Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.กรุงศรี พัฒนสิน : KSS Daily Strategy

727

 

 

 


"Earings Play"

 

KSS Daily Strategy : : คาด SET วันนี้ "ประคองเหนือ 1300จุด" ต้าน 1310/1315 จุด รับ 1296/1290 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐวานนี้ปิด ส่วน Futures แกว่งในกรอบ รอรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตร มิ.ย. 24 คืนนี้(ตลาดคาด 1.94 แสนตำแหน่งอ่อนตัวลงจาก prev. ที่ 2.72 แสนตำแหน่ง) กรณีทรงตัวในกรอบ 1.5-2.0 แสนตำแหน่งที่ใกล้เคียงจำนวนแรงงานใหม่ที่เข้าสู่ตลาด จะหนุนสินทรัพย์เสี่ยงต่อ ส่วนยุโรป มีภาพบวกจากการเลือกตั้งในอังกฤษ Exit Poll บ่งชี้พรรคแรงงานซึ่งมีนโยบายเน้นการขยายตัวเศรษฐกิจ มีโอกาสชนะการเลือกตั้งแบบ Landslide หนุนค่าเงิน GBP แข็งค่า ถ่วง Dollar Index อ่อนค่าลง เป็นปัจจัยบวก EM ASIA อ่อนๆ ส่วนภายในวันนี้ติดตามรายงานเงินเฟ้อ CPI มิ.ย. 24 ตลาดคาด 1%y-y vs prev. 1.5%y-y ขณะที่ภาพ Thai Bond Yield 10ปี ค่อยๆลดลงอีกครั้งสู่วานนี้ 2.68% ขณะที่ รมว.คลัง เร่งกองทุน ThaiESG เกณฑ์ใหม่เข้า ครม. หนุน SET ประคองตัวได้ วันนี้แนะนำ คือ KCE, KTB, MOSHI


Daily outlook: "ประคองเหนือ 1300จุด" ต้าน 1310/1315 จุด รับ 1296/1290 จุด

What happened around the world ?

•(*) US Stocks : ตลาดหุ้นสหรัฐปิดทำการเนื่องจากเป็นวันชาติสหรัฐ ส่วนดัชนี Dow jones futures เช้านี้แกว่งตัวในกรอบ +-0.2%

•(*/+) Korea Stocks : ปธน. เกาหลีใต้ประกาศลดภาษีให้กับบริษัทที่เพิ่มผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้น(Corporate Value-Up Program) และประกาศให้มีการเรียกเก็บภาษีในอัตราต่ำจากเงินปันผลของผู้ถือหุ้น มองเป็นบวกต่อ Flow ต่างชาติ หนุนดัชนี KOSPI ทำจุดสูงสุดในรอบ 52 สัปดาห์

•(*) UK Election : เลือกตั้งอังกฤษ ล่าสุดผล Exit Poll คือ คุณ Keir Starmer ผู้นำพรรคแรงงาน(labour) ได้รับคะแนน Landslide มีแนวโน้มที่จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 58 คาดว่าจะได้ที่นั่งในสภาล่าง 410 ที่นั่ง พรรค Conservative คาด 131 ที่นั่ง พรรค Reform UK คาดว่าจะได้ 13 ที่นั่ง KSS ประเมิน Inline กับที่ตลาดคาด โดย MUFG มองว่าพรรคแรงงานสามารถครองเสียงส่วนใหญ่และจัดตั้งรัฐบาลได้จะส่งผลเชิงบวกต่อระดับเสถียรภาพของการเมืองภายในประเทศ คาดจะส่งผลบวกต่อ GDP Growth ระยะกลางยาว มอง GDP ปี 2025 มีแนวโน้มเติบโตระดับ 1.6% สูงกว่าระดับ Consensus ตลาดปัจจุบันที่ระดับ 1.2% ประเมินจะหนุน GBP/USD แข็งค่าขึ้น จะส่งผลบวกต่อค่าเงินยูโร และฝั่งค่าเงินฝั่งเอเชียมีแนวโน้มแข็งค่า

•(*/-) Trade War: สหภาพยุโรปจะเรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศจีนเป็นการชั่วคราว (เริ่ม 5 ก.ค. ถึง ต.ค.2024) ภาษีสูงสุดที่อัตรา 17.4% ถึง 37.6% โดยมีอัตราภาษีแตกต่างกันในแต่ละแบรนด์ โดย BYD เรียกเก็บภาษี 17.4% , Geely เก็บ 19.9% และ และเอ็มจี (MG) ของบริษัทเอสเอไอซี (SAIC) ซึ่งเป็นบริษัทของรัฐต้องจ่าย 37.6% ส่วนผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติตะวันตก Tesla และ BMW จะต้องเสียภาษี 20.8% ขณะที่บริษัทที่สหภาพยุโรปเห็นว่าไม่ให้ความร่วมมือในการสอบสวนต้องจ่าย 37.6% KSS ประเมินเป็นข่าวเดิมที่ตลาดรับรู้ไปแล้วผลกระทบกับการลงทุนในตลาดคาดว่าจะเป็นไปอย่างจำกัด อย่างก็ตามนโยบายการปกป้องอุตสาหกรรมรถยนต์ในยุโรปดังกล่าวจะส่งผลบวกโดยตรงต่อ KCE เนื่องจากมีฐานลูกค้าอยู่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ในยุโรปเป็นลูกค้าหลัก

• (*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield ไม่มีการเคลื่อนไหว เนื่องจากเป็นวันชาติสหรัฐ เช่นเดียวกับ Dollar Index ระยะสั้นแนวโน้มอ่อนค่าต่อเนื่อง ล่าสุดบริเวณ 105.1+/- จุด

• (*) To monitor : 5 ก.ค. ติดตามการจ้างงานนอกภาคเกษตร มิ.ย. คาด +1.88 แสนราย vs prev. 2.72 แสนราย, อัตราการว่างงาน มิ.ย. คาด 4.0% ทรงจาก prev.

•(*) Oil : ราคาน้ำมัน WTI ปิดทำการเนื่องจากเป็นวันชาติสหรัฐ น้ำมันดิบ Brent 0.10%d-d ปิดที่ US$ 87.43/barrel

•(*/+) Newcastle Coal: Newcastle 1.11%d-d ปิดที่ US$ 136.5/ตัน มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นถ่านหิน อาทิ BANPU

•(+)World Container Index : ค่าระวางเรือโลก World Container Index แนวโน้มเป็นขาขึ้น ปรับขึ้น 11 สัปดาห์ติด สัปดาห์ล่าสุด +10 %w-w อยู่ที่ 5,868 เหรียญต่อ 40 ft ทำจุดสูงสุดของปี และปรับขึ้นต่อเกือบทุกเส้นทางเรือ ประเมินจิตวิทยาบวกต่อหุ้นเรือ Container อาทิ RCL และบวกต่อกลุ่มให้บริการโลจิสติกส์ในลักษณะ Freight Forwarder ที่มีสัดส่วน Sea Freight สูง อาทิ SINO (90% ของรายได้), SONIC (62% ของรายได้) LEO (75% ของรายได้) และ WICE (34% ของรายได้) ยังคงมุมมองค่าระวางเรือ container จะปรับขึ้นได้ต่อเนื่อง ขึ้นกับสถานการณ์ความตึงเครียดตะวันออกกลาง หากมีข่าวคลี่คลาย อาจทำให้เริ่มเห็นการชะลอการขึ้นได้ ดังนั้นยังแนะนำเพียง Trading ในหุ้นกลุ่มนี้

 

What happened in Thailand ?

• (*/+) SET: SET Index ปรับตัวขึ้น +6.12 จุด หรือ +0.47% ปิดที่ 1301.04 จุด กลุ่มหนุน คือ กลุ่มชิ้นส่วนฯ (DELTA, KCE, HANA) รับจิตวิทยาบวก US Bond Yield 10ปี ดิ่งแรง ตอบรับภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ อ่อนตัวลงต่อเนื่อง กลุ่มธนาคาร (BBL, KBANK, KTB) ตอบรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่รัฐในส่วน Soft Loan กลุ่มถ่วง คือ กลุ่มแพ็คเกจจิ้ง (SCGP) มองเป็นประเด็นความกังวลค่าระวางเรือที่ปรับขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงความเสี่ยงต่อราคาสินค้า หลังโรงงานในจีนที่หยุดผลิตไปกลับมาผลิตอีกครั้ง กลุ่มเช่าซื้อ (KTC) มองตลาดน่าจะกังวลต่อปัญหาคุณภาพหนี้

• (*) Flow : เงินทุนต่างประเทศไหลออก ขายหุ้น -37.3 ล้านเหรียญฯ เป็นการขาย 29 ใน 31 วันทำการล่าสุด ขายพันธบัตร -35.8 ล้านเหรียญฯ TFEX Net Long 21,741 สัญญา บาทแข็งค่าสู่ 36.63 +/- บาท

•(*/+) ITD: ITD รายงานตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ขอเรียนให้ทราบว่าบริษัทได้ทำหนังสือถึง ITD Cementation India Limited ซึ่งเป็น Listed Company ในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศอินเดีย เพื่อแจ้งความประสงค์ที่จะดำเนินการสำรวจความเป็นไปได้ที่จะจำหน่ายสินทรัพย์ที่เป็นการลงทุนของบริษัทปัจจุบัน ITD ถือหุ้นบริษัทดังกล่าวราว 46.64% เรามองเป็นจิตวิทยาบวกต่อกลุ่มธนาคาร โดยเฉพาะจากฐานที่ส่วนใหญ่ตั้งสำรองหนี้ ITD ไปแล้ว เน้น KTB, BBL, TTB

•(*/+) ThaiESG: รมว. คลัง เปิดเผยว่า ในเร็ว ๆ นี้ กระทรวงการคลัง จะเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบการปรับเงื่อนไขของกองทุน Thai ESG ใหม่ ภายใต้มาตรการขับเคลื่อนตลาดทุน หลังจากได้มีการแถลงรายละเอียดไปแล้วก่อนหน้านี้ มองการเร่งรัดให้กองทุนดังกล่าวเกิดขึ้นโดยเร็ว ถือเป็นภาพบวกต่อตลาด เชิงกลยุทธ์ เรามองหุ้นที่มีน้ำหนักใน THAIEsg สูง (>0.5%) และยัง Underperform SETESG ที่ YTD -10.1% รวมถึงมียอด Short ยังไม่ปิดสถานะสูง (>0.9% ของทุนชำระแล้ว) ยังเป็นกลุ่มน่าสนใจเข้าลงทุน ได้แก่ IVL (น้ำหนักใน SETESG 0.98%, YTD -30.6%, ยอด Short Sales/ทุนชำระแล้ว 1.98%) CRC (1.75%, -23.8%, 0.99%) BGRIM (0.51%, -22.6%, 0.93%) PTTGC (1.27%, -21.4%, 0.95%) GPSC (1.01%, -20.1%, 1.18%) CBG (0.63%, -17.6%, 1.01%) BBL (2.4%, -13.4%, 0.85%) SCGP (1.27%, -11.1%, 0.98%)

•(*/-) BOT Opinion: ผู้ว่าแบงก์ชาติ ระบุศักยภาพเศรษฐกิจไทยอยู่ที่ 3% การออกมาตรการกระตุ้นไม่ช่วยเศรษฐกิจโตกว่าเดิม มองต้องเปลี่ยนเชิงโครงสร้าง เพิ่มลงทุนและเทคโนโลยีใหม่ ขณะที่ไม่ปิดประตูปรับดอกเบี้ยนโยบาย หากมีการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ อย่างมีนัย โดยยังมองระดับดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันที่ 2.5% ยังมีความเหมาะสมกับภาวะปัจจุบัน KSS มองเป็นกลาง โดยภาพรวมยังไม่ใช้เรื่องที่เหนือกว่าตลาดคาดหมาย โดยในส่วนการเปลี่ยนโครงสร้าง เราเริ่มเห็นภาพทางบวกเป็นลำดับ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมใหม่ๆที่เริ่มเข้ามาลงทุนในไทย อาทิ EV, Data Center ส่วนจุดยืนดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบัน เราประเมินเป็นจิตวิทยาบวกต่อกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ เน้น KTB, BBL, TTB

• (*/+) Short Sales: หลังจากมาตรการ Uptick Rule มีผลวันที่ 4 วานนี้ในส่วนจำนวนหุ้นที่มียอด Short คงค้างอยู่ที่ 407 บริษัท (vs วานนี้ 407 บริษัท) พบว่า ส่วนใหญ่ยอด Short คงที่จากวันทำการก่อนหน้าที่ 269 บริษัท (วานนี้ 261 บริษัท) ส่วนหุ้นที่ Short น้อยลงอยู่ที่ 74 บริษัท (วานนี้ 68 บริษัท) ขณะที่หุ้นที่ Short เพิ่มขึ้นมี 64 บริษัท (วานนี้ 78 บริษัท) มองการ Short ส่วนใหญ่ที่คงที่/ลดลง จะช่วยลดความผันผวนจากการ Short Sales เป็นลำดับ จิตวิทยาบวกต่อ SET

• (*/+) To Monitor: 1.) วันนี้ (5 ก.ค.) เงินเฟ้อ CPI มิ.ย. 24 ตลาดคาด 1.0%y-y vs prev. 1.54% และ 2.) การพิจารณานำกองทุนวายุภักษ์กลับมาเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือช่วยขับเคลื่อนตลาดหุ้น มองจิตวิทยาบวกต่อหุ้นที่กองทุนถือสัดส่วนสูงในปัจจุบัน อาทิ PTT, AOT, SCB, KTB, TTB, ADVANC, BSRC

 

 

Daily Strategy : KCE, KTB, MOSHI เด่น

ระยะสั้น วันนี้มองภาพตลาด "ฟื้นตัวได้ต่อ" มองแรงหนุนต่างประเทศเป็นกลาง-บวกอ่อนๆ ตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดทำการ ขณะที่ Futures ยังแกว่งตัวรอรายงานภาคแรงงาน ขณะที่ยุโรปเป็นมีจิตวิทยาบวก การเลือกตั้งอังกฤษ ที่พรรคแรงงานที่เน้นนโยบายขยายตัวเศรษฐกิจมีแนวโน้มชนะเลือกตั้ง คาดส่งอานสิงส์ทางอ้อมต่อเศรษฐกิจยุโรประยะถัดไป ส่วนภายในรอติดตามเงินเฟ้อ CPI ขณะที่ตลาดยังน่าจะเริ่มให้น้ำหนัก บจ. ที่คาดกำไร 2Q24F จะออกมาดี มองหุ้นนำวันนี้ 1) หุ้นฝั่งธนาคาร ตลาดคาดจิตวิทยาบวกจากรายงานเงินเฟ้อ CPI ที่บ่งชี้โอกาส BOT คงดอกเบี้ยต่อ 2) หุ้นคาดรายงานกำไร 2Q24F เด่น อาทิ TRUE ADVANC KCE AU MINT หรือกลุ่มที่มีสัญญาณฟื้นตัว อาทิ MOSHI 3) กลุ่มได้รับจิตวิทยาบวกความคาดหวังเชิงบวกต่อเศรษฐกิจยุโรป อาทิ MINT

 

หุ้นได้ประโยชน์ภาคผลิตโลกผ่านจุดต่ำสุด + เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวหนุนอุตสาหกรรมทยอยเข้าสู่ Upgrade Cycle (HANA, SCGP)
กลุ่มภาคผลิตไทย PMI ภาคผลิตไทยอยู่ในระดับขยายตัวต่อเนื่อง 2 เดือนหนุน (GFPT, TU, CBG, SCGP, IVL, STA, NER)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรการท่องเที่ยวชุดใหญ่ของรัฐฯ หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (CPALL, ICHI, AOT, MINT, ERW)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, GPSC, CPALL, TRUE, MINT, WARRIX, MTC, MOSHI, KLINIQ)
กลุ่มได้ประโยชน์ Microsoft ลงทุน Data Center ในไทย (ADVANC, TRUE, INSET, GULF, WHA)

• JULY24 Best Picks: TRUE, CPAXT, GULF, KCE, WHA, MINT, OSP

• 3Q24Stock Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP

 

Tactical & Investment Idea

 

Research Highlight

 

• Strategy Update : US Election (The first debate)

Debate รอบแรก Biden และ Trump ประเด็นที่หยิบยกขึ้นมา คือ ประเด็นการทำแท้ง, ผู้อพยพต่างชาติและผู้ก่อการร้าย และชายแดนสหรัฐ-เม็กซิโก US-Mexico Broader ฯลฯ ทั้งนี้ ประเด็นทางเศรษฐกิจสำคัญไม่ได้ลงรายละเอียดมาก Trump พูดเน้นเดินหน้าไปที่การลดการขาดดุลค้าและเน้นการขึ้นภาษีกับประเทศอื่นๆ ฯลฯ Biden เน้นประเด็นการขึ้นภาษีผู้ที่มีรายได้สูงและมหาเศรษฐี

กลยุทธ์ KSS ประเมินแนวโนบายคล้ายกับในอดีตยังไม่มีประเด็นใหม่ และยังเหลือระยะเวลาพอสมควรก่อนการ Debate รอบถัดไป 10 ก.ย. 24 รายละเอียดนโยบายต่างๆหรือนโยบายสร้างจุดเปลี่ยนจึงยังสามารถเกิดขึ้นได้เพิ่มเติม ทำให้ยังมีความไม่แน่นอนจากประเด็นการเลือกตั้งใหญ่สหรัฐฯ กอปรกับ เศรษฐกิจสหรัฐฯที่เริ่มอ่อนลง และ Valuation สหรัฐฯที่ตึงตัว ประเมินงวด 3Q24 ก่อนเลือกตั้งตลาดหุ้นสหรัฐฯมีโอกาสเคลื่อนไหวในกรอบรอความชัดเจน

ส่วนกระแสเชิงบวกต่อหุ้นต่างๆ เราคาดตลาดให้น้ำหนัก ดังนี้ การเดินหน้าสงครามการค้าและเทคโนโลยีกับจีน ทำให้ยังคงมุมมองบวกกระแสในประเด็นดังกล่าวก่อนการเลือกตั้ง จะหนุนตลาดเก็งหุ้นกลุ่มนิคมในระยะกลาง – ยาว เน้น WHA กลุ่มส่งออกชิ้นส่วน เน้น KCE, HANA อาหาร เน้น CPF, GFPT ทั้งนี้ หาก Trump ชนะการเลือกตั้งมองหุ้นที่ได้ผลประโยชน์บวกจากเศรษฐกิจสหรัฐดีขึ้น อาทิ จากมาตรการลด Corporate Tax บวกต่อ IVL PTTGC ระยะสั้นก่อนจะเห็นภาพว่าผู้สมัครจะมีโอกาสชนะเลือกตั้งสูง ยังให้เน้นกลุ่มที่เกาะกระแสนโยบายทั้งสองฝ่ายในส่วนสงครามการค้าและเทคโนโลยี เน้น WHA, KCE, HANA, CPF, GFPT

• Strategy Update : ThaiESG 2024 ต่อ SET Index

รัฐบาลมีแผนปรับเงื่อนไขสิทธิประโยชน์จากกองทุนลดหย่อนภาษี ThaiESG ใหม่ โดยปรับเงื่อนไขให้สิทธิซื้อเพิ่มลดหย่อนภาษีได้เพิ่มขึ้นทั้งเม็ดเงิน และสัดส่วนเทียบกับฐานรายได้ ผสาน ระยะเวลาลงทุนสั้นลง KSS คาดว่าฐานเม็ดเงินที่เข้าสู่กองทุน ThaiESG รอบนี้ จะสูงราว 7.8 หมื่นล้านบาทต่อปี ขณะที่ SET ณ ปัจจุบัน ยังอยู่ใน Value Zone น่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนเชิงบวกตลาดหุ้นไทยนับจากนี้.

เชิงกลยุทธ์ : โดยรวม KSS ประเมินเป็น "บวก" ต่อตลาดหุ้นไทยคล้ายสมัยมาตรการลดหย่อนภาษีผ่านกองทุน LTF ในอดีต เนื่องจากเป็นการเสริมสภาพคล่องของเงินลงทุนระยะยาวในประเทศให้กลับมาแข็งแรงขึ้น กลยุทธ์แนะลงทุนในหุ้นใน SETESG ที่มีคุณสมบัติราคาลงแรงกว่า SET -6.6%YTD ได้แก่ BTS SCC, CRC, IVL, PTTGC, CPN, BBL, HMPRO และกลุ่มที่มีน้ำหนัก (Weight) ใน ESG สูง ได้แก่ GULF AOT, MTC, CPALL, GPSC

• Strategy Update : Time to Invest

ทีมกลยุทธ์ออกรายงาน Strategy Update "Time to invest" มอง SET Index โซนปัจจุบันให้ Current ERP ที่ 3.6% เป็นโซนลงทุน และมองใกล้ระดับจุดกลับตัว มองหุ้นน่าลงทุน 1) กลุ่มให้ Dividend สูง 2) กลุ่มที่ Underperform และมีส่วนลดทางพื้นฐานสูง

Key Ideas:

• SET Index ในปี 2024 ยัง "Underperform" ตลาดหุ้นโลกต่อเนื่องจากปี 2023 โดย YTD ปรับตัวลดลง -8.6% โดยการปรับตัวลดลงเร่งขึ้นในระยะหลังจากปัญหาความไม่ชัดเจนการเมือง

• อิงกลไก Equity Risk Premium (ERP) คือ ส่วนต่างผลตอบแทนระหว่าง Earnings Yield และ Bond Yield อิงระดับ Current EPS ปัจจุบันที่ราว 83 บาทต่อหุ้น และ Forward EPS ที่ 92 บาท ที่ระดับ Index โซน 1350-1300 จุด ถือเป็นจุดน่าสนใจสำหรับการวางสถานะลงทุนระยะกลาง-ยาว อิงระดับดัชนีปัจจุบัน Current และ Forward ERP นั้นสูงในระดับ 3.6%-4.22% สูงกว่า Avg 3.09% ขณะที่หาก Current ERP สูงเกินกว่าระดับ + 1 S.D. (4.09%) vs ปัจจุบันอยู่ที่ 3.6% ใกล้ระดับ +1 S.D. ที่เป็นจุดกลับตัวของตลาด

• จากการศึกษา Back test ย้อนหลัง 20 ปี พบว่า Current ERP แตะระดับดังกล่าว 7 ครั้งในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา พบว่า SET จะกลับมาให้ผลตอบแทนเป็นบวกเฉลี่ยทุกครั้งในระยะกลาง กล่าวคือ จากนั้น 3 เดือน 6 เดือน 9 เดือน และ 1 ปี SET ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 0.7%, 4.4% 9.9% และ 20.6% ด้วยความน่าจะเป็น 57%, 43%, 72% และ 86% ตามลำดับ

• มุมมองเม็ดเงินลงทุนระยะสั้นนักลงทุนต่างชาติ รอบล่าสุดที่เข้ามาคือ เริ่มตั้งแต่ช่วง เม.ย. 21 ซึ่งซื้อสะสมรวมถึงจุดสูงสุดช่วงราว มี.ค. 23 ด้วยเม็ดเงินรวม 2.85 แสนล้านบาท ขณะที่หลังจากนั้นเป็นการขายต่อเนื่องถึงปัจจุบัน นับถึงวานนี้ พบว่า เม็ดเงินดังกล่าวไหลออกจาก SET ไปกว่า 3แสนล้านบาทแล้ว บ่งชี้แรงขาย ของนักลงทุนต่างชาติจากจุดนี้น่าจะลดลงเป็นลำดับ

• มาตรการ Uptick ใกล้มีผล เดือน กค 2024 น่าจะลดความผันผวนฝั่ง "Short Sell" ได้บ้าง

กลยุทธ์ คำแนะนำสำหรับผู้ลงทุนระยะกลาง-ยาว ทยอยสะสมหุ้นในจุดที่มี Margin of Safety สูง ใน 2 Theme เด่น

1.) Dividend Plays ที่ธุรกิจมีความมั่นคง ให้ผลตอบแทน Div. Yield มากกว่าปีละ 4% (vs Policy Rate 2.5%) ได้แก่ SCB AP ICHI PTT BBL INTUCH ADVANC HMPRO BJC WHA TU

2.) หุ้นในกลุ่มที่ Underperform กว่าตลาด (SET YTD ปรับตัวลดลง -8.6%) แต่พื้นฐานระยะกลาง-ยาวยังแข็งแกร่ง Valuation มีส่วนลด PBV24F ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย >20% ได้แก่ BTS IVL LH HMPRO KCE PTTGC GPSC HANA GULF

 

 

•KCE (Buy, TP52): We expect KCE's core earnings in 2Q24 to improve significantly to Bt524m (+63% yoy, +24% qoq) thanks to the cost saving programs that improve its GPM continuously. Although KCE may not rally on the AI trend like other electronic company as their key customers are automotive sector, we believe its strong earnings growth should be the key drive for its share price. Maintain BUY with the new TP of Bt52. KCE remains our top pick.

•TU (Trading Buy, TP17): มุมมอง "Neutral" ต่อแนวโน้มกำไรปกติ 2Q24F คาดที่ 1,215 ลบ. (-5%y-y, +28%q-q) เติบโตต่อเนื่อง q-q จาก รายได้และ GPM เพิ่มขึ้น q-q จากอุปสงค์ต่อธุรกิจอาหารทะเลกระป๋องและธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้นและอานิสงส์บาทอ่อน ผนวกกับต้นทุนวัตถุดิบต่ำ ขณะที่คาดกำไรปกติลดลง y-y เพราะ SG&A/sales ดอกเบี้ยจ่าย และภาษีเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ คาด FX loss ราว -200 ลบ. จึงคาดกำไรสุทธิที่ 1,015 ลบ. (-1%y-y, -12%q-q) สำหรับโมเมนตั้ม 3Q24F คาดกำไรปกติดีต่อเนื่อง q-q เพราะเป็น High season ของการส่งออก และการขายสินค้า Premium หนุนรายได้และ GPM อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิ 1H24F คิดเป็นราว 38% ของประมาณการกำไรสุทธิปัจจุบันที่ 5,658 ลบ. จึงมีแนวโน้มทบทวนประมาณการและราคาเป้าหมายปี 24F ปัจจุบันคงคำแนะนำ Trading buy TP 17.00 บ.

•AU (Trading Buy, TP17): We maintain our positive view on AU premise on i) Expected +34% yoy and +7% qoq earnings growth in 2Q24F, driven by +10% SSSG (deriving from new products and improving margin), ii) Potential upside from convenience store expansion, implying AU's ability on leveraging its brand and asset creating incremental profit and (iii) AU deserves to be trading at a premium to peers because it offers strong margins and earnings recovery in 2024F. Buy reiterated with a target price of Bt10.

•INTUCH (Buy, TP98): We reiterate Buy with TP Bt98. Theme to invest in the stock is the indirect play to access ADVANC's EPS and DPS with the cheaper valuation. 2Q24 earnings are expected to rise both yoy (+20%) and qoq (+6%) driven by strong earnings contribution from ADVANC. And this will push 1H24 earnings to account for 52% of full-year forecast. We see the upside risk. Bt1.83 interim DPS is expected; yield 2.6%.

 

3Q24F Equity Outlook : The strong get stronger, the weak get less weak

Stock Best Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA

Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

ยืน 1200 จุด By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ ในท้องทุ่งสีเขียว หุ้นไทยบวกยืน 1200 จุดได้อีกครั้ง ...

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้