Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.กรุงศรี พัฒนสิน : KSS Daily Strategy

621

 


"Peaking Yield Play"

 

KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "Up" ต้าน 1335/1340 จุด รับ 1316/1312 จุด ดัชนี S&P500 ทำ All time high ทะลุ 5600 จุด กลุ่มเทคฯนำดัชนี หลัง TSMC รายงานยอดขาย 2Q24 ดีกว่าคาด ผสานราคาน้ำมัน WTI +0.85% จากแรงหนุน OPEC ปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจโลกและน้ำมัน ผสาน Stock น้ำมันดิบสหรัฐฯลดกว่าคาด บวกต่อ SET ที่มีสัดส่วนหุ้นพลังงานต้นน้ำ (10-11% มูลค่าตลาด) ส่วนวันนี้ติดตามรายงานเงินเฟ้อ มิ.ย. 24 สหรัฐ ตลาดคาดที่ระดับ Core CPI +3.4%y-y +0.2%m-m เท่า prev. ขณะที่ Top Rank Economists คาดต่ำกว่านั้นเล็กๆ อาจมี Positive Surprise หนุนวงจรนโยบายการเงินผ่อนคลายของสหรัฐฯใกล้เข้ามา ส่วนภายในการเร่งนโยบายการคลัง เป็นหนุนหลัก ทั้ง Digital Wallet มีข้อสรุปเบื้องต้นแล้ว แม้เม็ดเงินรวมลดลงเหลือ 4.5แสนล้านบาท แต่จะผลักดันได้ไว + กระทบวินัยการคลังน้อยลง อีกทั้ง Long Term Fund ภายใน ใกล้เข้ามาหนุนตลาด ThaiESG เข้า ครม. 16 ก.ค., วายุภักษ์ คลังคาดมีผล ต.ค. 24 หนุน SET ขึ้นต่อ แนะนำ Big Cap ในกลุ่มได้ประโยชน์ Yield ลดลง (โรงไฟฟ้า ชิ้นส่วนฯ เช่าซื้อ หนี้สูง High Growth) วันนี้แนะ GULF, DELTA, HANA

 

Daily outlook: "Up" ต้าน 1335/1340 จุด รับ 1316/1312 จุด

What happened around the world ?

•(*) US Stocks : ตลาดหุ้นสหรัฐปรับขึ้นทั้ง 3 ดัชนีก่อนตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐที่จะประกาศคืนวันพฤหัสบดี อิง Dow jones 1.1% ,S&P500 +1.02% All time high , Nasdaq +1.18% All time high โดยดัชนี S&P Sector ปรับขึ้นทุก Sector โดยกลุ่มที่ปรับขึ้นหลักคือกลุ่ม IT, Materials, Health care, Utilitiesฯลฯ โดยหุ้นที่ปรับขึ้น/ลงเด่นๆ คือ AMD+3.8%, NVIDIA +2.6%

•(*) US GDP : Fed Atlanta ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP Now 2Q24 เป็น +2%q-q (จากก่อนหน้า +1.55%) หลักๆเป็นการปรับเพิ่มจากฝั่งการบริโภคครัวเรือน (C) ขึ้น 29 bps แต่

• (*/-) China CPI : จีนรายงาน 1.) เงินเฟ้อ CPI เดือน มิ.ย. 67 +0.2%y-y prev. 0.3%y-y แต่ยังอยู่ในโซนบวก 5 เดือนติดต่อกัน หนุนโดยสินค้ากลุ่มเครื่องแต่งกาย 1.7%y-y และการบริการด้านสุขภาพที่ 1.5%y-y ตามลำดับ 2.)ดัชนี PPI หดตัวน้อย -0.8%y-y, prev. -1.4%y-y หดตัวเดือนที่ 20 ติดต่อกัน ผลกระทบจาก Demand ในต่างประเทศที่ชะลอตัว เป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นที่ link อยู่กับเศรษฐกิจจีน (Packaging, ปิโตรฯ ) อย่างไรก็ตามมองระยะกลาง – ยาว ประเมินหุ้นที่ link จีนและกองทุนที่ลงทุนในหุ้นจีนยังน่าสนใจ เพราะคาดหวัง Upside เชิงบวกต่อสัปดาห์หน้าจีนจะมีการประชุม Third Plenum มุ่งให้น้ำหนักทางด้านเศรษฐกิจจึงเป็นไปได้ที่จะเห็นการออกมาตการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ อาทิ การกระตุ้นอสังหา การผ่อนคลายความเข้มงวดกฎระเบียบรัฐ และมาตรการกระตุ้นการอุปโภค บริโภค แนะนำลงทุนผ่าน KSS Ifund เน้นกอง KFCSI300-A (CSI300 ETF) KFACHINA-A (Active A-Shares), KF-CHINA (H-Shares ETF)

• (*/-) Japan : แม้ดัชนี Nikkei จะปรับขึ้นทำ All time high ปิดที่ 41,831 จุด หนุนจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และ Bond Yield ญี่ปุ่น VS. ประเทศพัฒนาแล้ว อาทิ สหรัฐ ที่ยังกว้าง แต่อย่างไรก็ตาม KSS ประเมินยังคงมองเป็นกลางต่อการลงทุนหุ้นญี่ปุ่น เพราะ แนวโน้มนโยบายการเงินที่จะกลับมาตึงตัวสวนทางประเทศอื่นๆ ล่าสุเมื่อวานธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เผยรายละเอียดการประชุมกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับตลาดตราสารหนี้ (Bond Market Participants) พบว่ามีโอกาสลดการซื้อพันธบัตรรัฐบาล(JGB) เร็วและมากขึ้นในช่วงถัดไป ณ. ปัจจุบัน BOJ ซื้อ JGB ในระดับ 4 ล้านล้านเยน/เดือน จากการประชุมอยากให้ลดอัตราการซื้อ JGB ลงสู่ระดับ 2 – 3 ล้านล้านเยนต่อเดือน ทำให้ยังแนะนำทยอยลดน้ำหนักการลงทุนไปตลาดหุ้นเอเซีย จีน และไทยที่ Valuation น่าสนใจ

• (*/-) SAMSUNG : สหภาพแรงงาน SAMSUNG ออกแถลงการณ์ พนักงานขอขยายเวลาหยุดงานประท้วงค่าจ้างและสวัสดิการออกไปอย่างไม่มีกำหนด นักวิเคราะห์ KSS ประเมินผลกระทบจำกัด หากมีข้อสรุปและกลับมาทำงานได้ภายใน 10 วัน ซึ่งน่าจะเป็นช่วงเวลาที่ผู้ประกอบการแต่ละรายมีวัตถุดิบและสินค้าที่ใช้ในซัพพลาย เชนเพียงพอ แต่นานกว่านั้นจะเริ่มสร้างความเสี่ยงต่อกลุ่มชิ้นส่วน เรามองจิตวิทยาลบต่อหุ้นในกลุ่มชิ้นส่วนฯ

• (*) Loans : Bloomberg รายงานสปป ลาว รัฐบาลขอเลื่อนการจ่ายหนี้ออกไปเป็นครั้งที่ 3 มูลค่ารวม 1.9 พันล้านเหรียญฯ หรือ 6.9หมื่นล้านบาท เหตุผลจากเงินกีบอ่อนค่าต่อเนื่องหรือราว 5.9%นับตั้งแต่ต้นปี ytd ทำมูลค่าหนี้ต่างประเทศ (สัดส่วนราว 59%) ที่อยู่ในสกุลดอลลาร์เพิ่มสูงขึ้น เบื้องต้นประเมินผลกระทบจำกัดต่อบริษัทจดทะเบียนไทยที่ทำธุรกิจเชื่อมลาว อาทิ CKP มองเป็นเพียงจิตวิทยาลบระยะสั้น ยังแนะนำลงทุน CKP (TPBt4.50) งบ 2Q24 แกร่ง และมีจิตวิทยาบวกปริมาณฝนที่สูงขึ้น

• (*) US Bond Yields & Dollar : ตลาดพันธบัตรของสหรัฐยังแกว่งตัวรอตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐ US Bond yield 2 ปี แกว่งตัวปิดที่ 4.624% และอายุ 10 ปี ปิด 4.28% ส่วน Dollar Index ระยะสั้นแนวโน้มระยะสั้นยังแกว่งตัวแข็งค่า ล่าสุดบริเวณ 104.7+/- จุด

• (*) To monitor : 11 ก.ค. จีน- ยอดปล่อยสินเชื่อใหม่เดือน มิ.ย., สหรัฐ ตัวเลขเงินเฟ้อ CPI เดือน มิ.ย. 12 ก.ค. ให้น้ำหนัก Core CPI ตลาดคาด +0.2%m-m เท่ากับ Economist Top ranks, จีนรายงาน Export/Import เดือน มิ.ย.

•(*/+) Oil : น้ำมันดิบ Brent +0.50%d-dปิดที่ US$ 85.08/barrel น้ำมันดิบ West Texas +0.85%d-d ปิดที่ US$ 82.1/barrel

What happened in Thailand ?

• (*/+) SET: SET Index ปรับตัวขึ้น +3.36 จุด หรือ +0.25% ปิดที่ 1323.28 จุด กลุ่มหนุน คือ กลุ่มขนส่ง (AOT) ฟื้นตัวตามสัญญาณภาคท่องเที่ยวที่เร่งขึ้น นักท่องเที่ยวเฉลี่ยรายวัน 1-7 ก.ค. สูงใกล้เคียงช่วงฤดูกาล 1Q24 กลุ่มพลังงาน (GULF, GPSC) โรงไฟฟ้าเป็นกลุ่มนำ มองหนุนจากกระแสข่าว กกพ. เตรียมสรุปอัตราค่าไฟฟ้า งวด ก.ย. - ธ.ค. 24 ใหม่เพิ่มขึ้น 20-40 สตางค์จากอัตราเดิม ผสาน จิตวิทยาบวก Bond Yield ทั้งไทยและสหรัฐฯปรับลงต่อเนื่อง และเงินบาทเคลื่อนไหวแข็งค่า กลุ่มถ่วง คือ กลุ่มธนาคาร (SCB, TTB, KTB) มองจิตวิทยาลบจากวงจรดอกเบี้ยสหรัฐฯ ใกล้เข้าสู่ขาลง กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม (ITC, TFG, OSP, SAPPE) มองเป็นการสลับจากกลุ่มที่ Outperform ไปยังกับกลุ่มที่ Underperform และ จิตวิทยาลบเงินบาทแข็งค่า

• (*/+) Flow : เงินทุนต่างประเทศไหลเข้า ขายหุ้น -56.2 ล้านเหรียญฯ ซื้อพันธบัตร +86.1 ล้านเหรียญฯ TFEX Net Long 15,292 สัญญา เงินบาทแข็งค่าทรงตัวอยู่ที่ 36.3 +/- บาท

• (*/+) TH Bond Yield: ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 10ปี (TH Bond Yield) เช้านี้ปรับตัวลดลงเหลือ 2.61% ปรับลดลงต่อเนื่อง สอดคล้องกับทุกช่วงอายุ โดยในส่วนของ 10ปีเป็นการปรับลงหลังทำจุดสูงสุดรอบนี้ 2.83% ช่วงปลายเดือน พ.ค. และเป็นจุดต่ำสุดตั้งแต่ เม.ย. 24 มองบวกต่อการลงทุนใน SET หากอิงตามกลไก Equity Risk Premium (ERP) ที่จะถ่างกว้างขึ้น มองบวกต่อกลุ่มได้ประโยชน์ Yield พีค อาทิ โรงไฟฟ้า อาทิ GULF BGRIM เช่าซื้อ อาทิ MTC หนี้สูง อาทิ MINT TRUE CPALL CPAXT กลุ่ม Technology อาทิ KCE HANA BBIK BE8

• (+) ThaiESG: รมว.คลังคาดนำเรื่อง กองทุน ThaiESG ที่มีการปรับหลักเกณฑ์ใหม่ เสนอเข้า ครม. สัปดาห์หน้า (16 ก.ค.) เรามองบวกต่อความคืบหน้าดังกล่าว โดยประเมินเม็ดเงินที่เข้ามาช่วงที่เหลือของปีเฉลี่ยเกินเดือนละ 5.0-6.0 พันล้านบาท มองบวกต่อหุ้นที่มีน้ำหนักใน ThaiESG สูง > 1.5% และยังมียอด Short ต่อทุนชำระแล้ว มากกว่า 0.5% มีโอกาสเคลื่อนไหวเด่นขึ้น ADVANC (5.2%, 0.19%) PTT (น้ำหนักใน ThaiESG 5.1%, ยอด Short 0.37%) CPALL (5.1%, 0.75%) AOT (5.0%, 0.84%) PTTEP (4.9%, 0.83%) GULF (5.0%, 0.4%) BDMS (4.3%, 0.26%) SCB (3.7%, 0.65%) KBANK (3.1%, 0.59%) SCC (2.8%, 0.64%) BBL(2.65%, 0.76%) CPN(2.6%, 0.51%) KTB (2.49%, 0.48%) INTUCH (2.45%, 0.41%) CPF (2.1%, 0.42%) OR(2.0%, 0.63%) CRC(1.96%, 0.96%) TTB (1.78%, 0.55%) MINT (1.7%, 1.1%)

•(*/+) Vayupak Fund: รมว.คลัง กล่าวถึงความคืบหน้าการจัดตั้งกองทุนเพื่อดึงเม็ดเงินลงทุนใหม่เข้าสู่ตลาดทุนไทยว่า กระทรวงการคลัง ได้พิจารณาแล้วว่าจะใช้กองทุนเดิมที่มีอยู่เดิม คือ กองทุนวายุภักษ์ 1 และ 2 แทนการจัดตั้งกองทุนขึ้นใหม่ ทั้งนี้ จะเพิ่มเงินในกองทุนอีกประมาณ 1-1.5 แสนล้าบบาท โดยคาดว่าภายในเดือน ต.ค.นี้ จะสามารถเริ่มดำเนินการได้ มองจิตวิทยาบวกต่อหุ้นที่กองทุนถือสัดส่วนสูงในปัจจุบัน อาทิ PTT, AOT, SCB, KTB, TTB, ADVANC, BSRC ทั้งนี้ เชิงกลยุทธ์ แนะนำ เน้น AOT ที่ราคาหุ้นพักฐาน ขณะที่ภาคท่องเที่ยวเริ่มฟื้นเร่ง TTB คาดกำไร 2Q24F เด่นสุดในกลุ่มธนาคาร ADVANC อุตสาหกรรมอยู่ในรอบ Upcycle และใกล้ประกาศจ่ายเงินปันผลกลางปี

• (*/+) TH Politic: พัฒนาการการเมืองวานนี้ เรามองเป็นบวกอ่อนๆ 1) ศาล รธน.ยังไม่วินิจฉัยคดีคุณสมบัตินายกฯ นัดพิจารณาต่อ 24 ก.ค.รอข้อมูลเพิ่มเติม แม้ยังไม่มีความชัดเจน แต่ไม่เหนือกว่าตลาดคาดไว้ในปัจจุบัน คือ ไม่เกิน ก.ย. ขณะเดียวกันทำให้ร่างงบประมาณส่วนเพิ่มปี 2024 ที่มีกำหนดเข้าพิจารณาสภา 17 ก.ค. เดินหน้าต่อได้ ทำให้เข้าข่ายกรณีเดียวกับงบประมาณปี 2025 ที่ปัจจุบันผ่านการพิจารณาวาระที่ 1 แล้ว โดยรวมจุดดี คือ หากไม่มีเหตุให้สภายุติ ความต่อเนื่องงบประมาณจะเกิดขึ้นได้ 2) กกต.ประกาศรับรอง 200 สว. พร้อมบัญชีสำรอง 100 คนแล้ว มองจิตวิทยาบวกต่อ SET ที่ประเด็นการเมืองที่เป็นประเด็นรบกวนมีความชัดเจนเพิ่มขึ้นอีกด้าน

•(*) Digital Wallet: คณะอนุกรรมการนโยบาย Digital Wallet มีข้อสรุปเพิ่มเติมเกี่ยวกับนโยบาย ดังนี้

ตัดลดงบ 5แสนลบ. เหลือ 4.5แสนลบ. (ภายใต้สมมติฐานอัตราส่วนผู้ใช้สิทธิ์ในโครงการราว 90% ของกลุ่มคนที่มีสิทธิ์ 50 ล้านคน) และไม่ใช้งบจากธกส. ใช้งบประมาณปี 2567-2568 เพียงพอ มองลดความเสี่ยงอาจทำให้นโยบายดังกล่าวเดินหน้าต่อไม่ได้
เพิ่มกลุ่มสินค้าที่ห้ามนำเงินดิจิตอลไปใช้สิทธิ์ในกลุ่มสินค้านำเข้า เครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ มือถือ ข้อดี คือ คาดว่าจะเห็นกำลังซื้อไปยังสินค้าจำเป็น ได้ต่อเนื่อง มองจิตวิทยาลบต่อ หุ้นในกลุ่มค้าปลีกมือถือ COM7, JMART, SPVI, CPW
หลังจากนี้ ติดตามความชัดเจนเพิ่มเติมในวันที่ 15 ก.ค. ที่จะมีการประชุมคณะกรรมการชุดใหญ่ 24 ก.ค. การแถลงถึงนโยบายดังกล่าวของนายกฯ และ 30 ก.ค. จะเป็นวันที่นำเรื่องเข้า ครม. พิจารณา ผลบวกโครงการดังกล่าวที่ยังไม่รวมในประมาณการตลาดและกำไรกลุ่ม Domestic ที่ได้ประโยชน์ อาทิ ค้าปลีก (CPALL, CPAXT, BJC, DOHOME, TNP) เครื่องดื่ม (OSP, CBG, ICHI) เช่าซื้อ (MTC, JMT) ธนาคาร (KBANK, BBL, SCB) ขณะที่รายละเอียดที่เปลี่ยนใหม่น่าจะช่วยผลักดันนโยบายได้ไว+กระทบวินัยการคลังน้อยลง อย่างไรก็ดี เม็ดเงินที่ลดลงทำให้เป็นลบอ่อนๆ เทียบกับความคาดหวังตลาดเดิม ขณะที่ในส่วนผลบวกต่อ GDP ภายใต้เม็ดเงินดังกล่าว นักเศรษฐศาสตร์ KSS ประเมินจะเป็น Upside ต่อ GDP งวด 4Q24และปี 2025 ราว 0.6% (ช่วงเวลาใดเท่าไรอยู่ที่วันที่นโยบายมีผล)

• (*) Short Sales: หลังจากมาตรการ Uptick Rule ตั้งแต่ 1 ก.ค. วานนี้ในส่วนจำนวนหุ้นที่มียอด Short คงค้างอยู่ที่ 403 บริษัท (vs วานนี้ 402 บริษัท) พบว่า ส่วนใหญ่ยอด Short เท่าเดิม หุ้นที่ Short เท่าเดิมอยู่ที่ 291 บริษัท (วานนี้ 268 บริษัท) กลุ่มที่ลดลงจากวันทำการก่อนหน้าลดลงเหลือ 26 บริษัท (วานนี้ 70 บริษัท) ส่วนหุ้นที่ Short เพิ่มขึ้นมี 86 บริษัท (วานนี้ 64 บริษัท)

• (*) To Monitor: 1.) การทยอย Preview กำไรงวด 2Q24F กลุ่ม Real Sector จะออกมาเพิ่มขึ้น มองกลุ่มกำไรเด่น y-y, q-q อาทิ สื่อสาร (ADVANC, TRUE) ค้าปลีก (CPALL, CPAXT) เครื่องดื่ม (ICHI, OSP, SAPPE) ชิ้นส่วน (KCE) เกษตร (GFPT, CPF) ท่องเที่ยว (MINT) โรงไฟฟ้า (CKP, GULF, GPSC) ความงาม (MASTER, KLINIQ) 2.) 15 ก.ค. ประชุม ครม. เศรษฐกิจ หารือในเรื่องแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน

 

 

Daily Strategy : GULF, DELTA, HANA เด่น

ระยะสั้น วันนี้มองภาพตลาด "Up" มองจิตวิทยาบวก US Bond Yield ที่แกว่งทรงตัวลง และมีโอกาสที่เงินเฟ้อ CPI สร้าง Negative Surprise จำกัด จากมุมมองที่ตลาดคาด Core CPI ไว้ค่อนข้างระมัดระวัง ส่วนภายใน มีจุดหนุน คือ ความชัดเจนกรอบเวลาที่เม็ดเงินใหม่ๆ จะเข้าหนุนตลาด อาทิ กองทุน ThaiESG ใหม่จะเสนอ ครม. สัปดาห์หน้า ส่วนกองทุนวายุภักษ์ คาดมีผล ต.ค. 24 หุ้นนำมอง 1) กลุ่มที่ Yield ผ่านพีค อาทิ โรงไฟฟ้า เช่าซื้อ หนี้สูง High Growth 3 2) กลุ่มอิงกระแสเทคโนโลยี อาทิ ชิ้นส่วน สื่อสาร Digital Tech Consult 3) กลุ่มความชัดเจน Digital Wallet หนุน อาทิ ค้าปลีก เครื่องดื่ม เช่าซื้อ

 

หุ้นได้ประโยชน์ภาคผลิตโลกผ่านจุดต่ำสุด + เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวหนุนอุตสาหกรรมทยอยเข้าสู่ Upgrade Cycle (HANA, KCE)
กลุ่มภาคผลิตไทย PMI ภาคผลิตไทยอยู่ในระดับขยายตัวต่อเนื่อง 2 เดือนหนุน (GFPT, TU, CBG, OSP, ICHI, SAPPE IVL, STA, NER)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรการท่องเที่ยวชุดใหญ่ของรัฐฯ หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (CPALL, ICHI, AOT, MINT, ERW)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, GPSC, CPALL, TRUE, MINT, WARRIX, MTC, MOSHI, KLINIQ)
กลุ่มได้ประโยชน์ Microsoft ลงทุน Data Center ในไทย (ADVANC, TRUE, INSET, GULF, WHA)

• JULY24 Best Picks: TRUE, CPAXT, GULF, KCE, WHA, MINT, OSP

• 3Q24Stock Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP

 

Tactical & Investment Idea

 

Research Highlight

 

• Strategy Update : US Election (The first debate)

Debate รอบแรก Biden และ Trump ประเด็นที่หยิบยกขึ้นมา คือ ประเด็นการทำแท้ง, ผู้อพยพต่างชาติและผู้ก่อการร้าย และชายแดนสหรัฐ-เม็กซิโก US-Mexico Broader ฯลฯ ทั้งนี้ ประเด็นทางเศรษฐกิจสำคัญไม่ได้ลงรายละเอียดมาก Trump พูดเน้นเดินหน้าไปที่การลดการขาดดุลค้าและเน้นการขึ้นภาษีกับประเทศอื่นๆ ฯลฯ Biden เน้นประเด็นการขึ้นภาษีผู้ที่มีรายได้สูงและมหาเศรษฐี

กลยุทธ์ KSS ประเมินแนวโนบายคล้ายกับในอดีตยังไม่มีประเด็นใหม่ และยังเหลือระยะเวลาพอสมควรก่อนการ Debate รอบถัดไป 10 ก.ย. 24 รายละเอียดนโยบายต่างๆหรือนโยบายสร้างจุดเปลี่ยนจึงยังสามารถเกิดขึ้นได้เพิ่มเติม ทำให้ยังมีความไม่แน่นอนจากประเด็นการเลือกตั้งใหญ่สหรัฐฯ กอปรกับ เศรษฐกิจสหรัฐฯที่เริ่มอ่อนลง และ Valuation สหรัฐฯที่ตึงตัว ประเมินงวด 3Q24 ก่อนเลือกตั้งตลาดหุ้นสหรัฐฯมีโอกาสเคลื่อนไหวในกรอบรอความชัดเจน

ส่วนกระแสเชิงบวกต่อหุ้นต่างๆ เราคาดตลาดให้น้ำหนัก ดังนี้ การเดินหน้าสงครามการค้าและเทคโนโลยีกับจีน ทำให้ยังคงมุมมองบวกกระแสในประเด็นดังกล่าวก่อนการเลือกตั้ง จะหนุนตลาดเก็งหุ้นกลุ่มนิคมในระยะกลาง – ยาว เน้น WHA กลุ่มส่งออกชิ้นส่วน เน้น KCE, HANA อาหาร เน้น CPF, GFPT ทั้งนี้ หาก Trump ชนะการเลือกตั้งมองหุ้นที่ได้ผลประโยชน์บวกจากเศรษฐกิจสหรัฐดีขึ้น อาทิ จากมาตรการลด Corporate Tax บวกต่อ IVL PTTGC ระยะสั้นก่อนจะเห็นภาพว่าผู้สมัครจะมีโอกาสชนะเลือกตั้งสูง ยังให้เน้นกลุ่มที่เกาะกระแสนโยบายทั้งสองฝ่ายในส่วนสงครามการค้าและเทคโนโลยี เน้น WHA, KCE, HANA, CPF, GFPT

• Strategy Update : ThaiESG 2024 ต่อ SET Index

รัฐบาลมีแผนปรับเงื่อนไขสิทธิประโยชน์จากกองทุนลดหย่อนภาษี ThaiESG ใหม่ โดยปรับเงื่อนไขให้สิทธิซื้อเพิ่มลดหย่อนภาษีได้เพิ่มขึ้นทั้งเม็ดเงิน และสัดส่วนเทียบกับฐานรายได้ ผสาน ระยะเวลาลงทุนสั้นลง KSS คาดว่าฐานเม็ดเงินที่เข้าสู่กองทุน ThaiESG รอบนี้ จะสูงราว 7.8 หมื่นล้านบาทต่อปี ขณะที่ SET ณ ปัจจุบัน ยังอยู่ใน Value Zone น่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนเชิงบวกตลาดหุ้นไทยนับจากนี้.

เชิงกลยุทธ์ : โดยรวม KSS ประเมินเป็น "บวก" ต่อตลาดหุ้นไทยคล้ายสมัยมาตรการลดหย่อนภาษีผ่านกองทุน LTF ในอดีต เนื่องจากเป็นการเสริมสภาพคล่องของเงินลงทุนระยะยาวในประเทศให้กลับมาแข็งแรงขึ้น กลยุทธ์แนะลงทุนในหุ้นใน SETESG ที่มีคุณสมบัติราคาลงแรงกว่า SET -6.6%YTD ได้แก่ BTS SCC, CRC, IVL, PTTGC, CPN, BBL, HMPRO และกลุ่มที่มีน้ำหนัก (Weight) ใน ESG สูง ได้แก่ GULF AOT, MTC, CPALL, GPSC

• Strategy Update : Time to Invest

ทีมกลยุทธ์ออกรายงาน Strategy Update "Time to invest" มอง SET Index โซนปัจจุบันให้ Current ERP ที่ 3.6% เป็นโซนลงทุน และมองใกล้ระดับจุดกลับตัว มองหุ้นน่าลงทุน 1) กลุ่มให้ Dividend สูง 2) กลุ่มที่ Underperform และมีส่วนลดทางพื้นฐานสูง

Key Ideas:

• SET Index ในปี 2024 ยัง "Underperform" ตลาดหุ้นโลกต่อเนื่องจากปี 2023 โดย YTD ปรับตัวลดลง -8.6% โดยการปรับตัวลดลงเร่งขึ้นในระยะหลังจากปัญหาความไม่ชัดเจนการเมือง

• อิงกลไก Equity Risk Premium (ERP) คือ ส่วนต่างผลตอบแทนระหว่าง Earnings Yield และ Bond Yield อิงระดับ Current EPS ปัจจุบันที่ราว 83 บาทต่อหุ้น และ Forward EPS ที่ 92 บาท ที่ระดับ Index โซน 1350-1300 จุด ถือเป็นจุดน่าสนใจสำหรับการวางสถานะลงทุนระยะกลาง-ยาว อิงระดับดัชนีปัจจุบัน Current และ Forward ERP นั้นสูงในระดับ 3.6%-4.22% สูงกว่า Avg 3.09% ขณะที่หาก Current ERP สูงเกินกว่าระดับ + 1 S.D. (4.09%) vs ปัจจุบันอยู่ที่ 3.6% ใกล้ระดับ +1 S.D. ที่เป็นจุดกลับตัวของตลาด

• จากการศึกษา Back test ย้อนหลัง 20 ปี พบว่า Current ERP แตะระดับดังกล่าว 7 ครั้งในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา พบว่า SET จะกลับมาให้ผลตอบแทนเป็นบวกเฉลี่ยทุกครั้งในระยะกลาง กล่าวคือ จากนั้น 3 เดือน 6 เดือน 9 เดือน และ 1 ปี SET ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 0.7%, 4.4% 9.9% และ 20.6% ด้วยความน่าจะเป็น 57%, 43%, 72% และ 86% ตามลำดับ

• มุมมองเม็ดเงินลงทุนระยะสั้นนักลงทุนต่างชาติ รอบล่าสุดที่เข้ามาคือ เริ่มตั้งแต่ช่วง เม.ย. 21 ซึ่งซื้อสะสมรวมถึงจุดสูงสุดช่วงราว มี.ค. 23 ด้วยเม็ดเงินรวม 2.85 แสนล้านบาท ขณะที่หลังจากนั้นเป็นการขายต่อเนื่องถึงปัจจุบัน นับถึงวานนี้ พบว่า เม็ดเงินดังกล่าวไหลออกจาก SET ไปกว่า 3แสนล้านบาทแล้ว บ่งชี้แรงขาย ของนักลงทุนต่างชาติจากจุดนี้น่าจะลดลงเป็นลำดับ

• มาตรการ Uptick ใกล้มีผล เดือน กค 2024 น่าจะลดความผันผวนฝั่ง "Short Sell" ได้บ้าง

กลยุทธ์ คำแนะนำสำหรับผู้ลงทุนระยะกลาง-ยาว ทยอยสะสมหุ้นในจุดที่มี Margin of Safety สูง ใน 2 Theme เด่น

1.) Dividend Plays ที่ธุรกิจมีความมั่นคง ให้ผลตอบแทน Div. Yield มากกว่าปีละ 4% (vs Policy Rate 2.5%) ได้แก่ SCB AP ICHI PTT BBL INTUCH ADVANC HMPRO BJC WHA TU

2.) หุ้นในกลุ่มที่ Underperform กว่าตลาด (SET YTD ปรับตัวลดลง -8.6%) แต่พื้นฐานระยะกลาง-ยาวยังแข็งแกร่ง Valuation มีส่วนลด PBV24F ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย >20% ได้แก่ BTS IVL LH HMPRO KCE PTTGC GPSC HANA GULF

 


•TTW (Buy, TP9.4): We estimate TTW to report a net profit of Bt715m in 2Q24F, +14% yoy and +42% qoq thanks to recovering at both tap water and power units. We anticipate tap water profit to grew 3.3%/4.3% yoy/qoq and electricity to turnaround to a profit of Bt70m vs nil in 2Q23 and a loss of Bt115m in 1Q24. If our forecast is correct, this will take 1H24 profit to Bt1.2b, flat yoy, accounting for 43% of our FY24F. TTW is trading at -0.6SD of its historical mean PER and offers attractive 13% TTR. Maintain BUY rating for TTW.

• MTC (Buy, TP55): เรามีมุมมอง Neutral ต่อกำไรสุทธิ 2Q24F คาดที่ 1,415 ลบ. กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น +18% y-y และ +2% q-q เพราะ i) การเพิ่มขึ้นของสินเชื่อรวม +15% y-y และ +3% q-q หรือคิดเป็น +7% YTD จากกลุ่มสินเชื่อที่มีหลักประกันเป็นหลัก และการขยายสาขา ด้านคุณภาพสินทรัพย์ การตามเก็บหนี้อ่อนแอลง เพราะความไม่แน่นอนในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และเป็นช่วงที่ลูกค้าต้องการใช้เงินสำหรับช่วงเปิดเทอม และช่วงเพาะปลูก ทำให้ค่าใช้จ่ายสำรอง (credit cost) เพิ่มขึ้น q-q และ NPL Ratio อยู่ที่ 3.10% เพิ่มเล็กน้อยจาก 3.03% ใน 1Q24 ภาพรวม MTC เรามองว่าเห็นการพัฒนาการจัดการคุณภาพสินทรัพย์ในเชิงบวกตั้งแต่ 3Q23 และกำไรสุทธิ 2024F คาดกลับมาเติบโต +16% y-y เด่นสุดในกลุ่ม ดังนั้นเรายังชอบมากสุดในกลุ่ม Consumer Finance

•HMPRO (Buy, TP13): มอง slightly negative ต่อแนวโน้มกำไรปกติ 2Q24F ของ HMPRO ที่ 1.62 พันลบ. แค่ทรงตัว y-y หรือ -5%q-q กดดันจาก SSSG จะติดลบทุก format โดยเฉพาะร้านโฮมโปรในไทยที่จะ -6.5% จาก 1Q24 -2.1% ทั้งนี้ เพื่อสะท้อนกำลังซื้อที่ฟื้นช้ากว่าคาด เราปรับกำไรปกติปี 24-25F ลง -2%/-3% โดยคาดกำไรปี 24F โตเหลือ +3% อย่างไรก็ตาม เราเชื่อว่าราคาหุ้นนับจากต้นปีที่ปรับลง -20% จนปัจจุบันซื้อขาย Trailing PER 18-19 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ราว -1.75 SD และช่วงเกิดระบาด Covid-19 (1Q20) เราถือว่า สะท้อนความเสี่ยงดังกล่าวมากแล้ว จึงแนะนำ ทยอยซื้อ เพื่อหวัง4Q24F จะเห็นกำไรฟื้นตัวเด่น

•LH (Trading Buy, TP7.5): มีมุมมอง slightly negative ต่อ 2Q24F presale ที่ 4.3 พันลบ. (+8% y-y, -23% q-q) ถึงแม้เพิ่มขึ้น y-y แต่มาจากฐานที่ต่ำกว่าปกติปีก่อน แต่เทียบ q-q ยังลดลงมาก สะท้อนการระบาย stock ได้ช้าลง โดยเฉพาะกลุ่ม low-rise รวมถึง feedback การขายโครงการที่เปิดใหม่กลุ่ม low-rise ทำได้ไม่ดีนัก สำหรับ 1H24F presale คาดที่ 9.9 พันลบ. (+13% y-y) คิดเป็น 35% ของเป้าปี 2024F ที่ 31.0 พันลบ. (+35% y-y) ซึ่งโอกาสต่ำกว่าเป้าสูง โดยเราคาด downside ราว 25% หรือเท่ากับ 23.0 พันลบ. ใกล้เคียงปีก่อน สำหรับแนวโน้ม Norm. profit 2Q24F เบื้องต้นคาดที่ 1.2-1.3 พันลบ. ถือว่าไม่ดีนักและลดลง y-y, ทรงตัวq-q จากการโอนที่ไม่ดี เราปรับประมาณการกำไรสุทธิ 2024F ลง 12% มาที่ 6.56 พันลบ. (-12% y-y) ปรับ TP24F ลง 12% มาที่ 7.50 บาท คงคำแนะนำ Trading Buy โดยมองราคาหุ้นระยะสั้น-กลางยังไม่มี new catalyst สนับสนุน โดยปัญหาด้าน product design ที่อาจไม่ตอบโจทย์ลูกค้าในปัจจุบัน และแรงกดดันจาก cancellation rate ที่เร่งตัวขึ้น อาจต้องใช้เวลาอีกสักระยะในการแก้ไขปัญหา เราจึงแนะนำ "wait and see"

 

 

3Q24F Equity Outlook : The strong get stronger, the weak get less weak

· Stock Best Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA

· Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

1200 แตก By: แม่มดน้อย

แม่ดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ และแล้ว ดัชนีตลาดหุ้นไทย ก็แตก 1,200 จุด ด้วยพ่อใหญ่อย่าง DELTA แม่ใหญ่ AOT เป็นหัวหอก....

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้