Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.บัวหลวง : รอบด้านตลาดหุ้น

554

 

ภาพตลาดและแนวโน้ม
Market wrap & Outlook

แนวโน้มสินทรัพย์ต่างประเทศ อัพเดต Momentum Tracker แนวโน้มตลาดหุ้นโลกและทองคำ
“ไฮไลต์ในสัปดาห์ก่อน”
สัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนี MSCI All-Country World Equity ยังคงปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยปิดบวก 1.3% เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า (WoW) ในขณะเดียวกัน ดัชนี SET ของไทยก็ให้ผลตอบแทนที่ดีขึ้นติดต่อกันสองสัปดาห์ สามารถปิดบวกได้ 1.5% ในสัปดาห์ที่แล้ว
สำหรับพัฒนาการที่สำคัญอื่นๆในสัปดาห์ที่แล้วมีดังต่อไปนี้
1 เงินเฟ้อ Headline CPI สหรัฐ เดือน มิ.ย. รายงานที่ -0.1% MoM ติดลบเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือน พ.ค. 2020 และต่ำกว่าที่ consensus คาด โดยหมวด Shelter มีโมเมนตัมชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ จากค่าเฉลี่ย 0.44% MoM ใน 12 เดือนที่ผ่านมา เป็น 0.17% MoM ตามรายงานล่าสุด
2 ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐเดือน ก.ค. (University of Michigan Consumer Sentiment) ปรับตัวลดลงเป็นเดือนที่สี่ติดต่อกันสู่ 66 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน พ.ย. 2023 โดยผู้ตอบแบบสอบถามเกือบครึ่งนึงแสดงความกังวลต่อความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ จากการเลือกตั้งที่ใกล้เข้ามา
“ปัจจัยเศษฐกิจสำคัญที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้ ได้แก่”
วันจันทร์: (1) CN GDP Growth Rate (consensus คาดตัวเลข GDP จีน ไตรมาส 2 จะเติบโต 5.1% YoY ชะลอตัวลงจาก 5.3% ในไตรมาส 1), (2) CN Retail Sales (consensus คาดยอดค้าปลีกจีนเดือน มิ.ย. จะเติบโต 3.3% YoY ชะลอตัวลงจาก 3.7% ในเดือนก่อน)
วันอังคาร: US Retail Sales (consensus คาดตัวเลขค้าปลีกสหรัฐเดือน มิ.ย. จะ flat ที่ 0% MoM ซึ่งเป็นการชะลอตัวลงจาก 0.1% ในเดือนก่อนหน้า)
วันศุกร์: JP Core Inflation (consensus คาดเงินเฟ้อหลักญี่ปุ่นเดือน มิ.ย. จะเร่งตัวขึ้นเป็น 2.7% YoY จาก 2.5% ของเดือนก่อนหน้า)
“แนวโน้มของราคาสินทรัพย์ต่างๆในระยะสั้น”
1 ตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้วในสัปดาห์นี้มีแนวโน้มผันผวนขึ้น จากการเริ่มเข้าสู่ earnings season โดยจะมีการประกาศงบของบริษัทขนาดใหญ่หลายบริษัท เช่น Tesla, UnitedHealth Group, Johnson & Johnson, Netflix และ Bank of America เป็นต้น โดยในปัจจุบันตัวชี้วัด Momentum Tracker ได้ส่งสัญญาณ negative divergence จากโซน extremely overbought แล้ว ซึ่งอาจทำให้เกิดแรงขายที่มากกว่าปกติตามมาได้ หากงบออกมาน่าผิดหวัง เราจึงแนะนำให้ระมัดระวังการเทรดให้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับตลาดหุ้นสหรัฐซึ่งมี forward PE สูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีถึง 1.2 SD
2 Gold Spot ปรับตัวขึ้น 0.8% WoW ในสัปดาห์ที่แล้ว หนุนโดย Momentum Tracker ที่ปรับตัวดีขึ้น คาดว่าในระยะสั้นราคาทองคำยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปทดสอบโซน 2,450-2,500 เหรียญ อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก net speculative long position ในปัจจุบันอยู่ในระดับสูงถึง 191,600 สัญญา จึงแนะนำให้ใช้โอกาสนี้ในการทยอยขายทำกำไรมากกว่าการซื้อเพิ่ม
ส่วนเงิน (Silver) สัปดาห์ที่แล้วพักตัว -1.4% WoW หลังจากปรับตัวขึ้นแรงถึง 7% ในสัปดาห์ก่อนหน้า คาดว่าในระยะสั้นราคาจะปรับตัวขึ้นไปทดสอบแนวต้านสำคัญที่ 33 เหรียญ ซึ่งหากฝ่าไปได้ก็จะเปิดโอกาสให้ขึ้นไปทดสอบ best-case target ของเราที่โซน 37-40 เหรียญ ในไตรมาส 3 นี้ อย่างไรก็ตามแนะนำให้ใช้ตำแหน่ง 28.5 เหรียญเป็นตำแหน่ง stop loss เนื่องจากหลายๆสินทรัพย์อาจผันผวนขึ้นในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้านี้จากภาวะการตึงตัวของ Momentum Tracker
3 ราคาน้ำมัน WTI ค่อนข้างผันผวนในสัปดาห์ที่แล้ว โดยปรับตัวลง 2% WoW สำหรับแนวโน้มระยะสั้นคาดว่าราคาจะฟื้นตัว หลังผ่านวงจรการพักตัวใน 1-2 สัปดาห์ข้างหน้านี้แล้ว โดยราคามีโอกาสปรับตัวขึ้นไปทดสอบระดับ 85-87 เหรียญในไตรมาส 3 นี้ หนุนจากปัจจัยฤดูกาล
4 พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีมีแรงซื้อเข้ามาหลังการมีรายงานตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐออกมาต่ำกว่าคาด ทำให้ยีลด์ปิดต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย ema200 วัน เรายังคงแนะนำให้ทยอยสะสมสินทรัพย์ดังกล่าว เนื่องจากมองเห็นโอกาสที่ราคาจะปรับตัวสูงขึ้นในภาพระยะกลาง โดยเราคาดว่าเฟดจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือน ก.ย. รวม 3 ครั้งในปีนี้ และอีก 2 ครั้งในปีหน้า

สรุปภาพตลาดวานนี้
SET ยังยืนได้ ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเป็นแรงซื้อหุ้นใหญ่แบบกระจายกลุ่มหลักอีกครั้ง ทั้ง GULF CPAXT MINT OR INTUCH CRC BH BEM ส่วนแรงขายก็สังเหตุเห็นการ Rotate จาก DELTA SCC BDMS CPALL BBL เป็นต้น รวมทั้งหุ้นเป้าหมาย Cover short อย่าง AWC AOT ก็ยังบวกต่อ นอกจากนี้ หุ้นกลาง-เล็กสายซิ่งหลาย บจ. แรงส่งยังดี เช่น CFARM MONO

แนวโน้มตลาดวันนี้
แนวโน้มงบ 2Q จะเป็นตัวตัดสินหุ้นรายตัว
เราเริ่มสังเกตุว่าประเด็นภาพรวมในประเทศ เช่น ข่าวการเมืองคดีถอดถอนนายกฯ ศาลนัดประชุมอีกครั้ง 24 ก.ค., ความคืบหน้าดิจิตอลวอลเล็ต-ลดวงเงินลงเหลือ 4.5 แสนล้านบาท ดูจะไม่ได้มีอิทธิพล บวกหรือลบ ต่อราคาหุ้นไทยเหมือนเมื่อก่อน ด้านผลลัพธ์จากมาตรการที่ ตลท.เริ่มใช้ เช่น Uptick short sell หวังผลต่อเสถียรภาพของราคาหุ้น พบว่าเริ่มเห็นผลในทางที่ดีขึ้น (และยังต้องติดตามกันต่อไป) และเราจะเห็นว่าโมเมนตั้มราคาหุ้นไทย ที่สะท้อนต่อประเด็นมหภาคต่างๆ ไม่ได้ไปในทิศทางเดียวกันเกือบทั้งหมด แต่ดูเหมือนการ Preview งบไตรมาส 2 จะมีผลต่อราคาหุ้นรายตัวมากกว่า เช่น
1 ราคาหุ้นขึ้น แล้วขึ้นต่อ ในกลุ่มที่มีการปรับเพิ่มมุมมองเชิงบวก ต่อคาดการณ์ผลการดำเนินงาน อย่าง CPF TU TRUE ADVANC INTUCH
2 ราคาหุ้นซึมลง ในกลุ่มที่มีการปรับลดมุมมอง เช่น SCGP
3 ราคาหุ้นเริ่มไม่ลง ไม่สนใจ กับการปรับลดมุมมอง เช่น HMPRO DOHOME GLOBAL ในทางตรงข้ามหุ้นบางตัวก็ไม่ได้ปรับขึ้น แม้จะมีการปรับเพิ่มมุมมองเชิงบวก หลังจากประชุมนักวิเคราะห์เพื่อ Preview งบ เช่น CBG OSP PLANB
นับจากจำนวนหุ้นข้างต้นที่ราคาหุ้นสนองบวก/ลบ กับการ Preview เทียบกับการ Preview งบในรอบก่อนๆ พบว่าอยู่ในสถานการณ์ที่ดีขึ้น ทำให้เราจะเริ่มหันมาเน้นกลยุทธ์ในช่วงที่งบ 2Q ทยอยประกาศ ไปที่ หุ้นรายตัวที่มีโอกาสจะได้เห็น Consensus ปรับมุมมองงบ ที่เป็นบวกมากขึ้น โดยราคาหุ้นอาจไม่จำเป็นต้องอยู่ข้างล่าง เช่น TTB KTB CBG GULF เป็นต้น
เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ข่าวกรณี ก.ล.ต. กล่าวโทษกรรมการและผู้บริหาร EA กับพวก กรณีทุจริต อาจจะส่งผลต่อ Sentiment ลบต่อภาพรวมตลาดในวันนี้ โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารที่เป็นเจ้าหนี้ อาจจะทำให้ นลท. กังวลประเด็นการจัดชั้นลูกหนี้ และ/หรือการตั้งสำรองก้อนใหญ่กลับมาอีกครั้ง และจับตาการออกหุ้นกู้เพื่อ Roll-over (อย่างไรก็ดี แนะติดตามการแถลงทิศทางของ EA)

ส่วนปัจจัยการเมืองในต่างประเทศคาดประเด็นการลอบสังหารทรัมป์ จะสร้างความผันผวนให้ตลาด US เป็นหลัก ในระยะสั้น 1-3 วันทำการแรก และเป็น Sentiment เชิงลบต่อตลาดอื่นๆ (แต่คาดไม่ได้สูงและนานมาก)

กลยุทธ์การลงทุน
กลยุทธ์แนะนำ เลือกหุ้นเล่นเป็นรายตัว เริ่มโฟกัสไปข้างหน้า เน้นไปที่แนวโน้มผลการดำเนินงานที่จะมีโอกาสถูกปรับเพิ่มประมาณการณ์ หรือ มองเห็นปัจจัยหนุนชัดเจนที่จะเข้ามาเกื้อหนุนต่อผลการดำเนินงานหลังจากนี้

วิเคราะห์ทางเทคนิค
ภาพรายสัปดาห์ SET ปิดสวย ปิด high เขียวเต็มแท่ง ภายหลังพบสัญญาณเตือนรูปแบบกลับตัว divergence (ลูกใหญ่) ตามมาด้วยภาพ “Hammer” ล่าสุดจับตารูปแบบ “Bullish Engulfing” ส่งผลให้แนวโน้มสัปดาห์นี้ลุ้นไปต่อ….เป้าหมายรายเดือน base case 1,340 จุด....โอกาสทดสอบได้ไม่ยาก ส่วนเป้าฯใหญ่ bull case 1,370 จุด….เริ่มมีลุ้นบ้างแล้ว
Note: หัวข้ออื่นๆกลุ่มโรงไฟฟ้าเขียวขึ้นแรงเพราะเหตุใด / สแกนหุ้นธนาคาร ก่อนประกาศงบไตรมาส 2…


What to watch
ไทม์ไลน์คดี การเมือง: ศาลฯนัดพิจารณาประชุมคดีถอดถอนนายก ครั้งต่อไป 24 ก.ค.
ประชุม ครม.เศรษฐกิจ เพื่อหาแนวทาง แก้หนี้ครัวเรือน 15 ก.ค., นายกฯแถลงความคืบหน้าดิจิตอลวอลเล็ต 24 ก.ค.
งบการเงินกลุ่มธนาคาร พฤ. นี้ BBL และที่เหลือออกวันศุกร์นี้
ตลท. - ก.ล.ต. เร่งหารือเปิดเผยข้อมูลกรณีผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ถูกบังคับขายหุ้น (ฟอร์ซเซล) ให้ถี่ขึ้น จากปัจจุบันเดือนละครั้ง
ก.ล.ต. กล่าวโทษกรรมการและผู้บริหาร EA กับพวก รวม 3 ราย ต่อ DSI กรณีทุจริต พร้อมส่งเรื่องต่อ ปปง. // เบื้องต้นกระทบ Sentiment ลบกลุ่มธนาคาร จากความกังวลต่อการจัดชั้นลูกหนี้ และการตั้งสำรองฯ (รายละเอียดตัวเลขใน Quick take กุ่มธนาคาร)
การเรียกความเชื่อมั่นต่อ CG ของ บจ. หลังมีข่าวกรณีการทุจริตบาง บจ.
ประเด็นข่าวการเมืองในต่างประเทศ หลังศึกการเลือกตั้งสหรัฐฯ เริ่มมีความร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ

หุ้นแนะนำวันนี้
INTUCH หุ้นแนวโน้มผลประกอบการ 2Q24 ทิศทางดีตาม ADVANC และยังมีปันผลกลางปีให้เล่นดักธีมหุ้นปันผล รวมทั้งเป็นกลุ่มหุ้นใหญ่ที่น่าจะเป็นเป้าหมายกองทุนวายุภักษ์-TESG ได้ด้วย (S 74 R 77 SL 72)

 

รายงานพื้นฐานวันนี้

Asset Allocationปรับน้ำหนักพอร์ตการลงทุน
เราเชื่อว่าแนวโน้มทางเศรษฐกิจของสหรัฐมีแนวโน้มออกมาแย่กว่าที่ตลาดคิดในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้า เนื่องจาก negative feedback loop จากการใช้นโยบายทางการเงินที่เข้มงวดติดต่อกันเป็นเวลานานในวัฏจักรเศรษฐกิจช่วงปลาย จะส่งผลให้เกิดวงจรป้อนกลับเชิงลบ ซึ่งจะไปลดการใช้จ่ายของผู้บริโภคและลดการลงทุนของภาคเอกชนในที่สุด และกระทบต่อ GDP ในที่สุด เราแนะนำให้ทยอยปรับลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐลง โดยในปัจจุบัน แม้ว่าจะยังไม่เห็นสัญญาณของการปรับประมาณการกำไรลง แต่ความคาดหวังของ consensus ที่สูงจนเกินไป อาจทำให้เกิด negative surprise และ downward revision ได้ง่ายขึ้นในฤดูประกาศงบที่กำลังจะเริ่มขึ้นนี้ ประกอบกับปัจจุบัน S&P500 มี valuation ที่ตึงตัวมากที่ forward PE 23.2 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีถึง +1.2SD ทำให้ดัชนีมี downside risk มากขึ้น จากความแพงดังกล่าว

Quant Portfolio
อัพเดทพอร์ตการลงทุน
พอร์ตการลงทุนของเราให้ผลตอบแทน 1.1% นับจากวันที่เราออกบทวิเคราะห์ฉบับล่าสุดในวันที่ 9 ก.ค. ซึ่งต่ำกว่าผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยซึ่งอยู่ที่ 1.3% เล็กน้อย ในบทวิเคราะห์ฉบับนี้เรามีการปรับหุ้นในพอร์ต โดยถอดหุ้น DETA และ ICHI ออกจากพอร์ต เพิ่ม BGRIM เข้ามาในพอร์ต และเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้น BCP COCOCO CPAXT MINT OSP และ TU

Utilities

ข่าวการปรับขึ้นค่า Ft น่าตื่นเต้นแค่ไหน
จากรายงานข่าวว่า กกพ. กำลังพิจารณาที่จะเพิ่มค่าไฟเดือน ก.ย.-ธ.ค. ขึ้นไปอยู่ในช่วง 4.65-6.01 บาท/หน่วย โดยเหตุผลหลักๆ จากประเด็นค่า LNG ขึ้น นำสู่การปรับประมาณการ Pool gas ของ PTT รวมทั้งความต้องการเคลียร์ภาระที่ กฟผ. แบกรับแทนไว้ ให้จบโดยเร็ว โดยทาง กกพ. เสนอ 3 ทางเลือก คือ
1) ค่าไฟ 6.01 บาท/หน่วย เพื่อเคลียร์ภาระใน 4 เดือน (มองว่าเป็นไปได้ยาก),
2) ค่าไฟที่ 4.92 บาท เพื่อเคลียร์ใน 12 เดือน และ
3) ค่าไฟที่ 4.65 บาท เพื่อเคลียร์ใน 24 เดือน
โดยเรามองว่าตัวเลขสุดท้ายที่น่าจะมีความเป็นไปได้สูง คือ 4.40 บาท เนื่องจากไม่ถือเป็นการปรับเพิ่มแบบรุนแรงเกินไป และมีการชดเชยภาระจากฝั่ง EGAT (แต่อาจจะยังไม่ได้ factor ประเด็นที่ PTT มีการตรึงราคาก๊าซในช่วง ก.ย.-ธ.ค. 2023) ซึ่งหากพิจารณาประกอบกับการปรับคาดการณ์ราคาก๊าซของ PTT การปรับขึ้นค่าไฟดังกล่าว ไม่ได้ส่งผลให้มี upside ต่อคาดการณ์กำไร BGRIM และ GPSC ของเราอย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ตาม หากค่าไฟปรับไปอยู่ที่ 4.65 บาท (ตัวเลือกที่ราคาต่ำที่สุดของ กกพ.) ก็จะเป็น Upside กับประมาณการกำไรหลัก BGRIM และ GPSC ในปี 2024 ของเรา ราว 6% และ 11% ตามลำดับ (แต่หากคงไว้ที่ 4.18 บาท เป็น Downside 5% ทั้งคู่)
สำหรับปี 2025 เราไม่คิดว่าจะมี Upside ต่อประมาณการกำไรของ SPP ด้วยเหตุผลว่าราคาก๊าซและค่าไฟจะถูกปรับให้สอดคล้องกะน ทำให้ส่วนต่างระหว่างต้นทุนแก๊สกับค่าไฟ (margin) ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
Fundamental view: ดังนั้น เรายังคงมองว่าประเด็นนี้เป็นเชิงบวกต่อการเก็งกำไรระยะสั้นให้กับกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP เท่านั้น (ระยะยาวยังมองโทนกลางเหมือนเดิม)


Home Construction Retails
กำไร DOHOME และ GLOBAL ฟื้นตัว
คาดการณ์กำไรหลัก 2Q24 ของ DOHOME และ GLOBAL จะเห็นการฟื้นตัว โดย DOHOME น่าจะ ฟื้นตัวแรงกว่า
DOHOME: คาดกำไรหลักอยู่ที่ 192 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 388% YoY (ลดลง 21% YoY ตามฤดูกาล) ปัจจัยหนุนจาก GM ขยายตัว (แม้ SSS ติดลบ 7%) และเห็นการฟื้นตัวของลูกค้าอิงงบประมาณฯ ภาพรวม 1H24 คาดคิดเป็น 61% ของประมาณการกำไรทั้งปี สอดคล้องกับรู้แบบปกติของ DOHOME (แม้ว่าเราคาดการณ์ว่าครึ่งปีหลังของปี 2024 จะแข็งแกร่ง)
GLOBAL: คาดกำไรหลักอยู่ที่ 718 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% YoY (ลดลง 1% YoY ตามฤดูกาล) ปัจจัยหนุนจากยอดขายและ GM ขยายตัว แม้ SSS ยังติดลบ 2.5% แต่ได้ยอดขายสาขาใหม่เข้ามาช่วย ส่วน GM ขยายตัวจากการจัดโปรโมชั่นแบรนด์ตนเองน้อยลง ภาพรวม 1H24 เราคาดว่ากำไรหลักจะคิดเป็น 51% ของประมาณการทั้งปี 2024 (ต่ำกว่าสัดส่วนของค่าเฉลี่ยปกติที่ 55%)
Fundamental view: ดังนั้น เรามองว่า DOHOME น่าสนใจกว่า GLOBAL เนื่องจากคาดว่ากำไรจะฟื้นตัวได้โดดเด่นมากกว่า จึงคงคำแนะนำซื้อเก็งกำไร DOHOME

SCC
ปูนซิเมนต์ไทย
แนวโน้มกำไรหลัก 2Q24 ดีขึ้น QoQ
เราคาดการณ์กำไรหลัก 2Q24 ที่ 3,759 ล้านบาท ลดลง 47% YoY แต่เติบโต 156% QoQ หนุนจาก 1) ธุรกิจเคมีฯ และ Packaging และ 2) รายได้เงินปันผลรับ ส่วนค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่มกรณีไฟไหม้แทงค์ที่มาบตาพุด คาดว่าผลกระทบจะจำกัด ส่วนธุรกิจซีเมนต์ยังคงมีแรงกดดัน
แนวโน้ม 2H24 คาดว่าจะเห็นการกลับมาขยายตัว YoY ของอุปสงค์กลุ่มซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างใน 3Q24 นอกจากนี้ ปกติไตรมาส 3 จะเป็น High season ของกลุ่มเคมีฯ และ Packaging ด้วย และปีนี้คาดว่าแรกดดันต้นทุนจะลดลง ทำให้ภาพรวมเราคาดกำไรหลัก 3Q24 จะเติบโต YoY และ QoQ
Fundamental View: ยังคงให้คำแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 315 บาท

THCOM
ไทยคม
Carbon Credit เติมพลังให้กับกำไรในระยะยาว
เราคาดกำไรหลัก 2Q24 ที่ 37 ล้านบาท ลดลง 39% YoY (รายได้ดาวเทียม และบอร์ดแบรนด์ในมาเลเซียน้อยลง) แต่เพิ่มขึ้น 215% QoQ จากค่าใช้ต่ายที่ลดลง (ใน 1Q24 มีค่าที่ปรึกษาด้านกฏหมาย) รวมทั้งส่วนแบ่งขาดทุนลดลง อย่างไรก็ตาม จากค่าเงินกีบที่ผ่อนตัวลง เรานำมา Fine-tune กำไรหลักปี 2024 ลง 34% เป็น 158 ล้านบาท (ลดลง 27% YoY) อย่างไรก็ตาม ในช่วง 3Q24 จะมีปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้นจากใบอนุญาตในอินเดียคืบหน้า (คาดลงนามได้ช่วง 4Q24) และจะช่วยให้กำไรหลักปี 2025 กลับมาเติบโตได้ 81% YoY หลังจากรวมประเด็นนี้เข้าไป
สวนประเด็นระยะยาวมีเรื่อง Carbon Credit เข้ามาเพิ่ม โดยจะอยู่ที่แม่ฟ้าหลวงฯ จำนวน 2.9 แสนไร่ ผ่านการให้บริการแพลตฟอร์ม “CarbonWatch” ที่มีระบบ AI ช่วยตรวจสอบและจัดการ หนุนกำไรในระยะยาวราว 1% อย่างไรก็ตาม ยังมี Upside หากได้ตรวจสอบพื้นที่ป่าอื่นๆในภาคเหนือเพิ่มเติมในอนาคต ซึ่งมีทั้งหมดราวๆ 3 ล้านไร่
Fundamental View: เราคงคำแนะนำซื้อ ปรับราคาเป้าหมายใหม่ลงเป็น 16 บาท (เดิม 16.70 บาท) ตามการปรับลดประมาณการกำไรดังกล่าวข้างต้น

 


KCG
(Visit Note)
เคซีจี คอร์ปอเรชั่น
คาดกำไร 2Q24 จะหนุนด้วยอัตรากำไรขั้นต้น
แม้ว่าไตรมาส 2 จะเป็น low earnings season ของปี แต่เราคาดการณ์ว่ากำไรหลัก 2Q24 จะออกมาดีกว่าที่เราได้เคยประเมินไว้ โดยล่าสุดเราคาดกำไรหลัก 2Q24 ที่ 80 ล้านบาท เติบโต 58% YoY และลดลง 7% YoY (ตามปัจจัยฤดูกาล) เทียบกับการคาดการณ์เดิมของเราที่ 73 ล้านบาท หรือดีกว่าที่เคยคาด 10% โดยปัจจัยที่ดีกว่าที่เคยประเมินไว้คืออัตรากำไรขั้นต้น (GM) ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับปรุงประสิทธิภาพกระบวนการผลิตและการยกเลิกสินค้าที่มีผลประกอบการไม่ดีออกไป สำหรับการขยายกำลังการผลิตยังคงเป็นไปตามแผนงาน
การขยายกำลังการผลิตสินค้าประเภทเนย จาก 18,600 ตัน เป็น 23,200 ตัน หรือเพิ่ม 25% นั้นเป็นไปตามแผนงาน ที่จะมีการเปิดให้บริการในต้นปีหน้า ซึ่งเราคาดว่ารายได้จากสินค้าเนยคิดเป็นรายได้ 25% ของรายได้รวมปี 2024 และด้วยเทคโนโลยีสายการผลิตใหม่จะทำให้ระบบอัตโนมัติในการผลิตเนยเพิ่มจาก 50% เป็น 63% ในปี 2025
Bloomberg consensus ประมาณการกำไรปี 2024 ที่ 374 ล้านบาท และ Dividend yield 3.5% ต่อปี ปัจจุบัน KCG เทรด PE2024 ที่ 14 เท่า ทั้งนี้ จากการคาดการณ์กำไรสุทธิ 2Q24 ที่เราประเมินดังกล่าว ทำให้เราคาดว่าประมาณการของตลาดจะมี upside



รายงานผลประกอบการวันนี้

TISCO
ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป
TISCO รายงานกำไรสุทธิ 2Q24 อยู่ที่ 1.7 พันล้านบาท ลดลง 6% YoY และทรงตัว QoQ เป็นไปตามที่เราและตลาดคาด โดยเราเห็นปัจจัยกดดันจากคุณภาพสินทรัพย์ที่อ่อนแอลง สะท้อนจาก Credit cost แย่กว่าที่เราคาดไว้ และ NPLs เพิ่มขึ้นในกลุ่มสินเชื่อเช่าซื้อและจำนำทะเบียน ส่วนปัจจัยบวกหลักๆ มาจากกำไรจากเครื่องมือทางการเงินและรายได้ธุรกิจวาณิชธนกิจเพิ่มขึ้น
เราคาดกำไรสุทธิ 3Q24 จะลดลง YoY (credit cost สูงขึ้น) และทรงตัว QoQ (สินเชื่อเติบโตแต่จะถูกชดเชยด้วย NIM ลดลง) นอกจากนี้ ยังคาดแนวโน้มกำไรสุทธิปี 2024 ให้ลดลง 7% YoY และลดลงต่อเนื่องอีก 4% YoY ในปี 2025 เราจึงยังแนะนำขาย


สรุปประเด็นจาก Quick take

TISCO
ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป
ประเด็นสำคัญจากการประชุมนักวิเคราะห์
TISCO ประเมินแนวโน้มธุรกิจใน 2H24 จะทรงตัวใกล้เคียง 2Q24 (ฟื้นตัวล่าช้า)
View From Fundamental: เรามีมุมมองเป็นลบเล็กน้อย จากแนวโน้มธุรกิจที่ยังฟื้นตัวล่าช้า และ ทิศทาง credit cost จะเร่งตัวขึ้น YoY ใน 2H24-2025 จึงยังแนะนำขาย

 

วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ Tel. (662) 618-1336
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน/ปัจจัยทางเทคนิค
นภนต์ ใจแสน นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน
ภูวดล ภูสอดเงิน, AISA นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

วันขาย By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ ขายเมื่อมีข่าวดี วันนี้ วันขาย ท่ามตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้น ตอบรับข่าวดี สหรัฐกับจีน ....

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้