"THB Strenghten Play"
KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "Up" ต้าน 1330/1341 จุด รับ 1315/1310 จุด ดัชนี DJIA +1.85% ทำ All time High Russell 2000 (Mid-Small Cap) +3.5% เป็น Sector Rotation ที่สะท้อนภาพ Search for Yield ที่เริ่มเร่งขึ้น หลังตลาดเชื่อมั่นวงจรดอกเบี้ยสหรัฐเดินหน้าสู่ขาลง เป็นจิตวิทยาบวกต่อ SET ที่ยัง Laggard YTD -6.7% แต่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ล่าสุด IMF ปรับเพิ่ม GDP ไทยปี 24-25 ขึ้นสู่ 2.9% และ 3.1% (เดิม 2.7% และ 2.9%) โดยคง GDP โลกปี 2024 ที่ 3.2% (แต่เพิ่มปี 2025 เป็น 3.3%) หลักๆ ปรับเพิ่มจีนขึ้น +0.4% ,ยุโรปขึ้น +0.1% กลุ่มที่ปรับลง คือ สหรัฐฯ -0.1% และซาอุ -0.9% นอกจากนี้การประกาศปรับโครงสร้าง GULF+INTUCH ควบรวมเป็นบริษัทใหม่ (NewCo) จะขึ้นมาเป็นบริษัทครบเครื่องโครงสร้างพื้นฐานไฟฟ้า+สื่อสาร+ดิจิทัล มีศักยภาพต่อยอดมาก โดยรวมจะหนุนหุ้นในกลุ่มตอบรับบวกในเชิงความสัมพันธ์ (GULF, INTUCH, ADVANC, THCOM) หนุน SET กลุ่มเด่นวันนี้ คือ กลุ่ม Yield ผ่านพีค (โดยเฉพาะกลุ่มได้ประโยชน์เงินบาทแข็งค่าหลุดแนวรับ 36.0 บาทในฝั่งโรงไฟฟ้า) ค้าปลีก ไฟแนนซ์ หุ้นเติบโตสูง และหุ้นในกลุ่ม GULF แนะ GULF, GPSC, BGRIM เด่น
Daily outlook: "Up" ต้าน 1330/1341 จุด รับ 1315/1310 จุด
What happened around the world ?
•(*/+) US Stocks : ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดบวกหนุนจากคาดการณ์ว่า Fed จะลดดอกเบี้ยในเดือนก.ย. โอกาส 100% โดย Dow Jones +1.85%d-dทำ All Time High, S&P500 +0.64%, Nasdaq +0.20%และ ยังเห็น Allocation หุ้นขนาดกลาง-เล็ก Russell 2000 +3.50% ทำ New High โดยดัชนี S&P Sector กลุ่มที่ปรับขึ้นหลักคือกลุ่ม Industrials, Materials, Consumer discretionaryฯลฯ Sector ที่ปรับลงหลักๆคือ IT, ICT ฯลฯ โดยหุ้นที่เคลื่อนไหวเด่น อาทิ Microsoft - 1% หลังหน่วยงานกำกับดูแลการแข่งขันทางการค้าของอังกฤษจะสอบสวนการลงทุนของ Microsoft ใน Inflection AI, กลุ่มชิปปรับลง Micron -2% Nvidia, AMD – 1.3% จิตวิทยาลบระยะสั้นต่อกลุ่มอิเล็ก
•(*) US Econ : ยอดค้าปลีกสหรัฐ มิ.ย. ออกมา 0% ดีตลาดคาด -0.2%m-m vs prev. +0.1%m-m และ +2.3%y-y (ขยายตัว 10 หมวดจาก 13 หมวด หลักคือกลุ่มสินค้า E-Commerce, Electronics & Appliance) เช่นเดียวกับ Retail Sales ex Auto and Gas (+3.8%y-y และ +0.8%m-m ขยายตัวมากสุดในรอบ 17 เดือน โดยรวมย้ำภาพเศรษฐกิจสหรัฐเป็น Soft landing
• (*/+) Fed : คุณ Adriana Kugler Fed Governor (Voter) ให้สัมภาษณ์โทน Dovish เผยการลดอัตราดอกเบี้ย "ในช่วงปลายปีนี้" อาจมีความเหมาะสมหากเงินเฟ้อยังคงชะลอตัวควบคู่ไปกับตลาดแรงงานที่ลดความร้อนแรงลง
• (*/-) Chine Politburo meeting 15- 17 ก.ค. การประชุม Politburo ล่าสุดประธานาธิบดีจีน เผยจะไม่มีการการเปลี่ยนนโยบายเศรษฐกิจของแต่ละประเทศอย่างใด แม้จะมีความท้าทายทางเศรษฐกิจ มองเป็น Sligthly negative เล็กน้อยจากก่อนหน้าคาดจะมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม
•(*/+) World GDP: กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คงอัตราการขยายตัวของ GDP ปี 2024 ที่ 3.2%y-yเท่าเดิม (หลักๆ คือ สหรัฐปรับลงเล็กน้อย 0.1% เหลือ 2.6%y-y , ญี่ปุ่นปรับลง 0.2% เหลือ 0.7%, ยุโรปปรับขึ้น 0.1% คาด 0.9%y-y แต่ประเทศที่ปรับขึ้นเด่น คือ จีนปรับขึ้น 0.4% เป็น 5% เท่ากับเป้าที่รัฐบาลตั้งไว้ และอินเดียปรับขึ้น 0.2% เป็น 7% ส่วนไทยปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ปี2024 ขึ้น 0.2% เป็น 2.9%y-y สูงกว่าค่าเฉลี่ย Consensus ที่ 2.5% VS. Krungsri research คาด 2.4% ส่วน World GDP ปี 2025 ปรับขึ้นเป็น 3.3%y-y จากรอบ เม.ย.24 3.2% หลักๆมาจากการ Revised Up ของ GDP Growth จีน) KSS ประเมินสอดคล้องกับคำแนะนำ Asset allocation ที่ให้น้ำหนักการลงทุนหลักไปที่ จีน เอเชีย อินเดียและไทย แนะนำลงทุนกองทุนผ่าน KSS ifund เน้นกองทุหุ้นเอเซีย (KF-ORTFLEX, B-ASIA) จีน (KFCSI300 ,KFACHINA-A, MEGA10CHINA-A) กองทุนหุ้นไทย แนะนำ (KFDYNAMIC, ABSM, KT-HiDIV-A)
• (*) To monitor : ฝั่งจีน ลุ้นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ฝั่งยุโรป 18 ก.ค. ติดตามการประชุม ECB คาดยังคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ตามเดิม ฝั่งสหรัฐ, 17 ก.ค. ยอดผลผลิตภาคอุตสาหกรรม มิ.ย. ตลาดคาด +0.3%m-m vs prev. +0.9%m-m
• (*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐปรับลงและทำ new low อิง อายุ 2 ปี ปรับลงแรงราว -4 bps ที่ 4.40% (ต่ำสุดในรอบ 4 เดือน) และอายุ 10 ปี -6 bps ปิด 4.16%ต่ำสุดในรอบ 4 เดือน (มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า เน้น GULF กลุ่มการเงิน MTC, กลุ่ม ICT เน้น TRUE กลุ่มหนี้สูง CPALL, CPAXT ส่วน Dollar Index ระยะสั้นแข็งค่าเล็กน้อย 103.9 จุด
•(-) Oil : น้ำมันดิบ Brent -1.32%d-d ปิดที่ US$ 83.73/barrelน้ำมันดิบ West Texas -1.40%d-d ปิดที่ US$ 80.76/barrel แรงกดดันมาจาก GDP จีน 2Q24 ออกมาต่ำคาดช่วงต้นสัปดาห์ทำให้ตลาดกังวลจะกระทบต่อ Demand น้ำมัน เป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำ PTT, PTTEP
•(*/-) BDI : ดัชนีค่าระวางเรือ BDI -2.56%d-d , -2.75%wtd ปิดที่ 1942 จุด รับ GDP จีน 2Q24ออกมาต่ำคาด เป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นเรือเทกอง PSL, TTA
What happened in Thailand ?
• (*/-) SET: SET Index ปรับแกว่งกรอบแคบช่วงเช้า ก่อนบ่ายเริ่มปรับตัวมาปิด -6.12 จุด หรือ -0.46% ปิดที่ 1327.4 จุด กลุ่มถ่วง คือ กลุ่มพลังงาน (PTT, EA, PTTEP) EA ผลพ่วงเกี่ยวเนื่อง ก.ล.ต. กล่าวโทษผู้บริหาร PTT, PTTEP มาจากกระแสจิตวิทยาลบช่วงบ่าย 240 NGO เรียกร้องธนาคารไทยและ PTT หยุดเป็นเส้นทางการเงินให้รัฐบาลเมียนมาร์ กลุ่มค้าปลีก (CPAXT, CPALL) มองพักตัวหลังก่อนหน้า Outperform ตอบรับความคืบหน้านโยบาย Digital Wallet มาอย่างต่อเนื่อง กลุ่มหนุน คือ กลุ่มชิ้นส่วนฯ (DELTA) กลุ่มที่ Sentiment บวกกระแส AI และท่าที Dovish ขึ้นของประธาน Fed กลุ่มธนาคาร (BBL, KBANK, TTB) ฟื้นตัวหลังปรับลงตอบรับความเสี่ยงผลกระทบกรณี EA
• (*) Flow : เงินทุนต่างประเทศไหลออก ขายหุ้น -1.9 ล้านเหรียญฯ ขายพันธบัตร -41.3 ล้านเหรียญฯ TFEX Net Short -1,299 สัญญา เงินบาทแข็งค่าหลุดแนวรับ 36.0 +/- บาท
• (*/+) TH Tourism: นักท่องเที่ยวต่างชาติ 7-14 ก.ค. สัปดาห์ล่าสุด 7-14 ก.ค. อยู่ที่ 7.0 แสนราย ทรงตัว w-w หากอิงยอดผู้ใช้บริการเฉลี่ยรายวัน 1-14 ก.ค. จะคิดเป็น 1.0 แสนคนต่อวัน คิดเป็นราว 94% ของ Pre-COVID vs งวด 1H24 ที่ 88.4% ขณะที่คาดโมเมนตัมเดินหน้าต่อเนื่องนับจากกลาง ก.ค. 24 มาตรการฟรี วีซ่ากำลังมีผลช่วยต่อยอด ทั้งนี้ ยังต้องติดตามปัจจัยลบช่วงสั้นมีนักท่องเที่ยวเวียกนาม 6 รายถูกวางยาพิษเสียชีวิต อย่างไรก็ดี เหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในลักษณะที่ไม่ใช่วงกว้าง (เช่น กรณี กราดยิง) คาดผลกระทบจำกัด หากรัฐบาลคลี่คลายสาเหตุได้เร็ว โดยรวมยังคาดนักท่องเที่ยว ก.ค. 24 ไม่ต่ำกว่าที่ 3.1 ล้านคน ฟื้นตัว 13.3%m-m และใกล้เคียงค่าเฉลี่ยนักท่องเที่ยวรายเดือนช่วงฤดูกาล 1Q24 ทีมกลยุทธ์ KSS คงมุมมองนักท่องเที่ยวทั้งปี 2024F ไม่ต่ำกว่ากรอบ Consensus ประเมิน 35.5-36 ล้านคน เชิงกลยุทธ์เรามองบวกต่อทิศทางภาคท่องเที่ยวไทยระยะกลาง รอตั้งรับหุ้นท่องเที่ยว เน้น AOT, ERW, MINT ภาคบริการ เน้น CPALL, CPAXT
• (*) Cabinet: เรื่องหลักๆ จากการประชุม ครม. วานนี้ ได้แก่
1.) เห็นชอบผลการคัดเลือก BEM ชนะการประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม หลังจากนี้คาดเข้าสู่กระบวนการเซ็นสัญญามองบวกต่อ BEM และ CK
2.) อนุมัติ Soft Loan วงเงิน 1 แสนล้านบาท ซึ่งจะดำเนินการโดยธนาคารออมสิน เพื่อกระจายสินเชื่อปล่อยกู้ให้กับสถาบันการเงินต่างๆ เพื่อให้วงเงินกระจายไปในระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะ SMEs มองบวกกลุ่มธนาคารที่มีฐานลูกค้า SMEs สูงๆ อาทิ KBANK TTB และกลุ่มค้าปลีกอิงฐานราก อาทิ CPALL, CPAXT, DOHOME
3.) ครม. ยังไม่มีการพิจารณาเรื่องกองทุน ThaiESG หลักเกณฑ์ใหม่
• (*) NGO (Myanmmar): 240 NGO เรียกร้องธนาคารไทยและ PTT หยุดเป็นเส้นทางการเงินให้รัฐบาลเมียนมาร์ มองจิตวิทยาลบต่อกลุ่มธนาคารและกลุ่ม PTT ระยะสั้น มองรอหุ้นซึมซับประเด็นรบกวนช่วงสั้น ค่อยพิจารณาเข้าลงทุนใหม่ ส่วนกลุ่มธนาคาร แม้ประเด็นดังกล่าวสะท้อนในหุ้นก่อนหน้านี้ไปแล้ว แต่ระยะสั้นยังมี Overhang กรณีหนี้ EA มองหุ้นน่าสนใจ คือ หุ้นที่มีความเสี่ยงไปเกี่ยวข้อง EA ในสัดส่วนต่ำ อาทิ KTB TTB
• (*/+) GULF x INTUCH : GULF และ INTUCH แจ้งตลาดมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เพื่อพิจารณาธุรกรรมควบรวมกันเป็นบริษัทใหม่ (NewCo) รายละเอียดหลักๆ คือ
การแลกหุ้นบริษัทเดิมเป็น NewCo (GULF ในอัตราส่วน 1 เดิม ต่อ 1.02974 หุ้น NewCo, INTUCH 1หุ้นเดิม ต่อ 1.69335 หุ้น) โดย INTUCH จะจ่ายเงินปันผลพิเศษ 4.5 บาทต่อหุ้นก่อนการควบรวม
GULF และ SINGTEL จะทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์โดยสมัครใจแบบมีเงื่อนไขก่อนการทำคำเสนอซื้อ ADVANC หุ้นละ 216.3 บาท (vs ราคาปิด 220 บาท) ส่วน GULF จะทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์โดยสมัครใจแบบมีเงื่อนไข THCOM หุ้นละ 11 บาท (vs ราคาปิด 11.1 บาท)
INTUCH : เรามองบวกต่อดีลดังกล่าว i.) เงินปันผลพิเศษ 4.5 บาท (Yield 5.9%) ii.) โอกาสถือหุ้นใน NewCo ที่จะเป็นบริษัทที่มีศักยภาพธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานหลัก (โรงไฟฟ้า+สื่อสาร+ดิจิทัล) ที่ระยะสั้นมีศักยภาพสูงฝั่งธุรกิจ Data Center ซึ่งต้องใช้ไฟฟ้าสะอาด+โครงสร้างพื้นฐาน ICT ที่กระแสลงทุนในอาเซียนกำลังเร่ง ส่วนระยะยาวมีความพร้อมกับโอกาส Smart Grid (ระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ ที่นำเทคโนโลยีหลากหลายประเภทเข้ามาทำงานร่วมกัน โดยครอบคลุมตั้งแต่การประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยีเหล่านั้นตลอดทั้งห่วงโซ่ของระบบไฟฟ้า), ระบบ IOTs, Data Analytics และ Autonomous ในอนาคต
GULF : จากโอกาสเติบโตภายใต้ NewCo ดังกล่าวข้างต้น
ADVANC & THCOM : มองราคา Tender Offer จะช่วยจำกัด Downside ของราคาหุ้น ขณะที่ตลาดจะมองโอกาสผลบวกจากโครงสร้างใหม่
หุ้นอื่นๆ: NewCo ที่มีขนาดใหญ่คาดจะเข้าสู่ดัชนี SET50/100 แบบ Fasttrack ทำให้สุทธิกับ GULF และ INTUCH ที่ต้องออกจากดัชนี บวกกับ กรณี EA มีความเสี่ยงหลุดออกจากดัชนี SET50 มองบวกหุ้นที่มีโอกาสเข้าแทน 2 บริษัท คือ KCE, SAWAD ส่วน SET100 มองบวกหุ้นที่มีโอกาสเข้าแทน 2 บริษัท คือ COCOCO, KAMART และกลุ่มธนาคารที่มีจิตวิทยาบวกจากการเป๊นที่ปรึกษา (UBS+BLS) และแหล่งเงินทุนในดีลดังกล่าว โดยเฉพาะธนาคารขนาดใหญ่ อาทิ BBL ที่บริษัทแม่ BLS
• (*) TH Politic: วันนี้ (17 ก.ค.) ติดตามการนำร่างงบประมาณส่วนเพิ่มปี 2557 เข้าสภา หากเริ่มเดินหน้าได้จะเป็นภาพบวกต่อนโยบาย Digital Wallet และ กรณีศาลรัฐธรรมนูญนัดพิจารณาคดียุบพรรคก้าวไกล เรามองมีโอกาสกำหนดวินิจฉัย มองหากมีความชัดเจนจะเป็นจิตวิทยาบวกต่อตลาด ส่วนเรื่องหลักการเมือง เรายังแนะนำติดตาม 24 ก.ค. การพิจารณาคดีคุณสมบัตินายกฯ เพิ่มเติมของศาล
• (*/+) Short Sales: หลังจากมาตรการ Uptick Rule ตั้งแต่ 1 ก.ค. วานนี้ในส่วนจำนวนหุ้นที่มียอด Short คงค้างอยู่ที่ 403 บริษัท (vs วานนี้ 402 บริษัท) แม้พบว่าส่วนใหญ่ยอด Short เท่าเดิม +สัดส่วนกลุ่มถูก Short ลดลง มีจำนวนเพิ่มขึ้น โดยมีรายละเอียดดังนี้ โดยหุ้นที่ Short เท่าเดิมอยู่ที่ 247 บริษัท (วานนี้ 217 บริษัท) กลุ่มที่ลดลงจากวันทำการก่อนหน้าเพิ่มขึ้นเป็น 98 บริษัท (วานนี้ 135 บริษัท) ส่วนหุ้นที่ Short เพิ่มขึ้นมี 58 บริษัท (วานนี้ 50 บริษัท) มองจิตวิทยาบวกต่อ SET
• (*) To Monitor: 1.) 15-19 ก.ค. กำไรงวด 2Q24 กลุ่มธนาคาร มองบ่งชี้ทิศทางแนวโน้มกำไรตลาดช่วง 2Q24 นอกจากนี้ แนะนำติดตามแนวโน้มคุณภาพสินทรัพย์ ซึ่งจะบ่งชี้ทิศทางกลุ่มเช่าซื้อที่กำลังกังวลต่อประเด็นดังกล่าวชัดเจนขึ้น และ 2.) การทยอย Preview กำไรงวด 2Q24F กลุ่ม Real Sector จะออกมาเพิ่มขึ้น มองกลุ่มกำไรเด่น y-y, q-q อาทิ สื่อสาร (ADVANC, TRUE) ค้าปลีก (CPALL, CPAXT) เครื่องดื่ม (ICHI, OSP, SAPPE) ชิ้นส่วน (KCE) เกษตร (GFPT, CPF) ท่องเที่ยว (MINT) โรงไฟฟ้า (CKP, GULF, GPSC) ความงาม (MASTER, KLINIQ)
Daily Strategy : GULF, GPSC, BGRIM เด่น
ระยะสั้น วันนี้มองภาพตลาด "Up" ภาพต่างประเทศเป็นบวก ภาวะการณ์ Search for Yield ยังชัดเจน และเป็นลักษณะ Rotation ไปยังกลุ่มที่ยัง Laggard ขณะที่ IMF ปรับเพิ่ม GDP ไทยปี 2024-25 มองสัญญาณบวกต่อมุมมองนักลงทุนต่างชาติ ผสาน หุ้นในกลุ่ม GULF จัดโครงสร้างใหม่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพดีขึ้น มองหุ้นนำ 1) กลุ่ม Yield ผ่านพีค อาทิ โรงไฟฟ้า, หนี้สูง, High Growth (Mid Small) 2) หุ้นในกลุ่ม GULF
หุ้นได้ประโยชน์ภาคผลิตโลกผ่านจุดต่ำสุด + เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวหนุนอุตสาหกรรมทยอยเข้าสู่ Upgrade Cycle (HANA, KCE)
กลุ่มภาคผลิตไทย PMI ภาคผลิตไทยอยู่ในระดับขยายตัวต่อเนื่อง 2 เดือนหนุน (GFPT, TU, CBG, OSP, ICHI, SAPPE IVL, STA, NER)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรการท่องเที่ยวชุดใหญ่ของรัฐฯ หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (CPALL, ICHI, AOT, MINT, ERW)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, GPSC, CPALL, TRUE, MINT, WARRIX, MTC, MOSHI, KLINIQ)
กลุ่มได้ประโยชน์ Microsoft ลงทุน Data Center ในไทย (ADVANC, TRUE, INSET, GULF, WHA)
• JULY24 Best Picks: TRUE, CPAXT, GULF, KCE, WHA, MINT, OSP
• 3Q24Stock Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP
Tactical & Investment Idea
Research Highlight
• Strategy Update : US Election (The first debate)
Debate รอบแรก Biden และ Trump ประเด็นที่หยิบยกขึ้นมา คือ ประเด็นการทำแท้ง, ผู้อพยพต่างชาติและผู้ก่อการร้าย และชายแดนสหรัฐ-เม็กซิโก US-Mexico Broader ฯลฯ ทั้งนี้ ประเด็นทางเศรษฐกิจสำคัญไม่ได้ลงรายละเอียดมาก Trump พูดเน้นเดินหน้าไปที่การลดการขาดดุลค้าและเน้นการขึ้นภาษีกับประเทศอื่นๆ ฯลฯ Biden เน้นประเด็นการขึ้นภาษีผู้ที่มีรายได้สูงและมหาเศรษฐี
กลยุทธ์ KSS ประเมินแนวโนบายคล้ายกับในอดีตยังไม่มีประเด็นใหม่ และยังเหลือระยะเวลาพอสมควรก่อนการ Debate รอบถัดไป 10 ก.ย. 24 รายละเอียดนโยบายต่างๆหรือนโยบายสร้างจุดเปลี่ยนจึงยังสามารถเกิดขึ้นได้เพิ่มเติม ทำให้ยังมีความไม่แน่นอนจากประเด็นการเลือกตั้งใหญ่สหรัฐฯ กอปรกับ เศรษฐกิจสหรัฐฯที่เริ่มอ่อนลง และ Valuation สหรัฐฯที่ตึงตัว ประเมินงวด 3Q24 ก่อนเลือกตั้งตลาดหุ้นสหรัฐฯมีโอกาสเคลื่อนไหวในกรอบรอความชัดเจน
ส่วนกระแสเชิงบวกต่อหุ้นต่างๆ เราคาดตลาดให้น้ำหนัก ดังนี้ การเดินหน้าสงครามการค้าและเทคโนโลยีกับจีน ทำให้ยังคงมุมมองบวกกระแสในประเด็นดังกล่าวก่อนการเลือกตั้ง จะหนุนตลาดเก็งหุ้นกลุ่มนิคมในระยะกลาง – ยาว เน้น WHA กลุ่มส่งออกชิ้นส่วน เน้น KCE, HANA อาหาร เน้น CPF, GFPT ทั้งนี้ หาก Trump ชนะการเลือกตั้งมองหุ้นที่ได้ผลประโยชน์บวกจากเศรษฐกิจสหรัฐดีขึ้น อาทิ จากมาตรการลด Corporate Tax บวกต่อ IVL PTTGC ระยะสั้นก่อนจะเห็นภาพว่าผู้สมัครจะมีโอกาสชนะเลือกตั้งสูง ยังให้เน้นกลุ่มที่เกาะกระแสนโยบายทั้งสองฝ่ายในส่วนสงครามการค้าและเทคโนโลยี เน้น WHA, KCE, HANA, CPF, GFPT
• Strategy Update : ThaiESG 2024 ต่อ SET Index
รัฐบาลมีแผนปรับเงื่อนไขสิทธิประโยชน์จากกองทุนลดหย่อนภาษี ThaiESG ใหม่ โดยปรับเงื่อนไขให้สิทธิซื้อเพิ่มลดหย่อนภาษีได้เพิ่มขึ้นทั้งเม็ดเงิน และสัดส่วนเทียบกับฐานรายได้ ผสาน ระยะเวลาลงทุนสั้นลง KSS คาดว่าฐานเม็ดเงินที่เข้าสู่กองทุน ThaiESG รอบนี้ จะสูงราว 7.8 หมื่นล้านบาทต่อปี ขณะที่ SET ณ ปัจจุบัน ยังอยู่ใน Value Zone น่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนเชิงบวกตลาดหุ้นไทยนับจากนี้.
เชิงกลยุทธ์ : โดยรวม KSS ประเมินเป็น "บวก" ต่อตลาดหุ้นไทยคล้ายสมัยมาตรการลดหย่อนภาษีผ่านกองทุน LTF ในอดีต เนื่องจากเป็นการเสริมสภาพคล่องของเงินลงทุนระยะยาวในประเทศให้กลับมาแข็งแรงขึ้น กลยุทธ์แนะลงทุนในหุ้นใน SETESG ที่มีคุณสมบัติราคาลงแรงกว่า SET -6.6%YTD ได้แก่ BTS SCC, CRC, IVL, PTTGC, CPN, BBL, HMPRO และกลุ่มที่มีน้ำหนัก (Weight) ใน ESG สูง ได้แก่ GULF AOT, MTC, CPALL, GPSC
• Strategy Update : Time to Invest
ทีมกลยุทธ์ออกรายงาน Strategy Update "Time to invest" มอง SET Index โซนปัจจุบันให้ Current ERP ที่ 3.6% เป็นโซนลงทุน และมองใกล้ระดับจุดกลับตัว มองหุ้นน่าลงทุน 1) กลุ่มให้ Dividend สูง 2) กลุ่มที่ Underperform และมีส่วนลดทางพื้นฐานสูง
Key Ideas:
• SET Index ในปี 2024 ยัง "Underperform" ตลาดหุ้นโลกต่อเนื่องจากปี 2023 โดย YTD ปรับตัวลดลง -8.6% โดยการปรับตัวลดลงเร่งขึ้นในระยะหลังจากปัญหาความไม่ชัดเจนการเมือง
• อิงกลไก Equity Risk Premium (ERP) คือ ส่วนต่างผลตอบแทนระหว่าง Earnings Yield และ Bond Yield อิงระดับ Current EPS ปัจจุบันที่ราว 83 บาทต่อหุ้น และ Forward EPS ที่ 92 บาท ที่ระดับ Index โซน 1350-1300 จุด ถือเป็นจุดน่าสนใจสำหรับการวางสถานะลงทุนระยะกลาง-ยาว อิงระดับดัชนีปัจจุบัน Current และ Forward ERP นั้นสูงในระดับ 3.6%-4.22% สูงกว่า Avg 3.09% ขณะที่หาก Current ERP สูงเกินกว่าระดับ + 1 S.D. (4.09%) vs ปัจจุบันอยู่ที่ 3.6% ใกล้ระดับ +1 S.D. ที่เป็นจุดกลับตัวของตลาด
• จากการศึกษา Back test ย้อนหลัง 20 ปี พบว่า Current ERP แตะระดับดังกล่าว 7 ครั้งในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา พบว่า SET จะกลับมาให้ผลตอบแทนเป็นบวกเฉลี่ยทุกครั้งในระยะกลาง กล่าวคือ จากนั้น 3 เดือน 6 เดือน 9 เดือน และ 1 ปี SET ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 0.7%, 4.4% 9.9% และ 20.6% ด้วยความน่าจะเป็น 57%, 43%, 72% และ 86% ตามลำดับ
• มุมมองเม็ดเงินลงทุนระยะสั้นนักลงทุนต่างชาติ รอบล่าสุดที่เข้ามาคือ เริ่มตั้งแต่ช่วง เม.ย. 21 ซึ่งซื้อสะสมรวมถึงจุดสูงสุดช่วงราว มี.ค. 23 ด้วยเม็ดเงินรวม 2.85 แสนล้านบาท ขณะที่หลังจากนั้นเป็นการขายต่อเนื่องถึงปัจจุบัน นับถึงวานนี้ พบว่า เม็ดเงินดังกล่าวไหลออกจาก SET ไปกว่า 3แสนล้านบาทแล้ว บ่งชี้แรงขาย ของนักลงทุนต่างชาติจากจุดนี้น่าจะลดลงเป็นลำดับ
• มาตรการ Uptick ใกล้มีผล เดือน กค 2024 น่าจะลดความผันผวนฝั่ง "Short Sell" ได้บ้าง
กลยุทธ์ คำแนะนำสำหรับผู้ลงทุนระยะกลาง-ยาว ทยอยสะสมหุ้นในจุดที่มี Margin of Safety สูง ใน 2 Theme เด่น
1.) Dividend Plays ที่ธุรกิจมีความมั่นคง ให้ผลตอบแทน Div. Yield มากกว่าปีละ 4% (vs Policy Rate 2.5%) ได้แก่ SCB AP ICHI PTT BBL INTUCH ADVANC HMPRO BJC WHA TU
2.) หุ้นในกลุ่มที่ Underperform กว่าตลาด (SET YTD ปรับตัวลดลง -8.6%) แต่พื้นฐานระยะกลาง-ยาวยังแข็งแกร่ง Valuation มีส่วนลด PBV24F ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย >20% ได้แก่ BTS IVL LH HMPRO KCE PTTGC GPSC HANA GULF
• INTUCH (Buy, TP98): The amalgamation between INTUCH and GULF was announced via share swap. We recommend INTUCH's investors to swap their shares to the newCo. By holding the newCo, investors not only earns larger earnings and asset base but also offers the more diversification to its earnings from energy and ICT. We also see some rooms for the share price to re-rate as the minimum level that INTUCH should trade before completion of amalgamation is Bt80.5.
• CENTEL (Buy, TP47): We maintain a BUY rating with a target price Bt47 due to i) Expect strong core profit growth in 2Q24F (+173% yoy, -67% qoq) driven by a growth in hotel unit especially Thailand and turnaround in Japan and cash cow for food business. ii) Recent 15% share price fallen over 12 months reflecting market concern about pre-opening expense for two new Maldives hotel in 2H24F and potential for increase room rate from 2024 onwards, Currently CENTEL trades at a 36x PER 2024F and would be lower to 29x in 2025F which is below its historical trading range.
• PTTGC (Neutral,TP32): มอง Negative ต่อแนวโน้ม 2H24F ที่จะมีผลขาดทุน ฉุดจากด้อยค่าฯ PTT Asahi และ Vencorex ราว -7,200 ลบ. แย่ลงทั้ง y-y h-h กลบภาพ core operation ที่พอฟื้นตัวได้ของฝั่งปิโตรเคมี เราปรับลดประมาณการ 2024-26F สะท้อนด้อยค่าฯดังกล่าว และการฟื้นตัวช้าของปิโตรเคมี ปรับ TP24F ลงเป็น 32 บาท/หุ้น (เดิม 39.5) และปรับคำแนะนำเป็น Neutral (เดิม Trading Buy) ยังไม่แนะนำให้เข้าลงทุน 2H24F ยังมี overhang ด้อยค่าฯ และความเสี่ยงจากสงครามการค้าฯ กลบภาพการฟื้นใน 2025-26F ที่ยังเป็นระดับต่ำ
3Q24F Equity Outlook : The strong get stronger, the weak get less weak
Stock Best Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA
Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP