Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.เอเซีย พลัส : Market Talk

521

 

SET INDEX ดูอ่อนล้ามาก
อาการของ SET INDEX ที่ปรับลดลงต่อเนื่อง จนมาอยู่ที่ 1288.58 จุด ซึ่งVALUATION ในทางปัจจัยพื้นฐานก็ถือว่าต่ำมากแล้ว แต่ก็ยังเห็นแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติดำเนินไปไม่หยุด โดยวานนี้ขายสุทธิอีก 2.82พันล้านบาท พร้อมเปิด SHORTใน FUTURE ภาพดังกล่าวสะทัอนความอ่อนล้าของตลาดหุ้นไทย และนักลงทุนที่อยู่ในภาวะที่ขาดความเชื่อมั่นส่วนปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐานเช้านี้แม้จะเป็นมุมบวกเล็กน้อย จากทิศทางดอกเบี้ยในสหรัฐฯ ที่น่าจะปรับลดลงในเดือน ก.ย.67 ขณะที่แนวโน้มกำไรงวด 2Q67 ของบริษัทจดทะเบียนในบ้านเราน่าจะเติบโตYOY อย่างมีนัยสำคัญ น่าจะช่วยประคอง SET INDEX ได้ระดับหนึ่ง แต่ก็ยังต้องติดตามความเสี่ยงจากปัจจัยการเมืองที่รออยู่ข้างหน้า ทั้งนี้หากมูลค่าการซื้อขายไม่กลับมา ก็ยากที่ SET INDEX จะเปลี่ยนทิศทางมูลค่าการซื้อขายที่เบาบาง ขณะที่ FUND FLOW ไหลออก ทำให้SETINDEX ยังอยู่ในภาวะที่ผันผวน และอ่อนแรง วันนี้คาดกรอบ 1280 –1296 จุด หุ้น TOP PICK เลือก BDMS, BEM และ PTTEP


วัฏจักรดอกเบี้ยขาลงดูชัดเจนขึ้น
วานนี้ในงาน ECB FORUM ประธาน FED ยังไม่กล่าวถึงกำหนดที่แน่นอนในการปรับลดดอกบี้ย เนื่องจากยังต้องการหลักฐานมั่นใจเพียงพอที่จะเห็นเงินเฟ้อเข้าสู่กรอบเป้าหมายที่ 2% อย่างไรก็ตามในช่วงที่ผ่านมา ค่อนข้างพึงพอใจกับความคืบหน้าของเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลง ส่งผลให้ BOND YIELD 10Y สหรัฐฯ เริ่มมีการย่อตัวลงมา0.67% สู่ระดับ 4.43%

ด้านผลการสำรวจของ FED WATCH TOOL ล่าสุดคาด FED ปรับลดดอกเบี้ยเหลือ5.25% ในการประชุมรอบเดือน ก.ย. นี้ โดยให้น้ำหนักมากขึ้นเป็น 63% (เดิมราว50%) และอาจเห็น FED ปรับลดดอกเบี้ยอีกครั้งเหลือ 5.0% ในการประชุมรอบเดือนธ.ค. 67 ด้วยความน่าจะเป็นราว 44%


ขณะที่ฝั่งยุโรปยังคงเห็นสัญญาณการชะลอตัวลงของเงินเฟ้ออย่างต่อเนื่อง โดยเงินเฟ้อยุโรปเดือน มิ.ย. 67 ขยายตัว +2.5%YOY ตามคาด ซึ่งปรับตัวลดลงจากเดือนก่อน 2.6%YOY ทำให้ล่าสุดอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 1.75%สำหรับทิศทางดอกเบี้ยในระยะถัดไป ประธาน ECB เผยว่ายังต้องติดตามข้อมูลทางเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด หลังเงินเฟ้อยังไม่เข้าสู่กรอบเป้าหมาย 2%


สรุป ตลาดให้น้ำหนักมาขึ้นว่า FED อาจเริ่มปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรกในเดือน ก.ย. 67ซึ่งวัฏจักรดอกเบี้ยขาลงดูชัดเจนขึ้นในสหรัฐฯ เชื่อว่าจะเป็น SENTIMENT เชิงบวกหนุนให้เม็ดเงินออกจากสินทรัพย์ปลอดภัย ไหลเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้นหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น หวังเศรษฐกิจโตตามทัน

วานนี้ครม.สัญจรเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ คือให้มีการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณปี2567 ครั้งที่ 2 ซึ่งภายหลังจากมีการปรับปรุงหนี้สาธารณะแล้วระดับ PUBLIC DEBT/GDP จะอยู่ที่ 65.05% (เดิม61.29%)ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
• แผนก่อหนี้ใหม่ปรับเพิ่มสุทธิ 275,870.08 ล้านบาท (จากเดิม 7.56 แสน ลบ.เป็น 1.03 ล้าน ลบ.)
• แผนการบริหารหนี้เดิม ปรับเพิ่มสุทธิ 33,420.32 ล้านบาท (จากเดิม 2.01ล้าน ลบ. เป็น 2.04 ล้าน ลบ.)
• แผนการชำระหนี้ปรับเพิ่มสุทธิ 54,555.17 ล้านบาท (จากเดิม 4.00 แสนลบ. เป็น 4.54 แสน ลบ.)

โดยการเพิ่มงบประมาณปี 2567 เพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ ผ่านการทำโครงการ DIGITAL WALLET เติมเงิน 10,000 บาท ซึ่งต้องติดตามว่ารัฐบาลจะมีความสามารถชำระหนี้ได้มากน้อยเพียงใด ในสภาวะดอกเบี้ยสูงที่ระดับ 2.50% จึงทำให้ตลาดคาดว่าหนี้สาธารณะมีแนวโน้มว่าจะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดหนี้สาธารณะบ้านเรา ณ สิ้น พ.ค.67 อยู่ที่ 11.65 ล้านล้านบาท ส่วนประมาณการ GDP อยู่ที่ 18.11 ล้านล้านบาท หรือมีสัดส่วนหนี้ฯ/GDP64.29%


อย่างไรก็ตาม สศช.คาดว่าโครงการ DIGITAL WALLET จะช่วงดัน GDP ไทยใน4Q67 เติบโตได้ราว 0.25% หรือมีเม็ดเงินเข้ามาในระบบราว 2 แสนล้านบาท ซึ่งนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจไทยภาครัฐ เชื่อว่าจะเป็นแรงหนุนให้ GDP ไทยขยายตัวตามไปด้วย ซึ่งน่าจะช่วยลดสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ให้อยู่ในเกณฑ์ของกรอบวินัยการคลังอยู่ และน่าจะช่วยลดภาระหนี้ครัวเรือนที่ล่าสุดอยู่ระดับ 91.3% ได้ไม่มากก็น้อย

ขณะที่ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินสมมุติฐานต่างๆ ได้ว่า รัฐบาลสามารถก่อหนี้เพิ่มได้ราว 1.2ล้านล้านบาท ภายใต้ GDP เท่าเดิมก็ยังอยู่ในกรอบ 70% หนี้สาธารณะต่อ GDP หรือจะก่อหนี้เพิ่มขึ้นได้ถึง 1.8 ล้านล้านบาท หาก GDP เติบโตได้ 5% ในปีนี้

ส่วนบรรยากาศทางการเมือง ณ ปัจจุบัน ทางสวนดุสิตมีการเผยแพร่โพลดัชนีการเมืองไทย ซึ่งประกอบไปด้วยปัญหา 25 ข้อ โดยล่าสุดเดือน มิ.ย.67 ดัชนีดังกล่าวปรับตัวลดลง MOM ทุกข้อ โดยเฉพาะปัญหาที่ประชาชนส่วนใหญ่กังวล คือ ราคาสินค้าปรับลงจาก 4.41 เหลือ 4.00 ,การแก้ปัญหายาเสพติดและผู้มีอิทธิพลปรับลงจาก 4.42 เหลือ 3.97 ,การแก้ปัญหาความยากจนปรับลงจาก 4.32 เหลือ 3.94 ทำให้ภาพรวมสุทธิเดือน มิ.ย.67 มีคะแนนรวมอยู่ที่ 4.33 จาก 10 คะแนนเต็ม ซึ่งอาจเป็นปัจจัยกดดันต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทยในระยะถัดไป และกดดันการไหลเข้าของ FLOWทั้งทางตรงและทางอ้อม

สรุป การก่อหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น แม้จะยังอยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลัง แต่ยังมีความกังวลในเรื่องการเพิ่มภาระผูกพันให้กับประเทศ อย่างไรก็ตามหากเศรษฐกิจไทยกลับมาเติบโตสูงดังที่หลายสำนักเศรษฐกิจหวังไว้ ก็น่าจะทำความเสี่ยงต่อเสถียรภาพการคลังลดลงได้

ตลาดถูกปกคลุมด้วยข่าวร้าย แต่ภายในยังเห็นแสงจากกำไรงวด 2Q67 มีโอกาสเติบโตเด่น YOY
ตลาดหุ้นไทย ยังขาดความเชื่อมั่นจากประเด็นการเมือง และยังเห็นความผันผวนมากกว่าปกติในหุ้นที่ถูก MARGIN CALL กดดันดัชนีย่อตัวลง แตกต่างจากตลาดหุ้นต่างประเทศที่ส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเดือน มิ.ย. ต่างชาติขายหุ้นไทย 3.48 หมื่นล้านบาท กดดัน SET -3.3% ขายต่อในเดือน ก.ค. (MTD) 2.48 พันล้านบาท กดดันSET -1%


แม้ตลาดหุ้นถูกปกคลุมด้วยข่าวร้าย แต่ภายในยังเห็นแสงสว่างเล็กๆ จากกำไรงวด2Q67 มีโอกาสเติบโตเด่น YOY จากแรงหนุน 3 ส่วน ดังนี้

▪ ฐานกำไรไตรมาส 2 ปีที่แล้วต่ำกว่าปกติ คือ กำไรงวด 2Q66 อยู่ที่ 2.23แสนล้านเหรียญเท่านั้น ซื่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2564 หรือหลังจากเกิด COVID เป็นต้นมา เพราะช่วงนั้นมีประเด็นความไม่สงบทางการเมืองเข้ามาพอดี


▪ ค่าเงินบาทช่วงไตรมาสที่ 2 ยังอ่อนค่าต่อ 1.3%QOQ และ 4.2%YOYซึ่งบริษัทจดทะเบียนหลาย SECTOR อาจมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มเติม อาทิ ENERG, FOOD, HELTH, ETRON, PETRO,TOURISM, AUTO, AGRI เป็นต้น โดย SECTOR ทั้งหมดนี้มีสัดส่วนกำไรและ MARKET CAP เกินกว่า 40% ของทั้งตลาดรวมกัน

▪ ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยในไตรมาสที่ 2 และยังยืนระดับสูง ทรงตัว -3.0%QOQ แต่ +14.2% YOY และต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน เนื่องจากกำลังเข้าสู่ช่วงฤดูกาลขับขี่ โดยทาง GOLDMAN SACH ประเมิน น้ำมันดิ BRENTจะอยู่ที่ระดับ 86 เหรียญ/บาร์เรล หนุนหุ้น COMMDITY ซึ่งเป็นสัดส่วนหลักของตลาดฯ มีโอกาสกำไรดีขึ้น รวมถึงมี STOCK GAIN เข้ามาหนุนเพิ่มเติมได้

นอกจากนี้ ฝ่ายวิจัยฯ ทำการรวบรวมคาดการณ์กำไรงวด 2Q67 จากBLOOMBERG CONSENSUS ล่าสุดออกมาแล้ว 90 บริษัท คิดเป็น 67% ของ
MARKET CAP รวม พบว่า มีโอกาสที่จะเห็นกำไรงวด 2Q67F เติบโต 13.9%YOYและ 3.7%QOQ

และทำการคัดกรองตัวอย่างหุ้นที่กำไรงวด 2Q67 มีโอกาสเติบโตทั้ง QOQ และ YOYได้รายชื่อหุ้น พร้อมกับข้อมูลสัดส่วนการใช้ MARGIN เทียบกับจำนวนหุ้นจดทะเบียนมาประกอบ

แนะนำสะสม หุ้นแนวโน้มกำไรงวด 2Q67 เด่น และมีสัดส่วนการถือครองด้วยบัญชีMARGIN ต่ำ ทำให้ราคาหุ้นผันผวนจากการเกิด MARGIN CALL น้อย อย่าง CKP,MINT, GPSC, GULF, PTTEP, CPAXT, INTUCH, CBG, MTC

 

Research Division
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส

เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม, CISA
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน และทางเทคนิค
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์

 

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

ยืน 1200 จุด By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ ในท้องทุ่งสีเขียว หุ้นไทยบวกยืน 1200 จุดได้อีกครั้ง ...

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้