"Big Cap Play"
KSS Daily Strategy : : คาด SET วันนี้ "ฟื้นตัวต่อ" ต้าน 1306/1312 จุด รับ 1286/1281 จุด ดัชนี S&P500 และ NASDAQ ทำ All Time High ต่อ หลัง US Bond Yield 10ปี เริ่มลงเร่งขึ้น -6 bps สู่ 4.36% ภาคแรงงานและเศรษฐกิจสหรัฐอ่อนแรงกว่าคาด ดัชนี PMI ภาคบริการ (ISM) มิ.ย. 24 ต่ำสุดใน 4ปี การจ้างงานนอกภาคเกษตร(ADP) +1.5 แสนตำแหน่ง ต่ำกว่าตลาดคาด ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่องเพิ่ม 9 สัปดาห์ติด ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก +1.7%w-w สู่ 2.38 แสนตำแหน่ง((ยังห่างจาก Hard Landing Risk ระดับ 4.0 แสนตำแหน่ง) บ่งชี้เงินเฟ้อกำลังลงเร่งขึ้น แต่เศรษฐกิจยัง Soft Landing ส่วนภายใน พัฒนาการด้านการเมืองยังไม่มีปัจจัยลบเพิ่มเติม ล่าสุดต่างชาติเริ่มกลับมาสลับซื้อหุ้น(วานนี้ซื้อเอเชียทุกตลาด) และวานนี้มีสถานะ Long TFEX มากสุดตั้งแต่ 9 เม.ย. 2024 ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเริ่มเดินหน้า การผลักดันท่องเที่ยว, การเบิกจ่ายงบรัฐ และมาตรการ Soft Loan ให้ผู้ประกอบการ SMEs นโยบาย ส่วน Digital Wallet จะมีผลปลายปี ตลาดน่าจะเริ่มฟื้น หุ้นได้ประโยชน์ Yield ดิ่งลง หุ้นอิงการกระตุ้นเศรษฐกิจ และพลังงานต้นน้ำ วันนี้แนะนำ คือ AOT, GULF, KTB
Daily outlook: "ฟื้นตัวต่อ" ต้าน 1306/1312 จุด รับ 1286/1281 จุด
What happened around the world ?
•(*) US Stocks : ตลาดหุ้นสหรัฐ S&P500 และ Nasdaq ยังทำ All time high ต่อเนื่องมีแรงหนุนจากตัวเลขแรงงานชะลอและ ISM PMI ภาคบริการลดลงต่ำกว่า 50 จุด Dow jones -006% S&P500 +0.51%, Nasdaq +0.88% โดยดัชนี S&P Sector ที่ปรับขึ้นหลักคือกลุ่ม IT , Materials,Utilities ฯลฯ โดย Sector ที่ปรับลงหลักๆ คือ Healthcare , Consumer staples, Financials ฯลฯ โดยหุ้นที่ปรับขึ้น/ลงเด่นๆคือ NVDIA +4.57% Broadcom +4.3% (มองจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนไทยวันนี้) , Tesla +6.5% ขึ้นต่อรับประเด็นเดิม คือ ยอดส่งมอบรถดีกว่าคาด
•(-) US Labor market: 1.) ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนของสหรัฐ(ADP) เดือน มิ.ย. + 1.5 แสนราย ต่ำสุดในรอบ 4 เดือน แต่ลดลงจาก 1.57 แสนราย ในเดือน พ.ค. และต่ำกว่า Consensus คาดไว้ที่ 1.6 แสนราย 2.) จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 2.38 แสนราย (สูงกว่าค่าเฉลี่ย 4 สัปดาห์ที่ 2.36 แสนราย และมากกว่าที่ Consensus คาดที่ 2.35 แสนราย) สะท้อนความตึงตัวหรือร้อนแรงในตลาดแรงงานเริ่มคลี่คลาย อย่างไรก็ตามตัวเลขที่ออกมาสะท้อนภาคแรงงานสหรัฐยังอยู่ในจุดยังไม่อยู่ระดับที่น่ากังวล KSS ประเมินสะท้อนภาพภาคแรงงานสหรัฐฯประคองในลักษณะ Soft Landing ได้ (ความเสี่ยง Hard Landing จะเกิดขึ้นผู้ขอรับสวัสดิการครั้งแรกเฉลี่ยจะสูงกว่าระดับ 4.0 แสนราย)
•(-) US PMI Service : PMI ภาคบริการสหรัฐในเดือน มิ.ย. ยังมีทิศทางที่ขัดแย้งกันจาก 2 หน่วยงาน โดย PMI ภาคบริการจาก S&P Global ปรับขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 2 ปี ที่ระดับ 55.3 จุดมากกว่าที่ Consensus คาดไว้ที่ 55.1 จุด ตรงกันข้ามตัวเลขจากสถาบัน ISM ปรับลงทำสถิติต่ำสุดในรอบ 4 ปีที่ระดับ 48.8 จุด(เกือบทุกองค์ประกอบร่วงแรง) โดยตลาดให้น้ำหนักกับ ISM มากกว่า ซึ่งอิงข้อมูลจากผู้บริหารฝ่ายจัดซื้อ แตกต่าง S&P อิงการสำรวจจาก CEO, CFO
•(+/-) Fed Minutes: คณะกรรมการ Fed ส่วนใหญ่ยังหนุนให้Fed คงอัตราดอกเบี้ยไว้ก่อนเพื่อให้มั่นใจว่าเงินเฟ้อกลับสู่เป้าหมายที่ระดับ 2% อย่างไรก็ตามใน Minutes ดังกล่าวมีความเห็นที่เป็นบวก อาทิ อัตราเงินเฟ้อมีสัญญาณชะลอตัว,ตลาดแรงงานลดความร้อนแรง, กิจกรรมเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัว KSS ประเมินบ่งชี้ว่าคณะกรรมการ Fed มีโอกาสที่จะปรับอัตราดอกเบี้ยลงในอนาคตสอดคล้องกับ 2 ข้อมูลข้างต้น มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อสินทรัพน์เสี่ยง
• (*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield ปรับลง อายุ 2 ปีลดลง 2 วันติดและเมื่อวานลงแรง - 5 bps ลงมาอยู่ที่ 4.70% ส่วนอายุ 10 ปี ปรับลง -6 bps อยู่ที่ 4.36% มองเป็นจิตวิทยาบวต่อหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า เน้น GULF, CKP กลุ่มการเงิน MTC กลุ่มชิ้นส่วน อาทิ KCE HANA เช่นเดียวกับ Dollar Index ระยะสั้นแนวโน้มอ่อนค่าต่อเนื่อง ล่าสุดบริเวณ 105.3+/- จุด
• (*) To monitor : 5 ก.ค. ติดตามการจ้างงานนอกภาคเกษตร มิ.ย. คาด +1.88 แสนราย vs prev. 2.72 แสนราย, อัตราการว่างงาน มิ.ย. คาด 4.0% ทรงจาก prev.
• (+) Oil : น้ำมันดิบ Brent +1.28%d-d ปิดที่ US$ 87.34/barrel น้ำมันดิบ West Texas +1.29%d-d ปิดที่ US$ 83.88/barrel แรงหนุนระยะสั้นมาจาก Supply ฝั่งสหรัฐลดลง โดย EIA รายงานสต็อกน้ำมันดิบ -12.2 ล้านบาร์เรล มากกว่าตลาดคาด - 4 แสนบาร์เรลและ สต็อกน้ำมันเบนซินลดลง -2.2 ล้านบาร์เรลมากกว่าตลาดคาด - 1.5 แสนบาร์เรล ผสานกับความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่ยังมีอยู่ มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นพลังงานต้นน้ำ อาทิ PTT, PTTEP กลุ่มโรงกลั่น อาทิ SPRC, TOP วันนี้
What happened in Thailand ?
• (*/+) SET: SET Index ปรับตัวขึ้น +6.12 จุด หรือ +0.47% ปิดที่ 1294.67 จุด กลุ่มหนุน คือ กลุ่มพลังงาน (GULF, GPSC) ราคาก๊าซธรรมชาติเริ่มแกว่งตัวลงต่อเนื่อง โดยทางเทคนิคเริ่มต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน กลุ่มธนาคาร (KTB, BBL, KBANK) มองประเด็นข่าวความคืบหน้านโยบาย Digital Wallet กลุ่มถ่วง คือ กลุ่มท่องเที่ยว (AWC, ERW) มองยังเป็นช่วงพักตัวของกลุ่มท่องเที่ยว เนื่องจากยังอยู่ในช่วงนอกฤดูกาล กลุ่มแพ็คเกจจิ้ง (SCGP) มองพักตัว หลังปรับขึ้นได้ดีกว่า SET ในช่วงที่ผ่านมา
• (*/+) Flow : เงินทุนต่างประเทศไหลออก ซื้อหุ้น +35.9 ล้านเหรียญฯ เป็นการซื้อครั้งที่ 2 ใน 30 วันทำการล่าสุด ขายพันธบัตร -104.2 ล้านเหรียญฯ TFEX Net Long 45,766 สัญญา เป็นการ Long สูงสุดตั้งแต่วันที่ 9 เม.ย. เงินบาทแข็งค่าสู่ 36.7 +/- บาท
•(*/+) Digital Wallet: วานนี้มีกระแสข่าวในส่วนกระทรวงการคลังเปิดเผยเตรียมประกาศวันลงทะเบียน Digital Wallet ภายใน ก.ค. นี้ หลังจากนั้น 2 เดือนจะกำหนดวันรับเงินที่ชัดเจน แม้ภายหลังจะมีการปฏิเสธโดย รมช. คลัง โดยระบุว่ายังอยู่ในช่วงดำเนินการ ทั้งนี้ เราประเมินจากความคืบหน้าแหล่งที่มาของเงินทุนส่วนต่างๆ ต่อเนื่อง ประเมินความคืบหน้าในส่วนนโยบาย Digital Wallet มีโฮกาสเกิดขึ้นในอีกไม่นานนี้
ทั้งนี้ หากนโยบายดังกล่าวมีความคืบหน้าดังกล่าวเป็นบวกต่อ SET เนื่องจาก Consensus ยังไม่รวมผลบวกดังกล่าวในประมาณการ GDP และกำไรตลาด ขณะที่จะเป็นบวกหุ้นในกลุ่ม Domestic อาทิ ค้าปลีก โดยเฉพาะกลุ่มที่จำหน่ายสินค้าจำเป็น CPALL, CPAXT, BJC เครื่องดื่ม OSP, SAPPE, ICHI ธนาคาร BBL, KTB
•(*/+) Government Stimulus: รัฐบาลเปิดเผยถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงที่เหลือของปีเพิ่มเติม เพื่อให้ GDP เติบโต 3% ตามเป้าหมาย หลักๆ ดังนี้
การผลักดันนักท่องเที่ยวเพิ่มจากเป้าหมายปี 2024F เดิมอีก 1 ล้านคนสู่เป้าหมายใหม่ 36.7 ล้านคน และกำลังหามาตรการหนุนนักท่องเที่ยวอยู่นาน+จับจ่ายเพิ่มขึ้น
การเร่งรัดเบิกจ่ายงบลงทุนภาครัฐฯให้ได้เกิน 70% ของวงเงินที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ ล่าสุด 30 มิ.ย. เบิกจ่ายได้ราว 36.7% ซึ่งหากรวมส่วนที่มีการจัดซื้อจัดจ้างแล้วปัจจุบันจะสูงราว 51% โดยแผนในเร่งจัดซื้อจัดจ้าง อาทิ กรณีที่มีผู้ประมูลรายเดียวก็สามารถจัดจ้างได้เลย
ให้ธนาคารออมสินออกมาตรการสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ วงเงิน 1.0 แสนล้านบาท ปล่อยกู้ธนาคารพาณิชย์ให้นำเงินไปปล่อยสินเชื่อต่อให้ลูกค่า SMEs รายใหม่
โดยรวมมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อ SET ที่จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเข้ามาเพิ่มเติมก่อนนโยบาย Digital Wallet จะเริ่มขับเคลื่อนได้ อิงแผนรัฐฯราว 4Q24 มองมาตรการท่องเที่ยว บวกต่อกลุ่มท่องเที่ยวการบิน อาทิ AOT, MINT, ERW การเร่งรัดงบลงทุนรัฐฯ บวกต่อกลุ่มอิงงบรัฐ อาทิ KTB, STEC, DOHOME, กลุ่ม Digital Tech Consult ส่วนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ มองบวกกลุ่มธนาคารที่มีฐานลูกค้า SMEs สูง อาทิ KBANK, TTB
•(*/+) FDI: กระแส FDI ยังเป็นภาพบวก 1) "Pop Mart International Group" รุกตลาดไทย เร่งเจรจา "BOI" ยื่นขอสิทธิส่งเสริมการลงทุน โดยปัจจุบัน ป๊อป มาร์ท (ไทยแลนด์) จำกัด ได้มีการลงทุนเปิดร้านค้าในไทยทั้งสิ้น 5 สาขา คาดว่าการยื่นขอ BOI จะรองรับทั้งการขยายสาขาเพิ่มเติม รวมถึงแผนลงทุนอื่นๆ เช่น สวนสนุกอาร์ตทอย และ Digital Entertainment กรณีดังกล่าวมองจิตวิทยาบวกหนุนภาคท่องเที่ยวไทย เน้น AOT, ERW, MINT 2) NEXTEM เจ้าของรถยนต์ Mini EVTruck มีแผนตั้งโรงงานประกอบรถในประเทศไทยในอนาคต มองจิตวิทยาบวกต่อหุ้นนิคม เน้น WHA
•(*) TH Politic: ศาลรัฐธรรมนูญ กำหนดนัดพิจารณาต่อไปในคดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้วินิจฉัยเพื่อมีคำสั่งยุบพรรคก้าวไกลในวันที่ 17 ก.ค. 24 ทำให้ Overhang จากประเด็นทางการเมืองยังไม่สิ้นสุด แต่ไม่เหนือกว่าที่ตลาดคาดหมายความชัดเจนไว้ช่วง ก.ย. 24 ตามความเห็นประธานศาลรัฐธรรมนูญล่าสุด ทั้งนี้ กำหนดการสำคัญถัดไปในส่วนคดีทางการเมือง คือ 10 ก.ค. ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณากรณีคุณสมบัตินายก
• (*/+) Short Sales: หลังจากมาตรการ Uptick Rule มีผลวันที่ 3 วานนี้ในส่วนจำนวนหุ้นที่มียอด Short คงค้างอยู่ที่ 407 บริษัท (vs วานนี้ 403 บริษัท) พบว่า ส่วนใหญ่ยอด Short คงที่จากวันทำการก่อนหน้าที่ 261 บริษัท (วานนี้ 110 บริษัท) หุ้นที่ Short เพิ่มขึ้นมี 78 บริษัท (วานนี้ 21 บริษัท) ส่วนหุ้นที่ Short น้อยลงอยู่ที่ 68 บริษัท (วานนี้ 272 บริษัท) มองการ Short ส่วนใหญ่ที่คงที่/ลดลง จะช่วยลดความผันผวนจากการ Short Sales เป็นลำดับ จิตวิทยาบวกต่อ SET
• (*/+) To Monitor: 1.) 5 ก.ค. เงินเฟ้อ CPI มิ.ย. 24 ตลาดคาด 1.0%y-y vs prev. 1.54% และ 2.) การพิจารณานำกองทุนวายุภักษ์กลับมาเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือช่วยขับเคลื่อนตลาดหุ้น
Daily Strategy : AOT, GULF, KTB เด่น
ระยะสั้น วันนี้มองภาพตลาด "ฟื้นตัวได้ต่อ" มองแรงหนุนต่างประเทศบวก US Bond Yield อายุ 10ปี ดิ่งลงต่อ -6 bps หลังสัญญาณเศรษฐกิจสหรัฐฯบ่งชี้ภาพเงินเฟ้ออ่อนลง และเศรษฐกิจเป็นภาพ Soft Landing ชัดมากขึ้น คาดนำมาสู่ภาพ Search for Yield โดยภายใน แม้การเมืองยังเป็น Overhang แต่มีจุดดีที่สะท้อนใน SET ไปมากแล้ว ขณะที่การเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจยังเดินต่อ วันนี้ มองหุ้นนำวันนี้ 1) กลุ่มได้ประโยชน์ Yield ปรับลดลงหนุน อาทิ โรงไฟฟ้า GULF GPSC เช่าซื้อ MTC หนี้สูง MINT TRUE 2) กลุ่มได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจรัฐฯ ท่องเที่ยว AOT, ERW เบิกจ่ายงบลงทุนรัฐฯ KTB, STEC, DOHOME ส่วนมาตรการให้ Soft Loan มอง KBANK, TTB 3) กลุ่มพลังงานต้นน้ำ โดยเฉพาะฝั่งโรงกลั่น อาทิ TOP
หุ้นได้ประโยชน์ภาคผลิตโลกผ่านจุดต่ำสุด + เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวหนุนอุตสาหกรรมทยอยเข้าสู่ Upgrade Cycle (HANA, SCGP)
กลุ่มภาคผลิตไทย PMI ภาคผลิตไทยอยู่ในระดับขยายตัวต่อเนื่อง 2 เดือนหนุน (GFPT, TU, CBG, SCGP, IVL, STA, NER)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรการท่องเที่ยวชุดใหญ่ของรัฐฯ หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (CPALL, ICHI, AOT, MINT, ERW)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, GPSC, CPALL, TRUE, MINT, WARRIX, MTC, MOSHI, KLINIQ)
กลุ่มได้ประโยชน์ Microsoft ลงทุน Data Center ในไทย (ADVANC, TRUE, INSET, GULF, WHA)
• JULY24 Best Picks: TRUE, CPAXT, GULF, KCE, WHA, MINT, OSP
• 3Q24Stock Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP
Tactical & Investment Idea
Research Highlight
• Strategy Update : US Election (The first debate)
Debate รอบแรก Biden และ Trump ประเด็นที่หยิบยกขึ้นมา คือ ประเด็นการทำแท้ง, ผู้อพยพต่างชาติและผู้ก่อการร้าย และชายแดนสหรัฐ-เม็กซิโก US-Mexico Broader ฯลฯ ทั้งนี้ ประเด็นทางเศรษฐกิจสำคัญไม่ได้ลงรายละเอียดมาก Trump พูดเน้นเดินหน้าไปที่การลดการขาดดุลค้าและเน้นการขึ้นภาษีกับประเทศอื่นๆ ฯลฯ Biden เน้นประเด็นการขึ้นภาษีผู้ที่มีรายได้สูงและมหาเศรษฐี
กลยุทธ์ KSS ประเมินแนวโนบายคล้ายกับในอดีตยังไม่มีประเด็นใหม่ และยังเหลือระยะเวลาพอสมควรก่อนการ Debate รอบถัดไป 10 ก.ย. 24 รายละเอียดนโยบายต่างๆหรือนโยบายสร้างจุดเปลี่ยนจึงยังสามารถเกิดขึ้นได้เพิ่มเติม ทำให้ยังมีความไม่แน่นอนจากประเด็นการเลือกตั้งใหญ่สหรัฐฯ กอปรกับ เศรษฐกิจสหรัฐฯที่เริ่มอ่อนลง และ Valuation สหรัฐฯที่ตึงตัว ประเมินงวด 3Q24 ก่อนเลือกตั้งตลาดหุ้นสหรัฐฯมีโอกาสเคลื่อนไหวในกรอบรอความชัดเจน
ส่วนกระแสเชิงบวกต่อหุ้นต่างๆ เราคาดตลาดให้น้ำหนัก ดังนี้ การเดินหน้าสงครามการค้าและเทคโนโลยีกับจีน ทำให้ยังคงมุมมองบวกกระแสในประเด็นดังกล่าวก่อนการเลือกตั้ง จะหนุนตลาดเก็งหุ้นกลุ่มนิคมในระยะกลาง – ยาว เน้น WHA กลุ่มส่งออกชิ้นส่วน เน้น KCE, HANA อาหาร เน้น CPF, GFPT ทั้งนี้ หาก Trump ชนะการเลือกตั้งมองหุ้นที่ได้ผลประโยชน์บวกจากเศรษฐกิจสหรัฐดีขึ้น อาทิ จากมาตรการลด Corporate Tax บวกต่อ IVL PTTGC ระยะสั้นก่อนจะเห็นภาพว่าผู้สมัครจะมีโอกาสชนะเลือกตั้งสูง ยังให้เน้นกลุ่มที่เกาะกระแสนโยบายทั้งสองฝ่ายในส่วนสงครามการค้าและเทคโนโลยี เน้น WHA, KCE, HANA, CPF, GFPT
• Strategy Update : ThaiESG 2024 ต่อ SET Index
รัฐบาลมีแผนปรับเงื่อนไขสิทธิประโยชน์จากกองทุนลดหย่อนภาษี ThaiESG ใหม่ โดยปรับเงื่อนไขให้สิทธิซื้อเพิ่มลดหย่อนภาษีได้เพิ่มขึ้นทั้งเม็ดเงิน และสัดส่วนเทียบกับฐานรายได้ ผสาน ระยะเวลาลงทุนสั้นลง KSS คาดว่าฐานเม็ดเงินที่เข้าสู่กองทุน ThaiESG รอบนี้ จะสูงราว 7.8 หมื่นล้านบาทต่อปี ขณะที่ SET ณ ปัจจุบัน ยังอยู่ใน Value Zone น่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนเชิงบวกตลาดหุ้นไทยนับจากนี้.
เชิงกลยุทธ์ : โดยรวม KSS ประเมินเป็น "บวก" ต่อตลาดหุ้นไทยคล้ายสมัยมาตรการลดหย่อนภาษีผ่านกองทุน LTF ในอดีต เนื่องจากเป็นการเสริมสภาพคล่องของเงินลงทุนระยะยาวในประเทศให้กลับมาแข็งแรงขึ้น กลยุทธ์แนะลงทุนในหุ้นใน SETESG ที่มีคุณสมบัติราคาลงแรงกว่า SET -6.6%YTD ได้แก่ BTS SCC, CRC, IVL, PTTGC, CPN, BBL, HMPRO และกลุ่มที่มีน้ำหนัก (Weight) ใน ESG สูง ได้แก่ GULF AOT, MTC, CPALL, GPSC
• Strategy Update : Time to Invest
ทีมกลยุทธ์ออกรายงาน Strategy Update "Time to invest" มอง SET Index โซนปัจจุบันให้ Current ERP ที่ 3.6% เป็นโซนลงทุน และมองใกล้ระดับจุดกลับตัว มองหุ้นน่าลงทุน 1) กลุ่มให้ Dividend สูง 2) กลุ่มที่ Underperform และมีส่วนลดทางพื้นฐานสูง
Key Ideas:
• SET Index ในปี 2024 ยัง "Underperform" ตลาดหุ้นโลกต่อเนื่องจากปี 2023 โดย YTD ปรับตัวลดลง -8.6% โดยการปรับตัวลดลงเร่งขึ้นในระยะหลังจากปัญหาความไม่ชัดเจนการเมือง
• อิงกลไก Equity Risk Premium (ERP) คือ ส่วนต่างผลตอบแทนระหว่าง Earnings Yield และ Bond Yield อิงระดับ Current EPS ปัจจุบันที่ราว 83 บาทต่อหุ้น และ Forward EPS ที่ 92 บาท ที่ระดับ Index โซน 1350-1300 จุด ถือเป็นจุดน่าสนใจสำหรับการวางสถานะลงทุนระยะกลาง-ยาว อิงระดับดัชนีปัจจุบัน Current และ Forward ERP นั้นสูงในระดับ 3.6%-4.22% สูงกว่า Avg 3.09% ขณะที่หาก Current ERP สูงเกินกว่าระดับ + 1 S.D. (4.09%) vs ปัจจุบันอยู่ที่ 3.6% ใกล้ระดับ +1 S.D. ที่เป็นจุดกลับตัวของตลาด
• จากการศึกษา Back test ย้อนหลัง 20 ปี พบว่า Current ERP แตะระดับดังกล่าว 7 ครั้งในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา พบว่า SET จะกลับมาให้ผลตอบแทนเป็นบวกเฉลี่ยทุกครั้งในระยะกลาง กล่าวคือ จากนั้น 3 เดือน 6 เดือน 9 เดือน และ 1 ปี SET ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 0.7%, 4.4% 9.9% และ 20.6% ด้วยความน่าจะเป็น 57%, 43%, 72% และ 86% ตามลำดับ
• มุมมองเม็ดเงินลงทุนระยะสั้นนักลงทุนต่างชาติ รอบล่าสุดที่เข้ามาคือ เริ่มตั้งแต่ช่วง เม.ย. 21 ซึ่งซื้อสะสมรวมถึงจุดสูงสุดช่วงราว มี.ค. 23 ด้วยเม็ดเงินรวม 2.85 แสนล้านบาท ขณะที่หลังจากนั้นเป็นการขายต่อเนื่องถึงปัจจุบัน นับถึงวานนี้ พบว่า เม็ดเงินดังกล่าวไหลออกจาก SET ไปกว่า 3แสนล้านบาทแล้ว บ่งชี้แรงขาย ของนักลงทุนต่างชาติจากจุดนี้น่าจะลดลงเป็นลำดับ
• มาตรการ Uptick ใกล้มีผล เดือน กค 2024 น่าจะลดความผันผวนฝั่ง "Short Sell" ได้บ้าง
กลยุทธ์ คำแนะนำสำหรับผู้ลงทุนระยะกลาง-ยาว ทยอยสะสมหุ้นในจุดที่มี Margin of Safety สูง ใน 2 Theme เด่น
1.) Dividend Plays ที่ธุรกิจมีความมั่นคง ให้ผลตอบแทน Div. Yield มากกว่าปีละ 4% (vs Policy Rate 2.5%) ได้แก่ SCB AP ICHI PTT BBL INTUCH ADVANC HMPRO BJC WHA TU
2.) หุ้นในกลุ่มที่ Underperform กว่าตลาด (SET YTD ปรับตัวลดลง -8.6%) แต่พื้นฐานระยะกลาง-ยาวยังแข็งแกร่ง Valuation มีส่วนลด PBV24F ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย >20% ได้แก่ BTS IVL LH HMPRO KCE PTTGC GPSC HANA GULF
•ITC (Not Rated, TP Con26.1): มุมมอง "Slightly Positive" ต่อแนวโน้มกำไรสุทธิ 2Q24F คาดที่ 832 ลบ. (+87%y-y, +1%q-q) ปัจจัยหนุนหลักจาก i) คาดยอดขายเพิ่มขึ้น +30%y-y, +5%q-q จากลูกค้าสหรัฐฯเติบโตสูง ii) คาด GPM เพิ่มขึ้น +730 bps y-y ทรงตัว q-q เพราะ yield การผลิตดีขึ้นและมีสต๊อกต้นทุนต่ำ สำหรับโมเมนตั้ม 3Q24F คาดกำไรเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง y-y, q-q จากปัจจัยฤดูกาล High season กลุ่มส่งออก และมีสินค้าบางส่วนค้างส่งมาจาก 2Q24 ทั้งนี้ บริษัทมีแผนที่จะปรับเป้าหมายรายได้ GPM และ SG&A to sales เพิ่มขึ้นในการประชุมนักวิเคราะห์ 2Q24 อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเรายังไม่ได้ Cover หุ้น ITC จึงยังไม่มีคำแนะนำและราคาเป้าหมาย (IAA Median Consensus ที่ 26.10 บ.)
•SAPPE (Buy, TP125): In 2Q24F, we expect SAPPE to grow its core profit by 13% yoy (to Bt 371m), underpinned by both domestic (sales growth 15% yoy) and international sales (sales growth 25% yoy). In Thailand, the accelerating sales growth of 15% yoy (versus 5.8% yoy in 1Q24) was driven by functional drinks and RTD coffee. In international markets, the strong growth was underpinned by sales of Mogu Mogu especially in USA and Europe from expanding points of sales through modern-trading retailers. Maintain all estimates, BUY and TP Bt125.
•SC (Buy, TP3.4): มุมมอง slightly negative ต่อ 2Q24F presale ที่ 5.7 พันลบ. (-23% y-y,-5% q-q) เพราะยังลดลง y-y, q-q และต่ำกว่าเป้าที่บริษัทคาดไว้เล็กน้อย โดยรวมการลดลง y-y มาจากทั้ง low-rise และ condo ตามกำลังซื้อที่ชะลอตัวลง รวมถึงแรงกดดันเรื่อง cancellation rate, rejection rate ที่ยังสูงกว่าปกติ สำหรับ 1H24F presale = 11.6 พันลบ. (-5% y-y) คิดเป็น 42% จากเป้าปี 2024F ที่ 28.0 พันลบ. (flat y-y) ซึ่งเราคาดมีโอกาส downside ราว 10% แนวโน้มกำไรสุทธิ 2Q24F เบื้องต้นคาดที่ 400 ลบ. ลดลง y-y, เพิ่มขึ้นมาก q-q โดยกำไรสุทธิที่ลดลง y-y มาจากการโอนและ % GPM ที่ลดลง ในขณะที่ประมาณการกำไรสุทธิ 2024F เรามีการปรับลดลง 15% จากเดิม มาที่ 2.03 พันลบ. (-18% y-y) ตามการโอนกลุ่ม low-rise ที่คาดต่ำกว่าเดิมเป็นหลัก โดยแนวโน้มกำไรสุทธิ 3Q24F คาดใกล้เคียง 2Q24F และน่าจะ peak สุดของปีใน 4Q24F ที่จะมี 2 condo ใหม่เข้ามาโอน เราปรับ TP24F ลงเหลือ 3.40 บาท ถึงแม้คง BUY ในระยะยาว แต่ช่วงสั้น-กลางที่ยังไม่มี positive catalyst ทำให้เรา wait and see ไปก่อน โดยรอสัญญาณ presale และ transfer เริ่มกลับมา ค่อยเป็นโอกาสสะสมอีกครั้ง
3Q24F Equity Outlook : The strong get stronger, the weak get less weak
Stock Best Picks : CPALL, GFPT, HANA, KCE, MINT, MTC, OSP, TRUE, TU, WHA
Mid-Small Cap Play : CKP, DOHOME, INSET, TNP