Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.กรุงศรี พัฒนสิน : KSS Daily Strategy

552

 

"Utilities Play"

 

KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "Sideways/Up" ต้าน 1325/1330 จุด รับ 1313/1310 จุด ดัชนี S&P500 +0.07% ทำจุดสูงสุดใหม่ นำโดยหุ้น Tech นำตลาด จากถ้อยแถลงประธาน Fed ต่อสภาฯ ส่งสัญญาณ "Dovish" โดยมองภาวะดอกเบี้ยสูงนานเกินไป จะกดดันเศรษฐกิจ สอดคล้องอัตราว่างงานที่ 4.1% บ่งชี้ความเสี่ยงเศรษฐกิจระยะกลาง หนุน US Bond Yield 10 ปี ทรงตัวถึงปรับลงมาที่ 4.29% ขณะที่ตลาดเพิ่มความคาดหวังสะท้อนจาก CME Fed Watch กว่า 70% (ปลายสัปดาห์ก่อน 63%) คาด Fed จะลดดอกเบี้ย ก.ย. 24 และทั้งปี 2024 ลด 2 ครั้ง(vs Dot Plot คาด 1 ครั้ง) ส่วนภายใน TH Bond Yield 10ปีเช้านี้ลงต่อเหลือ 2.65% เป็นจิตวิทยาบวก วันนี้ตลาดจะติดตามกรณีศาลพิจารณากรณีคุณสมบัตินายกคุณเศรษฐา ขณะที่ CDS Thai อายุ 5-10ปี คลายลงต่ำสุดตั้งแต่ เมย 2022 อาจสะท้อนความเสี่ยงการเมืองในมุมมองต่างชาติจำกัดและตอบรับไปมากแล้ว ด้านท่องเที่ยวสัปดาห์แรก ก.ค. นักท่องเที่ยว Avg ต่อวันพุ่งสูง 1.0 แสนคนใกล้งวด 1Q24 สะท้อนผลของมาตรการฟรี Visa กำลังหนุนเร่งขึ้น วันนี้กลุ่ม Yields Peak (โรงไฟฟ้า, ชิ้นส่วนฯส่งออกไต้หวันเร่ง, หนี้สูง) กลุ่ม Domestic (ค้าปลีก สื่อสาร ท่องเที่ยว) เด่น วันนี้แนะ AOT, GPSC, BGRIM

 


Daily outlook: "Sideways/Up" ต้าน 1325/1330 จุด รับ 1313/1310 จุด

What happened around the world ?

•(*) US Stocks : ตลาดหุ้นสหรัฐยังแกว่งตัว +-0.2% รอรายงานตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐที่จะประกาศวันพฤหัสบดี อิง Dow jones -0.13% (Boeing -1.3%, Mc Donald's -0.82%) ส่วนอีกทั้ง 2 ดัชนียังทำ All time high S&P500 +0.07%, Nasdaq +0.15% โดยดัชนี S&P Sector ที่ปรับขึ้นหลักคือกลุ่ม Financials, Healthcare, Utilities ฯลฯ โดย Sector ที่ปรับลงหลักๆ คือ Materials, Energy ฯลฯ โดยหุ้นที่ปรับขึ้น/ลงเด่นๆคือ NVDIA +2.48%, Tesla +3.7%

•(+) Fed : คุณเจอโรม พาวเวล ประธาน Fed กล่าวถ้อยแถลงต่อคณะกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฏรของสหรัฐโทนออกมาบวก มองเป็น Slighly โดยเฉพาะดอกเบี้ยมีโอกาสที่จะเห็นเฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในปีนี้ ระบุว่า การตรึงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงและนานเกินไป อาจจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวเศรษฐกิจ มองหนุนความเชื่อดอกเบี้ยขาลง และเพิ่มโอกาสการลดดอกเบี้ยครั้งแรกรอบ ก.ย. เพิ่มขึ้นมาที่ 70% เพิ่มขึ้นจากปลายสัปดาห์ก่อน 63.35% มองบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยง และบวกต่อหุ้นกลุ่ม High growth

•(*/+) US Econ : ธนาคารกลางรัฐฟิลลาเดลเฟีย เปิดเผยผลสำรวจด้านเศรษฐกิจ (Survey of Professional Forecasters) พบว่าผลสำรวจมองมีโอกาสเพียง 26% ที่เศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในระยะ 12 เดือนข้างหน้า ลดลงจากระดับสูงสุดในช่วงหลังโควิดที่ระดับ 44% สอดคล้องกับมุมมองของเราที่ยังมองเศรษฐกิจสหรัฐเป็น Soft-Landing โดยมองโอกาสการเข้าสู่ภาวะถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐยังมีต่ำ มองเป็นบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยงโลก

•(+) Taiwan Export: ยอดส่งออกของไต้หวันเดือน มิ.ย. ทำสถิติขยายตัวมากที่สุดในรอบ 28 เดือน +23.5%y-y จากโตเพียง 3.5%yoy ในเดือน พ.ค. และมากกว่าที่ Consensus คาดว่าจะขยายตัว 11.45%, โดยสินค้าส่งออดกลุ่ม Semiconductors ขยายตัว 8.8%m-m และ 7.3%y-y เป็นจิตวิทยาบวกกับหุ้นในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ของไทย (DELTA, HANA, KCE)

• (*) US Bond Yields & Dollar : ตลาดพันธบัตรของสหรัฐไม่ได้ตอบสนองกับการแถลงของประธาน Fed โดย US Bond yield 2 ปี ปิดที่ 4.626% และ 10 ปี ปิด 4.29% โดยทั้ง 2 แกว่งตัวในกรอบแคบ ประเมินเป็นเพราะ US Bond yield ปรับลงสะท้อนไปแล้วในช่วงก่อนหน้า และเชื่อว่านักลงทุนส่วนใหญ่เลือกที่จะรอตัวเลขจริงของอัตราเงินเฟ้อ (CPI) สหรัฐ ส่วน Dollar Index ระยะสั้นแนวโน้มระยะสั้นยังแกว่งตัวแข็งค่า ล่าสุดบริเวณ 104.8+/- จุด

• (*) To monitor : 10 ก.ค. จีนรายงานตัวเลขเงินเฟ้อเดือน มิ.ย. 11 ก.ค. จีน- ยอดปล่อยสินเชื่อใหม่เดือน มิ.ย., สหรัฐ ตัวเลขเงินเฟ้อ CPI เดือน มิ.ย. 12 ก.ค.: จีนรายงาน Export/Import เดือน มิ.ย.

•(*/-) Oil : น้ำมันดิบ Brent -1.27%d-d ปิดที่ US$ 84.66/barrel. น้ำมันดิบ West Texas -1.12%d-d ปิดที่ US$ 81.41/barrel. มองเป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นกลุ้มพลังงานต้นน้ำ อาทิ PTT, PTTEP

(+) Gas EU : ราคาก๊าซในฝั่งยุโรป อิง (Netherland TTF) -3.42 %d-d และ -9.6%mtd ล่าสุดอยู่ที่ 31.1 ยูโรต่อเมกะวัตต์(ระดับต่ำสุดในรอบ 7 สัปดาห์) แรงกดดันหลักๆมาจาก โดยคาดการณ์ Demand การใช้ก๊าซชะลอและ Supply สูง จากผลกระทบของพายุเฮอริเคนเบริล KSS มองจิตวิทบวกต่อหุ้นในวันนี้คือ หุ้นที่ธุรกิจเชื่อมโยงในยุโรป อาทิ อาทิ XO(70%ของรายได้รวม), MINT(50%) SHR(40%), IVL (22%) CRC(6%)

 

What happened in Thailand ?

• (*) SET: SET Index พักตัว -2.58 จุด หรือ -0.2% ปิดที่ 1319.92 จุด กลุ่มหนุน คือ กลุ่มสื่อสาร (ADVANC, INTUCH, TRUE) มองเก็งภาพกำไร 2Q24F คาดออกมาดี โดย ADVANC, INTUCH มีจุดเด่นเพิ่มฝั่งความคาดหวังเงินปันผลกลางปี กลุ่มค้าปลีก (CPALL, CPAXT) KSS คาดกำไร 2Q24F เด่น เติบโตสูง y-y ขณะที่มี Upside ความชัดเจนนโยบาย Digital Wallet ที่มีความชัดเจนมากขึ้น หนุนต่อช่วงปลายปี กลุ่มถ่วง คือ กลุ่มพลังงาน (PTTEP) ถ่วงจากราคาน้ำมันพักตัว กลุ่มการแพทย์ (BDMS, BH) มองเปลี่ยนกลุ่มจากฝั่ง Defensive ที่เด่นช่วงก่อนหน้าที่มีความผันผวนสู่กลุ่มที่ปรับฐานลึก ผสาน จิตวิทยาลบฝั่ง ร.พ. ประกันสังคมในส่วนกระทรวงแรงงานเตรียมเสนอ ครม. ปรับลดค่าเงอนสมทบประกันสังคมมาตรา 33 เหลือ 3% จาก 5%

• (*/+) Flow : เงินทุนต่างประเทศไหลเข้า ขายหุ้น -25.2 ล้านเหรียญฯ ซื้อพันธบัตร +45.2 ล้านเหรียญฯ TFEX Net Long 3,309 สัญญา เงินบาทแข็งค่าทรงตัวอยู่ที่ 36.3 +/- บาท

• (+) TH Tourism: จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสัปดาห์ 1-7 ก.ค. อยู่ที่ 7.05 แสนคน ปรับตัวขึ้น +6.9%w-w หากมองเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวเฉลี่ยต่อวันที่ 10.0 หมื่นคน จะมีสัดส่วนสูง 93.4% ของช่วง Pre COVID เร่งขึ้นจาก 1H24 ที่อยู่ 88.4% บ่งชี้ 1) ผลบวกมาตรการฟรี วีซ่า หลากหลายชาติที่มีผลตั้งแต่ 1 ก.ค. 2) ระดับนักท่องเที่ยวต่อวัน ก.ค. ที่ 10.0 หมื่นคน ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยต่อวันช่วงฤดูกาล 1Q24 ที่ 10.3 หมื่นคน ขณะที่เป็นภาพยืนยันการฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดของปี พ.ค. ทั้งนี้ ค่าเฉลี่ยรายวัน พ.ค. และ มิ.ย. อยู่ที่ 8.4 และ 9.1 หมื่นคน ตามลำดับ มองบวกต่อกลุ่มท่องเที่ยว+ภาคบริการ เน้น AOT, ERW(ตั้งรับ), MINT, CPALL, CPAXT

• (+) TH Bond Yield: ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 10ปี (TH Bond Yield) เช้านี้ปรับตัวลดลงเหลือ 2.65% ปรับลดลงต่อเนื่อง หลังทำจุดสูงสุดรอบนี้ 2.83% ช่วงปลายเดือน พ.ค. และเป็นจุดต่ำสุดตั้งแต่ เม.ย. 24 มองบวกต่อการลงทุนใน SET หากอิงตามกลไก Equity Risk Premium (ERP) ที่จะถ่างกว้างขึ้น มองบวกต่อกลุ่มได้ประโยชน์ Yield พีค อาทิ โรงไฟฟ้า อาทิ GULF BGRIM เช่าซื้อ อาทิ MTC หนี้สูง อาทิ MINT TRUE CPALL CPAXT กลุ่ม Technology อาทิ KCE HANA BBIK BE8

• (+) Thai CDS : ค่าประกันความเสี่ยงของประเทศไทย(Thai CDS) อายุ 5 ปีล่าสุดลดลงต่อเนื่องอยู่ที่ 39.255 bps หรือ 0.3925% ต่ำสุดตั้งแต่ เม.ย.2022 ผสานกับค่าเงินบาทเช้านี้แนวโน้มแกว่งตัวในโทนแข็งค่าบริเวณ 36.3 บาท (แนวรับสำคัญ) สะท้อนนักลงทุนและตลาดมีความมั่นใจและคลายกังวลต่อความเสี่ยงต่อตลาดหุ้นไทย อาทิ ประเด็นการเมือง จากสถิติอดีต Thai CDS ปรับลงมักจะนำตลาดหุ้นไทยจะปรับขึ้นได้ต่อ ทำให้มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อ SET Index วันนี้

•(*/+) Utilities: กกพ. เตรียมประชุมบอร์ดในวันที่ 10 ก.ค. 2567 นี้ หนึ่งในวาระสำคัญจะมีการพิจารณาอัตราค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) งวดใหม่รอบเดือนก.ย. – ธ.ค. 2567 เบื้องต้นคาดว่า จะต้องปรับเพิ่มขึ้นอีกประมาณหน่วยละ 20-40 สตางค์ จากค่าไฟงวดปัจจุบันอยู่ที่หน่วยละ 4.18 บาท มองจิตวิทยาบวกต่อหุ้นโรงไฟฟ้าที่รับรู้ความเสี่ยงต้นทุนก๊าซเพิ่มขึ้นระยะสั้นโดยเฉพาะกลุ่มที่มีฐานลูกค้าอุตสาหกรรมสูงๆ อาทิ GPSC BGRIM ไปแล้ว ขณะที่ยังไม่รับรู้โอกาสได้รับภาพบวกค่า Ft ปรับเพิ่มขึ้นช่วยชดเชย เบื้องต้นนักวิเคราะห์ของเราประเมินทุกๆ 1 สตางค์ของค่า Ft ที่ปรับขึ้นจะเพิ่มกำไรให้กับ BGRIM และ GPSC ประมาณ 1.4% และ 1.1% ตามลำดับ ทั้งนี้ ผลบวกที่จะเกิดขึ้นจริงต้องติดตามความชัดเจนอีกครั้ง หากค่า Ft ไม่ได้เป็นไปตามแนวทางที่เราประเมิน หรือ มีการออกมาปฏิเสธข่าวจากทาง กกพ. ประเด็นนี้จะพลิกเป็นจิตวิทยาลบกดดันหุ้น BGRIM และ GPSC ด้วยความไม่แน่นอนดังกล่าว ระยะสั้นเรามองกลยุทธ์เป็นการเก็งกำไร GPSC BGRIM ส่วนการลงทุนเน้น GULF

• (*/+) Short Sales: หลังจากมาตรการ Uptick Rule ตั้งแต่ 1 ก.ค. วานนี้ในส่วนจำนวนหุ้นที่มียอด Short คงค้างอยู่ที่ 402 บริษัท (vs วานนี้ 403 บริษัท) พบว่า ส่วนใหญ่ยอด Short ลดลง/เท่าเดิม หุ้นที่ Short เท่าเดิมอยู่ที่ 268 บริษัท (วานนี้ 179 บริษัท) กลุ่มที่ลดลงจากวันทำการก่อนหน้าลดลง 268 บริษัท (วานนี้ 179 บริษัท) ส่วนหุ้นที่ Short เพิ่มขึ้นมี 64 บริษัท (วานนี้ 20 บริษัท)

•(*) Cabinet: มติ ครม. วานนี้ เห็นชอบ 1) ปรับเพิ่มฐานเงินเดือนครูโรงเรียนเอกชน วุฒิปริญญาตรี เป็น 18,000 บาท จากเดิม 15,050 บาท ภายใน 2ปี มองจิตวิทยาบวกต่อกำลังซื้อเพิ่มขึ้น 2)เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 วงเงิน 1.22 แสนลบ. เม็ดเงินดังกล่าวส่วนใหญ่ที่จะใช้โครงการ Digital Wallet คาดนำเข้าสู่การพิจารณาสภาวาระแรก วันที่ 17 ก.ค. การอนุมัติ 2 เรื่องดังกล่าวเรามองบวกต่อทิศทางเม็ดเงินใหม่ที่เข้ามาหนุนการจับจ่าย มองบวกต่อหุ้น Domestic อาทิ ค้าปลีก เน้น CPALL, CPAXT เช่าซื้อ เน้น MTC ธนาคาร เน้น KBANK เครื่องดื่ม เน้น OSP, CBG

•(*) TH Politic: วันนี้ (10 ก.ค.) ติดตามการพิจารณาคดีคุณสมบัตินายกฯ คาดว่าศาลยังไม่น่าจะมีการวินิจฉัย ทำให้ไม่มีน่าจะมีประเด็นที่สร้างแรงกดดันต่อตลาดเพิ่มเติม ขณะที่หากกำหนดวันวินิจฉัย ถ้าเร็วกว่า ก.ย. 24 ที่เป็นช่วงเวลาตลาดคาดหวังล่าสุด เรามองจะเป็นบวก จากความชัดเจนที่จะเกิดขึ้นเร็วกว่าคาด

• (*) To Monitor: 1.) การพิจารณานำกองทุนวายุภักษ์กลับมาเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือช่วยขับเคลื่อนตลาดหุ้น มองจิตวิทยาบวกต่อหุ้นที่กองทุนถือสัดส่วนสูงในปัจจุบัน อาทิ PTT, AOT, SCB, KTB, TTB, ADVANC, BSRC 2.) การทยอย Preview กำไรงวด 2Q24F กลุ่ม Real Sector จะออกมาเพิ่มขึ้น มองกลุ่มกำไรเด่น y-y, q-q อาทิ สื่อสาร (ADVANC, TRUE) ค้าปลีก (CPALL, CPAXT) เครื่องดื่ม (ICHI, OSP, SAPPE) ชิ้นส่วน (KCE) เกษตร (GFPT, CPF) ท่องเที่ยว (MINT) โรงไฟฟ้า (CKP, GULF, GPSC) ความงาม (MASTER, KLINIQ)

 

 

 

Daily Strategy : AOT, GPSC, BGRIM เด่น

ระยะสั้น วันนี้มองภาพตลาด "Sideways/Up" มองจิตวิทยาบวก US Bond Yield ที่แกว่งทรงตัวต่ำและท่าทีประธาน Fed ที่ออกไปในทาง Dovish ยังน่าจะหนุนสินทรัพย์เสี่ยง ส่วนภายในแม้วันนี้รอติดตามคดีคุณสมบัตินายกฯ แต่คาดว่าไม่น่าจะสร้างแรงกดดันต่อตลาดเพิ่มเติม ขณะที่พัฒนาการเศรษฐกิจเริ่มเห็นมากขึ้นฝั่งบริโภค Digital Wallet คืบหน้า และท่องเที่ยวเร่งขึ้น มองหุ้นนำวันนี้ 1) มองหุ้นนำ กลุ่ม Yield ผ่านพีค (โรงไฟฟ้า ลุ้นขึ้นค่าไฟ, ชิ้นส่วนจากยอดส่งออกไต้หวันเร่ง, หนี้สูง) 2) กลุ่ม Domestic (ค้าปลีก สื่อสาร ท่องเที่ยว)

 

หุ้นได้ประโยชน์ภาคผลิตโลกผ่านจุดต่ำสุด + เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวหนุนอุตสาหกรรมทยอยเข้าสู่ Upgrade Cycle (HANA, KCE)
กลุ่มภาคผลิตไทย PMI ภาคผลิตไทยอยู่ในระดับขยายตัวต่อเนื่อง 2 เดือนหนุน (GFPT, TU, CBG, OSP, ICHI, SAPPE IVL, STA, NER)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรการท่องเที่ยวชุดใหญ่ของรัฐฯ หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (CPALL, ICHI, AOT, MINT, ERW)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, GPSC, CPALL, TRUE, MINT, WARRIX, MTC, MOSHI, KLINIQ)
กลุ่มได้ประโยชน์ Microsoft ลงทุน Data Center ในไทย (ADVANC, TRUE, INSET, GULF, WHA)

• JULY24 Best Picks: TRUE, CPAXT, GULF, KCE, WHA, MINT, OSP

• 3Q24Stock Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP

 

Tactical & Investment Idea

 

Research Highlight

 

• Strategy Update : US Election (The first debate)

Debate รอบแรก Biden และ Trump ประเด็นที่หยิบยกขึ้นมา คือ ประเด็นการทำแท้ง, ผู้อพยพต่างชาติและผู้ก่อการร้าย และชายแดนสหรัฐ-เม็กซิโก US-Mexico Broader ฯลฯ ทั้งนี้ ประเด็นทางเศรษฐกิจสำคัญไม่ได้ลงรายละเอียดมาก Trump พูดเน้นเดินหน้าไปที่การลดการขาดดุลค้าและเน้นการขึ้นภาษีกับประเทศอื่นๆ ฯลฯ Biden เน้นประเด็นการขึ้นภาษีผู้ที่มีรายได้สูงและมหาเศรษฐี

กลยุทธ์ KSS ประเมินแนวโนบายคล้ายกับในอดีตยังไม่มีประเด็นใหม่ และยังเหลือระยะเวลาพอสมควรก่อนการ Debate รอบถัดไป 10 ก.ย. 24 รายละเอียดนโยบายต่างๆหรือนโยบายสร้างจุดเปลี่ยนจึงยังสามารถเกิดขึ้นได้เพิ่มเติม ทำให้ยังมีความไม่แน่นอนจากประเด็นการเลือกตั้งใหญ่สหรัฐฯ กอปรกับ เศรษฐกิจสหรัฐฯที่เริ่มอ่อนลง และ Valuation สหรัฐฯที่ตึงตัว ประเมินงวด 3Q24 ก่อนเลือกตั้งตลาดหุ้นสหรัฐฯมีโอกาสเคลื่อนไหวในกรอบรอความชัดเจน

ส่วนกระแสเชิงบวกต่อหุ้นต่างๆ เราคาดตลาดให้น้ำหนัก ดังนี้ การเดินหน้าสงครามการค้าและเทคโนโลยีกับจีน ทำให้ยังคงมุมมองบวกกระแสในประเด็นดังกล่าวก่อนการเลือกตั้ง จะหนุนตลาดเก็งหุ้นกลุ่มนิคมในระยะกลาง – ยาว เน้น WHA กลุ่มส่งออกชิ้นส่วน เน้น KCE, HANA อาหาร เน้น CPF, GFPT ทั้งนี้ หาก Trump ชนะการเลือกตั้งมองหุ้นที่ได้ผลประโยชน์บวกจากเศรษฐกิจสหรัฐดีขึ้น อาทิ จากมาตรการลด Corporate Tax บวกต่อ IVL PTTGC ระยะสั้นก่อนจะเห็นภาพว่าผู้สมัครจะมีโอกาสชนะเลือกตั้งสูง ยังให้เน้นกลุ่มที่เกาะกระแสนโยบายทั้งสองฝ่ายในส่วนสงครามการค้าและเทคโนโลยี เน้น WHA, KCE, HANA, CPF, GFPT

• Strategy Update : ThaiESG 2024 ต่อ SET Index

รัฐบาลมีแผนปรับเงื่อนไขสิทธิประโยชน์จากกองทุนลดหย่อนภาษี ThaiESG ใหม่ โดยปรับเงื่อนไขให้สิทธิซื้อเพิ่มลดหย่อนภาษีได้เพิ่มขึ้นทั้งเม็ดเงิน และสัดส่วนเทียบกับฐานรายได้ ผสาน ระยะเวลาลงทุนสั้นลง KSS คาดว่าฐานเม็ดเงินที่เข้าสู่กองทุน ThaiESG รอบนี้ จะสูงราว 7.8 หมื่นล้านบาทต่อปี ขณะที่ SET ณ ปัจจุบัน ยังอยู่ใน Value Zone น่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนเชิงบวกตลาดหุ้นไทยนับจากนี้.

เชิงกลยุทธ์ : โดยรวม KSS ประเมินเป็น "บวก" ต่อตลาดหุ้นไทยคล้ายสมัยมาตรการลดหย่อนภาษีผ่านกองทุน LTF ในอดีต เนื่องจากเป็นการเสริมสภาพคล่องของเงินลงทุนระยะยาวในประเทศให้กลับมาแข็งแรงขึ้น กลยุทธ์แนะลงทุนในหุ้นใน SETESG ที่มีคุณสมบัติราคาลงแรงกว่า SET -6.6%YTD ได้แก่ BTS SCC, CRC, IVL, PTTGC, CPN, BBL, HMPRO และกลุ่มที่มีน้ำหนัก (Weight) ใน ESG สูง ได้แก่ GULF AOT, MTC, CPALL, GPSC

• Strategy Update : Time to Invest

ทีมกลยุทธ์ออกรายงาน Strategy Update "Time to invest" มอง SET Index โซนปัจจุบันให้ Current ERP ที่ 3.6% เป็นโซนลงทุน และมองใกล้ระดับจุดกลับตัว มองหุ้นน่าลงทุน 1) กลุ่มให้ Dividend สูง 2) กลุ่มที่ Underperform และมีส่วนลดทางพื้นฐานสูง

Key Ideas:

• SET Index ในปี 2024 ยัง "Underperform" ตลาดหุ้นโลกต่อเนื่องจากปี 2023 โดย YTD ปรับตัวลดลง -8.6% โดยการปรับตัวลดลงเร่งขึ้นในระยะหลังจากปัญหาความไม่ชัดเจนการเมือง

• อิงกลไก Equity Risk Premium (ERP) คือ ส่วนต่างผลตอบแทนระหว่าง Earnings Yield และ Bond Yield อิงระดับ Current EPS ปัจจุบันที่ราว 83 บาทต่อหุ้น และ Forward EPS ที่ 92 บาท ที่ระดับ Index โซน 1350-1300 จุด ถือเป็นจุดน่าสนใจสำหรับการวางสถานะลงทุนระยะกลาง-ยาว อิงระดับดัชนีปัจจุบัน Current และ Forward ERP นั้นสูงในระดับ 3.6%-4.22% สูงกว่า Avg 3.09% ขณะที่หาก Current ERP สูงเกินกว่าระดับ + 1 S.D. (4.09%) vs ปัจจุบันอยู่ที่ 3.6% ใกล้ระดับ +1 S.D. ที่เป็นจุดกลับตัวของตลาด

• จากการศึกษา Back test ย้อนหลัง 20 ปี พบว่า Current ERP แตะระดับดังกล่าว 7 ครั้งในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา พบว่า SET จะกลับมาให้ผลตอบแทนเป็นบวกเฉลี่ยทุกครั้งในระยะกลาง กล่าวคือ จากนั้น 3 เดือน 6 เดือน 9 เดือน และ 1 ปี SET ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 0.7%, 4.4% 9.9% และ 20.6% ด้วยความน่าจะเป็น 57%, 43%, 72% และ 86% ตามลำดับ

• มุมมองเม็ดเงินลงทุนระยะสั้นนักลงทุนต่างชาติ รอบล่าสุดที่เข้ามาคือ เริ่มตั้งแต่ช่วง เม.ย. 21 ซึ่งซื้อสะสมรวมถึงจุดสูงสุดช่วงราว มี.ค. 23 ด้วยเม็ดเงินรวม 2.85 แสนล้านบาท ขณะที่หลังจากนั้นเป็นการขายต่อเนื่องถึงปัจจุบัน นับถึงวานนี้ พบว่า เม็ดเงินดังกล่าวไหลออกจาก SET ไปกว่า 3แสนล้านบาทแล้ว บ่งชี้แรงขาย ของนักลงทุนต่างชาติจากจุดนี้น่าจะลดลงเป็นลำดับ

• มาตรการ Uptick ใกล้มีผล เดือน กค 2024 น่าจะลดความผันผวนฝั่ง "Short Sell" ได้บ้าง

กลยุทธ์ คำแนะนำสำหรับผู้ลงทุนระยะกลาง-ยาว ทยอยสะสมหุ้นในจุดที่มี Margin of Safety สูง ใน 2 Theme เด่น

1.) Dividend Plays ที่ธุรกิจมีความมั่นคง ให้ผลตอบแทน Div. Yield มากกว่าปีละ 4% (vs Policy Rate 2.5%) ได้แก่ SCB AP ICHI PTT BBL INTUCH ADVANC HMPRO BJC WHA TU

2.) หุ้นในกลุ่มที่ Underperform กว่าตลาด (SET YTD ปรับตัวลดลง -8.6%) แต่พื้นฐานระยะกลาง-ยาวยังแข็งแกร่ง Valuation มีส่วนลด PBV24F ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย >20% ได้แก่ BTS IVL LH HMPRO KCE PTTGC GPSC HANA GULF

 

 

 

•TOP(Trading Buy, TP78): มอง Positive ต่อกำไรสุทธิ 2Q24F ของ TOP ราว 5,067 ลบ. (+354% y-y, -14% q-q) ดีกว่าที่เคยประเมินจาก stock gain ที่สูงกว่าคาด ซึ่งช่วยลดผลกระทบของ supply ใหม่ที่มาฉุดค่าการกลั่น และทำให้กำไรไม่ลดลง q-q มากเท่าเดิม ทั้งนี้เรามอง catalyst ต่อราคาหุ้น TOP ระยะถัดไปต้องรอดูความสำเร็จของการ COD โครงการ CFP (กำลังการผลิต +45%)ที่จะมาหนุนปริมาณขายและกำไรใน 2025-26F คงคำแนะนำ Buy ที่ TP24F = 78.0

•SCGP (Trading Buy, TP38.5): มอง Neutral ต่อแนวโน้มกำไรปกติ 2Q24F ราว 1,513 ลบ. (+2% y-y, -12% q-q) ลด q-q ตามปริมาณขาย -2-5% q-q จากเป็นช่วงวันหยุดมาก และมีปิดซ่อม รวมถึงต้นทุนกระดาษเพิ่มขึ้น ซึ่งทิศทางดังกล่าวไม่ได้เหนือคาด เรามอง demand บรรจุภัณฑ์มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อใน 2H24F (Vs. 1H24F ที่ฟื้นแล้วทั้ง y-y, h-h) ตามการซื้อที่เร่งขึ้นของจีน, การท่องเที่ยวฟื้นตัวหนุน demand ทั้งในประเทศไทย และภูมิภาค ส่งให้การผลิตและการตุนวัตถุดิบฟื้น สะท้อนจากราคากระดาษและราคา AOCC ที่เพิ่มขึ้น h-h ใน 1H24F เรามองสภาวะการแข่งขันที่ยังสูงและทำให้การปรับราคาขายขึ้นทำได้ช้ายังไม่ได้แย่กว่าคาด โดยประมาณการกำไรของเรายังมีโอกาสมี upside 4-6% เราคงคำแนะนำ Trading Buy ต่อ SCGP ที่ TP24F = 38.50 บนการฟื้นของธุรกิจบรรจุภัณฑ์ และ upside จาก M&P

•THCOM(Neutral, TP12.5): 2Q24 net profit is expected to plunge both yoy and qoq due to no forex gain being booked in this quarter. Stripping out forex effect, core profit is expected to be Bt37m in 2Q24, improving from Bt24m loss in 2Q23 and Bt11m profit in 1Q24 owing to the improvement in LTC performance. 1H24 earnings would consist of 41% of our full-year forecast. Maintain unexciting profit of Bt116m in 2024, flat from 2023.

 

3Q24F Equity Outlook : The strong get stronger, the weak get less weak

Stock Best Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA

Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP

 

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

1200 แตก By: แม่มดน้อย

แม่ดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ และแล้ว ดัชนีตลาดหุ้นไทย ก็แตก 1,200 จุด ด้วยพ่อใหญ่อย่าง DELTA แม่ใหญ่ AOT เป็นหัวหอก....

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้