็นการเติบโตจากสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (High Quality Growth) เพื่อส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืน และแนวทางการกระตุ้นเศรษฐกิจจะเน้นไปที่นโยบายการคลัง ผ่านการใช้มาตรการทางภาษีเพื่อส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศ และยังคงให้ความสำคัญกับการหนุนการฟื้นตัวของภาคอสังหาภายในประเทศต่อไป KSS มองจับตารายละเอียดของมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติมในรายละเอียดนับจากนี้หากจึนต้องการจะให้ GDP Growth 2024 โต 5%ตามที่รัฐบาลตั้งเป้าไว้

•(*) US Econ 1.) Initial Jobless Claims เพิ่มขึ้น 2 หมื่นราย อยู่ที่ 2.43 แสนราย สูงสุดตั้งแต่ ส.ค. 2023 ผลมาจากพายุเฮอริเคนเบริล โดยรัฐเท็กซัสมีจำนวนผู้ขอสวัสดิการว่างงานเพิ่มขึ้น 1.15 หมื่นราย สุดนับตั้งแต่เดือน มี.ค. 2021 และปัจจัยตามฤดูกาล เช่น วันหยุดและการปิดภาคเรียนในช่วงฤดูร้อ (โดยรวมตัวเลขต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 4 สัปดาห์) ตัวเลขแรงงานที่ออกมายังไม่อยู่ระดับที่น่างกัวล สะท้อนภาพภาคแรงงานสหรัฐฯประคองในลักษณะ Soft Landing ได้ (ความเสี่ยง Hard Landing จะเกิดขึ้นผู้ขอรับสวัสดิการครั้งแรกเฉลี่ยจะสูงกว่าระดับ 4.0 แสนตำแหน่ง) 2.) Phily Fed Manufacturing ดัชนีการผลิตปรับตัวดีขึ้น ได้แก่ ดัชนีการจัดส่งสินค้า (27.8 จาก -7.2), คำสั่งซื้อใหม่ (20.7 จาก -2.2) และการจ้างงาน (15.2 จาก -2.5) ซึ่งกลับมาเป็นบวกทั้งหมด แสดงถึงการฟื้นตัวของภาคการผลิตในเขตฟิลาเดลเฟีย

• (*/+) TSMC : TSMC ผู้ผลิต Semiconductor ชั้นนำของโลก ไต้หวัน รายงานรายได้มากกว่าคาดและทำระดับ High รายได้จากกลุ่ม HPC เติบโตเด่น +28%q-q คุมค่าใช้จ่ายได้ดี และแนวโน้ม 3Q24 ดีขึ้น หนุนจากอุตสาหกรรม Smartphone และ Demand กับ AI โดยรวมมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มชิ้นส่วน เน้น HANA

(*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐแนวโน้มระยะยาวเป็นขาลง แต่ระยะสั้น ปรับขึ้นอิง อายุ 2 ปี +3 bps ที่ 4.47% และอายุ 10 ปี +4 bps ปิด 4.19% ส่วน Dollar Index ระยะสั้นแกว่งตัว 103.9 จุด

•(*/+) World Container Index แนวโน้มขาขึ้นปรับขึ้น 13 สัปดาห์ติด แต่อัตราการขึ้นเริ่มชะลอเหลือ single digit ติดต่อกัน 2 สัปดาห์ติืดสัปดาห์ล่าสุด +1%w-w (เดือนก่อนหน้าเพิ่ม Double digit) อยู่ที่ 5,937 เหรียญต่อ 40 ft ทำจุดสูงสุดของปี และปรับขึ้นต่อเกือบทุกเส้นทางเรือ ประเมินจิตวิทยาบวกต่อหุ้น yggเรือ Container อาทิ RCL และบวกต่อกลุ่มให้บริการโลจิสติกส์ในลักษณะ Freight Forwarder ที่มีสัดส่วน Sea Freight สูง อาทิ SINO (90% ของรายได้), SONIC (62% ของรายได้) LEO (75% ของรายได้) และ WICE (34% ของรายได้) ดังนั้นยังแนะนำเพียง Trading ระยะสั้น ในหุ้นกลุ่มนี้

•(*) Oil : น้ำมันดิบ Brent +0.04%d-d ปิดที่ US$ 85.11/barrel น้ำมันดิบ West Texas -0.04%d-d ปิดที่ US$ 82.82/barrel

 

 

What happened in Thailand ?

• (*/+) SET: วานนี้ SET ปรับตัวขึ้น +4.97 จุด หรือ +0.38% ปิด 1324.7 จุด กลุ่มหนุน คือ กลุ่มขนส่ง (AOT) ฟื้นตัว หลังเหตุการณ์นักท่องเที่ยวเวียดนาม 6 รายเสียชีวิต ได้ข้อสรุปเป็นปัญหาเฉพาะกลุ่มผู้เสียชีวิต โดยไม่มีประเด็นความปลอดภัยสาธารณะที่ส่งผลเสียต่อการท่องเที่ยวโดยรวม กลุ่มพลังงาน (PTT, PTTEP) ตามราคาน้ำมันโลกฟื้นตัวเฉลี่ย +2% กลุ่มถ่วง คือ กลุ่มชิ้นส่วน (DELTA, HANA, KCE) หลังความเสี่ยง Tech War เพิ่มขึ้นหลังคุณ Biden ประธานาธิบดีสหรัฐ และคุณ Trump ที่ลงเลือกตั้ง กล่าวถึงแนวทางกีดกันจีน ไต้หวัน กลุ่มแพ็คเกจจิ้ง (SCGP) มองกังวลแนวโน้ม 2Q24F ฟื้นตัวช้า

• (*/+) Flow : เงินทุนต่างประเทศไหลเข้า ซื้อหุ้น +35 ล้านเหรียญฯ ขายพันธบัตร -15.8 ล้านเหรียญฯ TFEX Net Long 14,795 สัญญา เงินบาทอ่อนค่าสู่ 36.16 +/- บาท

• (*/-) Utilities : รมว.พลังงานระบุเตรียมหาแนวทางตรึงค่าไฟฟ้างวด ก.ย. - ธ.ค. ตามอัตราปัจจุบันที่ 4.18 บาทต่อหน่วย มองจิตวิทยาลบกลุ่มโรงไฟฟ้า เทียบกับความคาดหวังเชิงบวกตลาดช่วงก่อนหน้าจากแนวทาง กกพ. ที่กำหนดกรอบค่าไฟ xx-xx บาทต่อหน่วย โดยเฉพาะกลุ่มที่มีลูกค้าอุตสาหกรรมสูง อาทิ GPSC BGRIM ส่วน GPSC เรากระทบน้อย ทั้งจากสัดส่วนลูกค้าอุตสาหกรรมต่ำกว่า

ทั้งนี้ กลุ่มที่เรามองเป็นบวก คือ ค้าปลีก สื่อสาร ที่มีต้นทุนค่าไฟเป็นต้นทุนสูงกว่ากลุ่มอื่น vs เดิมเรามองกลาง แม้ค่าไฟปรับขึ้น แต่อุตสาหกรรมอยู่ใน Upcycle ทำให้กระทบจำกัด แต่ปัจจุบันจะกลายเป็นภาพบวกแทน เน้น CPALL, CPAXT, ADVANC, TRUE

• (+) ThaiESG : ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่าเตรียมนำเรื่องกองทุน ThaiESG เกณฑ์ใหม่ เข้าเสนอที่ประชุม ครม. สัปดาห์หน้า ขณะที่กลไก ตลาดพิจารณาหลักเกณฑ์คัดเลือกหุ้นเข้าดัชนี ThaiESG ใหม่ ภายใน ก.ค. นี้ เรามองน่าจะเป็นกระบวนการทำควบคู่กันหรือปรับปรุงภายหลัง ความคืบหน้าดังกล่าว เรามองบวกต่อ SET ที่ KSS คาดจะเม็ดเงินใหม่เข้ามาเดือนละ 5-6 พันล้านบาท ทั้งนี้ จากผลการศึกษากรณีเม็ดเงิน LTF ในอดีต พบว่า ในรอบวงจรเศรษฐกิจคล้ายปัจจุบันปี 2012-13 ทุกๆ เม็ดเงิน LTF ที่ 1.0 หมื่นล้านบาทจะบวกต่อดัชนีราว 20-25 จุด ขณะที่ในส่วนหุ้นคาดมีแรงเก็งกำไรไปกับประเด็นดังกล่าว เราประเมินเป็นหุ้นที่มีน้ำหนักในดัชนี SETESG สูง > 1% ผสานกลุ่มที่มีพื้นฐานน่าสนใจในปัจจุบัน อาทิ ADVANC(น้ำหนักใน SETESG 5.2%) CPALL (5.1%) AOT(5.0%) GULF(5.0%) CPN (2.6%) INTUCH (2.45%) CPF(2.1%) CRC(1.96%) MINT(1.7%) BEM(1.09%)

• (*/+) Trade War impact to TH: Krungsri Research เปิดเผยผลการศึกษากรณีสงครามการค้า หากมีการยกระดับขึ้นราว 25% แม้คาดกระทบยอดส่งออกจีนและสหรัฐฯ แต่อาเซียนจะได้ผลบวก โดยไทย GDP +0.04% และส่งออก +0.87% มองกระแสดังกล่าวบวกต่อ SET และมองกลุ่มได้ประโยชน์ ได้แก่ หุ้นนิคม เน้น WHA หุ้นส่งออก ชิ้นส่วน ราคาหุ้นที่ปรับลงวันนี้มองค่อยๆตั้งรับ KCE HANA กลุ่มเกษตร - อาหาร เน้น CPF

• (*/+) Short Sales: หลังจากมาตรการ Uptick Rule ตั้งแต่ 1 ก.ค. วานนี้ในส่วนจำนวนหุ้นที่มียอด Short คงค้างอยู่ที่ 400 บริษัท (vs วานนี้ 403 บริษัท) แม้พบว่าส่วนใหญ่ยอด Short เท่าเดิม +สัดส่วนกลุ่มถูก Short ลดลง มีจำนวนเพิ่มขึ้น โดยมีรายละเอียดดังนี้ โดยหุ้นที่ Short เท่าเดิมอยู่ที่ 247 บริษัท (วานนี้ 282 บริษัท) กลุ่มที่ลดลงจากวันทำการก่อนหน้าเพิ่มขึ้นเป็น 56 บริษัท (วานนี้ 64 บริษัท) ส่วนหุ้นที่ Short เพิ่มขึ้นมี 97 บริษัท (วานนี้ 57 บริษัท) มองจิตวิทยาบวกต่อ SET

• (*) To Monitor: 1.) วันนี้ (19 ก.ค.) กำไรงวด 2Q24 กลุ่มธนาคารอื่นๆ นอกจาก TISCO และ BBL ที่รายงานแล้ว มองบ่งชี้ทิศทางแนวโน้มกำไรตลาดช่วง 2Q24 นอกจากนี้ แนะนำติดตามแนวโน้มคุณภาพสินทรัพย์ ซึ่งจะบ่งชี้ทิศทางกลุ่มเช่าซื้อที่กำลังกังวลต่อประเด็นดังกล่าวชัดเจนขึ้น โดยล่าสุดกรณี BBL ที่เห็นคุณภาพลูกหนี้อ่อนแอขึ้น เรามองมีโอกาสกดดันหุ้นกลุ่มธนาคารวันนี้ สัปดาห์หน้าติดตาม 2.) 23 ก.ค. ครม.พิจารณา แนวทางช่วยเหลือค่าไฟฟ้ารอบ ก.ย. - ธ.ค. และ กองทุน ThaiESG เกณฑ์ใหม่ 3.) 24 ก.ค. ศาลรัฐธรรมนูญนัดพิจารณาคดีคุณสมบัตินายก คาดมีโอกาสกำหนดวันวินิจฉัยคล้ายคดียุบพรรคก้าวไกล (7 ส.ค.) 4.) 23-26 ส.ค. ติดตามรายงานยอดนำเข้า - ส่งออก มิ.ย. 24 ตลาดคาดส่งออก 2.0%y-y vs prev. 7.2%y-y ยอดนำเข้า ตลาดคาด 3.0%y-y vs prev. 1.7%y-y 5.) รายงานกำไร Real Sector ที่มีกำหนดรายงานสัปดาห์หน้า อาทิ SCGP, SCC, GLOBAL, DELTA และ 6.) การทยอย Preview กำไรงวด 2Q24F กลุ่ม Real Sector จะออกมาเพิ่มขึ้น มองกลุ่มกำไรเด่น y-y, q-q อาทิ สื่อสาร (ADVANC, TRUE) ค้าปลีก (CPALL, CPAXT) เครื่องดื่ม (ICHI, OSP, SAPPE) ชิ้นส่วน (KCE) เกษตร (GFPT, CPF) ท่องเที่ยว (MINT) โรงไฟฟ้า (CKP, GULF, GPSC) ความงาม (MASTER, KLINIQ)

 

 

Daily Strategy : CPAXT, OSP, GFPT เด่น

ระยะสั้น วันนี้มองภาพตลาด "Sideways to Sideways/Up" หุ้นสหรัฐแม้ผันผวน แต่น้ำหนักหลักมองเป็นการขายทำกำไร หุ้นรายกลุ่มรายตัว เรามองปัจจัยต่างประเทศเป็นภาพลบอ่อนๆ แต่ภายในเป็นบวก หลังเริ่มเห็นความต่อเนื่อง Fund Flow เข้าสู่ตลาดหุ้นไทย ขณะที่มีความชัดเจนกระทรวงการคลังเตรียมนำเรื่องกองทุน ThaiESG เกณฑ์ใหม่เสนอ ครม. มองหุ้นนำ 1) หุ้น Big Cap ในดัชนี SETESG ที่มีพื้นฐานแกร่งระยะนี้ 2) หุ้นได้ประโยชน์หากรัฐฯ คงค่าไฟฟ้างวด ก.ย. - ธ.ค. ที่ 4.18 บาท อาทิ CPALL CPAXT และ 3) หุ้นคาดรายงานกำไร 2Q24F สดใส อาทิ กลุ่มเกษตร กลุ่มสื่อสาร กลุ่มเครื่องดื่ม ท่องเที่ยวฝั่ง MINT ที่มีช่วงฤดูกาลยุโรปหนุน

 

หุ้นได้ประโยชน์ภาคผลิตโลกผ่านจุดต่ำสุด + เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวหนุนอุตสาหกรรมทยอยเข้าสู่ Upgrade Cycle (HANA, KCE)
กลุ่มภาคผลิตไทย PMI ภาคผลิตไทยอยู่ในระดับขยายตัวต่อเนื่อง 2 เดือนหนุน (GFPT, TU, CBG, OSP, ICHI, SAPPE IVL, STA, NER)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรการท่องเที่ยวชุดใหญ่ของรัฐฯ หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (CPALL, ICHI, AOT, MINT, ERW)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, GPSC, CPALL, TRUE, MINT, WARRIX, MTC, MOSHI, KLINIQ)
กลุ่มได้ประโยชน์ Microsoft ลงทุน Data Center ในไทย (ADVANC, TRUE, INSET, GULF, WHA)

• JULY24 Best Picks: TRUE, CPAXT, GULF, KCE, WHA, MINT, OSP

• 3Q24Stock Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP

 

Tactical & Investment Idea

 

Research Highlight

 

• Strategy Update : US Election (The first debate)

Debate รอบแรก Biden และ Trump ประเด็นที่หยิบยกขึ้นมา คือ ประเด็นการทำแท้ง, ผู้อพยพต่างชาติและผู้ก่อการร้าย และชายแดนสหรัฐ-เม็กซิโก US-Mexico Broader ฯลฯ ทั้งนี้ ประเด็นทางเศรษฐกิจสำคัญไม่ได้ลงรายละเอียดมาก Trump พูดเน้นเดินหน้าไปที่การลดการขาดดุลค้าและเน้นการขึ้นภาษีกับประเทศอื่นๆ ฯลฯ Biden เน้นประเด็นการขึ้นภาษีผู้ที่มีรายได้สูงและมหาเศรษฐี

กลยุทธ์ KSS ประเมินแนวโนบายคล้ายกับในอดีตยังไม่มีประเด็นใหม่ และยังเหลือระยะเวลาพอสมควรก่อนการ Debate รอบถัดไป 10 ก.ย. 24 รายละเอียดนโยบายต่างๆหรือนโยบายสร้างจุดเปลี่ยนจึงยังสามารถเกิดขึ้นได้เพิ่มเติม ทำให้ยังมีความไม่แน่นอนจากประเด็นการเลือกตั้งใหญ่สหรัฐฯ กอปรกับ เศรษฐกิจสหรัฐฯที่เริ่มอ่อนลง และ Valuation สหรัฐฯที่ตึงตัว ประเมินงวด 3Q24 ก่อนเลือกตั้งตลาดหุ้นสหรัฐฯมีโอกาสเคลื่อนไหวในกรอบรอความชัดเจน

ส่วนกระแสเชิงบวกต่อหุ้นต่างๆ เราคาดตลาดให้น้ำหนัก ดังนี้ การเดินหน้าสงครามการค้าและเทคโนโลยีกับจีน ทำให้ยังคงมุมมองบวกกระแสในประเด็นดังกล่าวก่อนการเลือกตั้ง จะหนุนตลาดเก็งหุ้นกลุ่มนิคมในระยะกลาง – ยาว เน้น WHA กลุ่มส่งออกชิ้นส่วน เน้น KCE, HANA อาหาร เน้น CPF, GFPT ทั้งนี้ หาก Trump ชนะการเลือกตั้งมองหุ้นที่ได้ผลประโยชน์บวกจากเศรษฐกิจสหรัฐดีขึ้น อาทิ จากมาตรการลด Corporate Tax บวกต่อ IVL PTTGC ระยะสั้นก่อนจะเห็นภาพว่าผู้สมัครจะมีโอกาสชนะเลือกตั้งสูง ยังให้เน้นกลุ่มที่เกาะกระแสนโยบายทั้งสองฝ่ายในส่วนสงครามการค้าและเทคโนโลยี เน้น WHA, KCE, HANA, CPF, GFPT

• Strategy Update : ThaiESG 2024 ต่อ SET Index

รัฐบาลมีแผนปรับเงื่อนไขสิทธิประโยชน์จากกองทุนลดหย่อนภาษี ThaiESG ใหม่ โดยปรับเงื่อนไขให้สิทธิซื้อเพิ่มลดหย่อนภาษีได้เพิ่มขึ้นทั้งเม็ดเงิน และสัดส่วนเทียบกับฐานรายได้ ผสาน ระยะเวลาลงทุนสั้นลง KSS คาดว่าฐานเม็ดเงินที่เข้าสู่กองทุน ThaiESG รอบนี้ จะสูงราว 7.8 หมื่นล้านบาทต่อปี ขณะที่ SET ณ ปัจจุบัน ยังอยู่ใน Value Zone น่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนเชิงบวกตลาดหุ้นไทยนับจากนี้.

เชิงกลยุทธ์ : โดยรวม KSS ประเมินเป็น "บวก" ต่อตลาดหุ้นไทยคล้ายสมัยมาตรการลดหย่อนภาษีผ่านกองทุน LTF ในอดีต เนื่องจากเป็นการเสริมสภาพคล่องของเงินลงทุนระยะยาวในประเทศให้กลับมาแข็งแรงขึ้น กลยุทธ์แนะลงทุนในหุ้นใน SETESG ที่มีคุณสมบัติราคาลงแรงกว่า SET -6.6%YTD ได้แก่ BTS SCC, CRC, IVL, PTTGC, CPN, BBL, HMPRO และกลุ่มที่มีน้ำหนัก (Weight) ใน ESG สูง ได้แก่ GULF AOT, MTC, CPALL, GPSC

• Strategy Update : Time to Invest

ทีมกลยุทธ์ออกรายงาน Strategy Update "Time to invest" มอง SET Index โซนปัจจุบันให้ Current ERP ที่ 3.6% เป็นโซนลงทุน และมองใกล้ระดับจุดกลับตัว มองหุ้นน่าลงทุน 1) กลุ่มให้ Dividend สูง 2) กลุ่มที่ Underperform และมีส่วนลดทางพื้นฐานสูง

Key Ideas:

• SET Index ในปี 2024 ยัง "Underperform" ตลาดหุ้นโลกต่อเนื่องจากปี 2023 โดย YTD ปรับตัวลดลง -8.6% โดยการปรับตัวลดลงเร่งขึ้นในระยะหลังจากปัญหาความไม่ชัดเจนการเมือง

• อิงกลไก Equity Risk Premium (ERP) คือ ส่วนต่างผลตอบแทนระหว่าง Earnings Yield และ Bond Yield อิงระดับ Current EPS ปัจจุบันที่ราว 83 บาทต่อหุ้น และ Forward EPS ที่ 92 บาท ที่ระดับ Index โซน 1350-1300 จุด ถือเป็นจุดน่าสนใจสำหรับการวางสถานะลงทุนระยะกลาง-ยาว อิงระดับดัชนีปัจจุบัน Current และ Forward ERP นั้นสูงในระดับ 3.6%-4.22% สูงกว่า Avg 3.09% ขณะที่หาก Current ERP สูงเกินกว่าระดับ + 1 S.D. (4.09%) vs ปัจจุบันอยู่ที่ 3.6% ใกล้ระดับ +1 S.D. ที่เป็นจุดกลับตัวของตลาด

• จากการศึกษา Back test ย้อนหลัง 20 ปี พบว่า Current ERP แตะระดับดังกล่าว 7 ครั้งในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา พบว่า SET จะกลับมาให้ผลตอบแทนเป็นบวกเฉลี่ยทุกครั้งในระยะกลาง กล่าวคือ จากนั้น 3 เดือน 6 เดือน 9 เดือน และ 1 ปี SET ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 0.7%, 4.4% 9.9% และ 20.6% ด้วยความน่าจะเป็น 57%, 43%, 72% และ 86% ตามลำดับ

• มุมมองเม็ดเงินลงทุนระยะสั้นนักลงทุนต่างชาติ รอบล่าสุดที่เข้ามาคือ เริ่มตั้งแต่ช่วง เม.ย. 21 ซึ่งซื้อสะสมรวมถึงจุดสูงสุดช่วงราว มี.ค. 23 ด้วยเม็ดเงินรวม 2.85 แสนล้านบาท ขณะที่หลังจากนั้นเป็นการขายต่อเนื่องถึงปัจจุบัน นับถึงวานนี้ พบว่า เม็ดเงินดังกล่าวไหลออกจาก SET ไปกว่า 3แสนล้านบาทแล้ว บ่งชี้แรงขาย ของนักลงทุนต่างชาติจากจุดนี้น่าจะลดลงเป็นลำดับ

• มาตรการ Uptick ใกล้มีผล เดือน กค 2024 น่าจะลดความผันผวนฝั่ง "Short Sell" ได้บ้าง

กลยุทธ์ คำแนะนำสำหรับผู้ลงทุนระยะกลาง-ยาว ทยอยสะสมหุ้นในจุดที่มี Margin of Safety สูง ใน 2 Theme เด่น

1.) Dividend Plays ที่ธุรกิจมีความมั่นคง ให้ผลตอบแทน Div. Yield มากกว่าปีละ 4% (vs Policy Rate 2.5%) ได้แก่ SCB AP ICHI PTT BBL INTUCH ADVANC HMPRO BJC WHA TU

2.) หุ้นในกลุ่มที่ Underperform กว่าตลาด (SET YTD ปรับตัวลดลง -8.6%) แต่พื้นฐานระยะกลาง-ยาวยังแข็งแกร่ง Valuation มีส่วนลด PBV24F ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย >20% ได้แก่ BTS IVL LH HMPRO KCE PTTGC GPSC HANA GULF

 


• WHAUP (Buy, TP5.2): We estimate WHAUP's upside valuation will lift to Bt0.5-0.7/sh from Bt0.4/sh for its 125.4MW FIT projects due to solar cell price collapse. It also has upsides from 100MW M&A deal overseas and opportunity to develop solar rooftop project in Vietnam. We estimate WHAUP's 2Q24F core profit at Bt348m, -16% yoy and -8% qoq on a lack of extraordinary income. WHAUP's share price unchanged in past month did not factored the positive outlook. We maintain BUY rating

.• BBL (Buy, TP170): เรามีมุมมอง Neutral ต่อผลประกอบการ 2Q24 แม้กำไรสุทธิ 2Q24 ที่ 1.18 หมื่นลบ. ดีกว่าเราและตลาดคาด จากเงินลงทุน (FVTPL) มากกว่าคาด แต่เราไม่ชอบเรื่องคุณภาพสินทรัพย์ ทั้งค่าใช้จ่ายสำรอง (credit cost) ปรับเพิ่มขึ้นแรงที่ 153 bps. มากกว่าเราคาดที่ 127 bps. และ NPL Ratio ปรับเพิ่มแรงที่ 3.20% มากกว่าเราคาดที่ 3.10% เพราะความแข็งแกร่งของลูกค้าลดลง ตามความไม่แน่นอนในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ภาพรวมกำไรเพิ่มขึ้น +5% y-y และ +12% q-q เพราะการเพิ่มขึ้นของรายได้รวม และการลดลงของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) ภาพรวม BBL เราคงมองว่ามีความเพียงพอของสำรองต่อพอร์ตสูงสุดในกลุ่มธนาคาร เห็นได้จาก Coverage Ratio คงระดับสูงที่ราว 280%

• GFPT (Buy, TP15.1): มุมมอง Positive ต่อ GFPT สำหรับแนวโน้มกำไรสุทธิ 2Q24F คาดที่ 534 ลบ. (+53%y-y, +15%q-q) ปัจจัยหนุนจาก i) คาดปริมาณการส่งออกไก่เพิ่มขึ้น y-y, q-q โดยเฉพาะ UK, EU และญี่ปุ่น ii) คาด GPM ดีขึ้น y-y, q-q จากต้นทุนวัตถุดิบลดลงและปริมาณการไก่ส่งออกเพิ่มขึ้น iii) คาดส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วม McKey และ GFN เพิ่มขึ้น y-y, q-q สำหรับแนวโน้ม 3Q24F คาดกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น y-y, q-q เพราะเป็น High season ของการส่งออก แนวโน้ม GPM เพิ่มขึ้น y-y จากฐานต่ำ และคาดส่วนแบ่งกำไรจาก McKey และ GFN ฟื้นตัวดีต่อเนื่อง ทั้งนี้ คาดกำไรสุทธิ 1H24F ที่ 1,000 ลบ. (+55%y-y) คิดเป็นสัดส่วน 58% ของประมาณการปัจจุบันปี 24F ที่ 1,723 ลบ. (+25%y-y) โดยมีแนวโน้มปรับประมาณการขึ้นหลังการประชุมนักวิเคราะห์ ปัจจุบัน คงคำแนะนำ Buy TP24F 15.10 บ.

 

3Q24F Equity Outlook : The strong get stronger, the weak get less weak

Stock Best Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA

Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

1200 แตก By: แม่มดน้อย

แม่ดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ และแล้ว ดัชนีตลาดหุ้นไทย ก็แตก 1,200 จุด ด้วยพ่อใหญ่อย่าง DELTA แม่ใหญ่ AOT เป็นหัวหอก....

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้