Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.ทิสโก้ STRATEGY หุ้นไทยพร้อมฟื้นตัว รอการเมืองปลดล็อก!

491

 

ตลาดหุ้นไทยครึ่งปีแรกยังเคลื่อนไหวแย่กว่าตลาดหุ้นโลกต่อเนื่องจากปีที่แล้ว โดย SET Index ปรับตัวลงราว -7% YTD vs MSCI World Index ปรับตัวขึ้น +10% ถูกกดดันจากงบประมาณปี FY2024 มีความล่าช้าถึง 7 เดือน ทำให้เศรษฐกิจไทยโตต่ำ และคาดการณ์ GDP ไทยถูกหั่นลงมาต่อเนื่อง สวนทางประเทศอื่น ๆ ในตลาดเกิดใหม่ที่ส่วนใหญ่ GDP เริ่มมีแนวโน้มปรับขึ้น นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนของปัจจัยการเมืองในประเทศ ยิ่งซ้ำเติมความเชื่อมั่นนักลงทุนให้แย่ลงอีก โดยเฉพาะในมุมมองของนักลงทุนต่างชาติที่ปีนี้ขายสุทธิหุ้นไทยแล้วมากกว่า 1.1 แสนล้านบาท ขณะที่ภาพทางเทคนิคยังคงเป็นแนวโน้มการแกว่งซิกแซกในกรอบขาลงต่อไปตราบใดที่ SET Index ยังไม่สามารถฟื้นตัวกลับมายืนระดับ 1330 และ 1350 ตามลำดับ

ด้วยคดียุบพรรคก้าวไกล ศาลรัฐธรรมนูญนัดพิจารณาใหม่ในวันที่ 3 ก.ค. และกำหนดให้คู่กรณีเข้ามาตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 9 ก.ค. ส่วนคดีนายกฯ เศรษฐา ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ส่งหลักฐานเพิ่มและนัดพิจารณาใหม่ในวันที่ 10 ก.ค. นี้ ดังนั้น หากไม่มีการไต่สวนหรือเรียกหลักฐานเพิ่มเติมอีก ทั้ง 2 คดีคาดจะมีความชัดเจนเกิดขึ้นในช่วงกลางเดือน ก.ค. เป็นอย่างเร็วที่สุด แต่หากมีการไต่สวนหรือเรียกหลักฐานเพิ่มเติมอีก ก็ต้องใช้เวลาที่นานขึ้น ซึ่งจะเป็นเรื่องที่กดดันตลาดค้างคากันต่อไป

เรายังคงมุมมองเดิม คือ ความไม่แน่นอนของคดีนายกฯ เศรษฐา เป็นคดีที่มีน้ำหนักกดดันตลาดมากที่สุด เพราะในกรณีแย่ที่คำวินิจัยฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้นายกฯ เศรษฐาพ้นตำแหน่ง จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงตัวนายกฯ และคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ ต้องเสียเวลาไม่น้อยกว่า 2 เดือนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ นอกจากจะทำให้การทำงานของรัฐบาลเกิดสะดุดแล้ว ยังมีความไม่แน่นอนของนโยบายของรัฐบาลใหม่อีกด้วย ซึ่งจะกระทบต่อความเชื่อมั่นของต่างชาติและภาวะเศรษฐกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

โดยสรุป ตลาดหุ้นไทยอาจยังไม่สามารถแกว่งตัวไปไหนได้ไกล โดย Upside ตลาดระยะสั้นยังถูกจำกัดจากปัจจัยทางการเมืองในประเทศที่ไม่แน่นอน และภาพทางเทคนิค SET Index ยังเป็นแนวโน้มแกว่งซิกแซกในกรอบขาลง แต่ในขณะเดียวกัน Downside ตลาดก็อาจจะไม่มาก เนื่องจากตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดหุ้นที่ Laggard อยู่แล้ว และระดับการประเมินมูลค่าหุ้นไทยอยู่ในระดับต่ำ โดย 12m Fwd. PER อยู่เพียง 13.4x, PBV อยู่ที่ 1.2 เท่า และอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงกว่า 3.5%

หากมีความชัดเจนทางการเมืองโดยเฉพาะคดีของคุณเศรษฐา ซึ่งในกรณีฐานเราเชื่อว่านายกฯ เศรษฐายังคงในตำแหน่งต่อไป คาดจะทำให้ตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวขึ้น เรายังคงเชื่อมั่นตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวในครึ่งปีหลังตามการเติบโตทางเศรษฐกิจที่คาดว่าจะเร่งตัวขึ้นจากการใช้จ่ายด้านการคลังหลังงบประมาณปี FY2024F ที่ล่าช้าก่อนหน้านี้เร่งเบิกจ่ายต่อเนื่อง และการทยอยออกมาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น ผสานกับมาตรการขับเคลื่อนตลาดทุน ทั้งการคุมเข้มการขายชอร์ต เช่น มาตรการ Uptick และการส่งเสริมการออมการลงทุน โดยปรับเงื่อนไข TESG ให้จูงใจนักลงทุนมากขึ้น คาดจะเป็นผลดีต่อตลาดในช่วงครึ่งปีหลัง เรายังคงเป้าหมาย SET Index สิ้นปีนี้ที่ 1500 จุด (อิงจาก Fwd. PER ที่ 16.6 เท่า และ SET EPS ปีหน้าที่ 90.5 บาท)

หุ้นเด่นในเดือน ก.ค. เราให้ความสำคัญกับหุ้นบลูชิพขนาดใหญ่ที่คาดว่าจะเป้าหมายการลงทุนของ TESG เด่น AOT, BDMS, CPALL, PTT ผสานกับหุ้นที่คาดงบ Q2 จะออกมาดี และหุ้นที่มีโอกาสถูกซื้อคืน (Short Covering) หลังมีมาตรการคุมเข้มการขายชอร์ต แนะนำ AAI, AWC, CBG, CPF เพราะฉะนั้น หุ้นเด่นของเราในเดือน ก.ค. คือ AAI, AOT, AWC, BDMS, CBG, CPALL, CPF และ PTT ด้านแนวรับและแนวต้านสำคัญของ SET Index เดือนนี้อยู่ที่ 1300, 1280, 1250 และ 1330, 1350-60 จุด ตามลำดับ

 


ตลาดหุ้นไทยครึ่งปีแรกยังเคลื่อนไหวแย่กว่าตลาดหุ้นโลกต่อเนื่องจากปีที่แล้ว
ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตลาดหุ้นไทยครึ่งปีแรกยังเคลื่อนไหวแย่กว่าตลาดหุ้นโลกต่อเนื่องจากปีที่แล้ว โดย SET Index ปรับตัวลงราว -7% YTD (ข้อมูล ณ วันที่ 27 มิ.ย.) vs MSCI World Index ปรับตัวขึ้น +10% หรือ Underperform หุ้นโลกถึง 17% ถูกกดดันจากงบประมาณปี FY2024 มีความล่าช้าถึง 7 เดือน ทำให้เศรษฐกิจไทยโตต่ำ และคาดการณ์ GDP ไทยถูกหั่นลงมาต่อเนื่อง สวนทางประเทศอื่น ๆ ในตลาดเกิดใหม่ที่ส่วนใหญ่ GDP เริ่มมีแนวโน้มปรับขึ้น นอกจากนี้ ปัจจัยการเมืองล่าสุดมีความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้น ซ้ำเติมความเชื่อมั่นนักลงทุนให้แย่ลงอีก โดยเฉพาะในมุมมองของนักลงทุนต่างชาติที่นับตั้งแต่ต้นปีนี้ขายสุทธิหุ้นไทยแล้วมากกว่า 1.1 แสนล้านบาท

 


ภาพเทคนิคยืนยันหุ้นไทยยังแกว่งซิกแซกในกรอบขาลง
เดิมตั้งแต่ปลายไตรมาส 4 ปีที่แล้ว SET Index พยามแกว่งตัวไซด์เวย์ออกด้านข้างในกรอบหลัก 1350-1400 แต่อย่างไรก็ดีในช่วง 1-2 เดือนล่าสุด ภาพทางเทคนิคบ่งชี้การแกว่งซิกแซกในกรอบขาลงที่ชัดเจนขึ้น โดย SET Index ปรับตัวลงหลุดโลว์เดิมที่ 1350 และ 1330 ตามลำดับ ทำโลว์ใหม่ที่ 1280 ก่อนที่จะฟื้นตัวเล็กน้อยขึ้นมาแกว่งตัวแถวระดับ 1300 ภาพทางเทคนิคยังคงเป็นแนวโน้มการแกว่งซิกแซกในกรอบขาลงต่อไปตราบใดที่ SET Index ยังไม่สามารถฟื้นตัวกลับมายืนระดับ 1330 และ 1350 ตามลำดับ

 

อัปเดตคดีทางการเมืองที่สำคัญ (รอความชัดเจนต่อไปถึงกลางเดือนนี้เป็นอย่างน้อย)
หากนักลงทุนได้ติดตามข่าวสารในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา คงพอทราบกันอยู่แล้วว่า คดีที่สำคัญทางการเมือง 4 คดีมีความชัดเจนแล้ว 2 คดี คือ (1) คดีการเลือกตั้ง ส.ว. ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ว่าการเลือกตั้ง ส.ว. ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ และ (2) คดีอดีตนายกฯ ทักษิณ ม.112 มาตามที่อัยการนัดส่งฟ้องและศาลอาญาให้ประกันตัว โดยการต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมยังต้องใช้เวลาอีกนานถึง 3 ศาล จึงไม่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อตลาดมากนัก

แต่อย่างไรก็ดี สำหรับอีก 2 คดีที่เหลือ คือ คดียุบพรรคก้าวไกล และคดีนายกฯ เศรษฐาขาดคุณสมบัติ ยังต้องรอความชัดเจนต่อไป เนื่องจากคดียุบพรรคก้าวไกล ศาลรัฐธรรมนูญนัดพิจารณาใหม่ในวันที่ 3 ก.ค. และกำหนดให้คู่กรณีเข้ามาตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 9 ก.ค. ส่วนคดีนายกฯ เศรษฐา ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ส่งหลักฐานเพิ่มและนัดพิจารณาใหม่ในวันที่ 10 ก.ค. นี้ ดังนั้น หากไม่มีการไต่สวนหรือเรียกหลักฐานเพิ่มเติมอีก ทั้ง 2 คดีคาดจะมีความชัดเจนเกิดขึ้นในช่วงกลางเดือน ก.ค. เป็นอย่างเร็วที่สุด แต่หากมีการไต่สวนหรือเรียกหลักฐานเพิ่มเติมอีก ก็ต้องใช้เวลาที่นานขึ้น ซึ่งจะเป็นเรื่องที่กดดันตลาดค้างคากันต่อไป

เรายังคงมุมมองเดิม คือ ความไม่แน่นอนของคดีนายกฯ เศรษฐา เป็นคดีที่มีน้ำหนักกดดันตลาดมากที่สุด เพราะในกรณีแย่ที่คำวินิจัยฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้นายกฯ เศรษฐาพ้นตำแหน่ง จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงตัวนายกฯ และคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ ต้องเสียเวลาไม่น้อยกว่า 2 เดือนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ นอกจากจะทำให้การทำงานของรัฐบาลเกิดสะดุดแล้ว ยังมีความไม่แน่นอนของนโยบายของรัฐบาลใหม่อีกด้วย ซึ่งจะกระทบต่อความเชื่อมั่นของต่างชาติและภาวะเศรษฐกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


คาดหวัง 3 ตัวช่วยเริ่มขับเคลื่อน SET Index เดือนนี้
(1) คุมเข้มการขายชอร์ต - ตลาดหลักทรัพย์ฯ (ตลท.) เริ่มใช้มาตรการกำกับดูแลการขายชอร์ตที่เข้มงวดขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. นี้เป็นต้นไป ทั้งการปรับปรุงคุณสมบัติของหุ้นที่ขายชอร์ตได้ ส่งผลให้จำนวนหุ้นที่สามารถขายชอร์ตได้สำหรับครึ่งปีหลังลดลงเป็น 261 ตัวจากเดิม 336 ตัว และการกำหนดราคาขายชอร์ตที่สูงกว่าราคาซื้อขายครั้งสุดท้าย (Uptick) จากเดิมที่ราคาขายชอร์ตเท่ากับหรือสูงกว่า (Zero-plus Tick)

ในส่วนของจำนวนหุ้นที่สามารถขายชอร์ตได้ลดลง เราประเมินว่าจะส่งผลกระทบต่อมูลค่าขายชอร์ตหายไปเพียงเล็กน้อย 0.3% อย่างไรก็ดี การใช้เกณฑ์ Uptick อาจทำให้มูลค่าธุรกรรมขายชอร์ตลดลงกว่า 80% เหมือนกับปี 2020 ที่เคยใช้เกณฑ์ Uptick ในช่วงที่เกิดวิกฤติ COVID-19 ซึ่งคาดว่าจะทำให้มูลค่าธุรกรรมขายชอร์ตจากปัจจุบันที่มีสัดส่วนประมาณ 10% ต้น ๆ ของมูลค่าซื้อขายโดยรวม ลดลงเหลือเพียง 2-3% เท่านั้น หรือเทียบเท่ามูลค่าซื้อขายโดยรวมจะลดลงประมาณ 10% หรือประมาณ 4 พันล้านบาท ในแง่ของผลเชิงบวก หากอิงจากสัดส่วนราว 90% ของการขายชอร์ตเป็นหุ้น NVDR ซึ่งลงทุนโดยนักลงทุนต่างชาติ และทิศทางการลงทุนของต่างชาติมีอิทธิผลต่อ SET Index ค่อนข้างสูง (Correlation +0.78) ดังนั้นการขายชอร์ตของต่างชาติที่หายไปทุก ๆ 1 พันล้านบาท คาดจะมีผลบวกต่อ SET Index ราว 7-8 จุด ดังนั้นหากมูลค่าชอร์ตหายไปราว 4 พันล้านบาท เราประเมินจะส่งผลเชิงบวกต่อ SET Index ราว 30 จุด

 

(2)ส่งเสริมการออมการลงทุน – จะปรับเงื่อนไขกองทุนสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่มีในปัจจุบัน คือ TESG โดยจะลดหย่อนเพิ่มขึ้นเป็น 3 แสนบาทจากเดิม 1 แสนบาท และลดระยะเวลาถือครองจาก 8 ปี เป็น 5 ปี รวมทั้งขยายขอบเขตการลงทุนได้เพิ่มขึ้น ซึ่งรวมถึงหลักทรัพย์ที่อยู่ในดัชนี ESG ที่ได้รับความเชื่อถือระดับสากล หรือได้รับการประเมิน CG Rating ของ IOD และมีการเปิดเผยข้อมูลด้านบรรษัทภิบาล (G) ตามที่ ก.ล.ต.กำหนด

จากการประเมินของเราเทียบเคียงกับ LTF ในอดีตพบว่า ทุก ๆ เงินกองทุนที่ไหลเข้าสุทธิ 1 หมื่นล้านบาท จะช่วยหนุน SET Index ปรับขึ้นโดยเฉลี่ยประมาณ 12-13 จุด เพราะฉะนั้น การปรับเงื่อนไข TESG ที่น่าดึงดูดขึ้น คาดจะมีเม็ดเงินไหลเข้าราว 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะช่วยหนุน SET Index ได้เกือบ 40 จุด

นอกจากนี้ คลังมีแนวคิดที่จะฟื้นกองทุนวายุภักษ์ ซึ่งเคยประสบความสำเร็จในอดีต หากอิงกองทุนวายุภักษ์ หน่วย ข. ที่ปัจจุบันมีเม็ดเงินลงทุนอยู่ 3.5 แสนล้านบาท และเงื่อนไขเดิมที่เคยออกในอดีต (30% เป็นหน่วย ก.ที่ระดมทุนจากนักลงทุนทั่วไป และ 70% เป็นหน่วย ข.ของกระทรวงการคลัง) จะมีเม็ดเงินใหม่ในการระดมครั้งนี้ 1.5 แสนล้านบาท และทำให้กองทุนวายุภักษ์มีมูลค่าเป็น 5 แสนล้านบาท โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในไตรมาส 3 ปีนี้

จากการตรวจสอบการถือหุ้นของกองทุนวายุภักษ์ใน 20 อันดับแรก ควบคู่กับการถือหุ้นของกองทุน TESG ในปัจจุบัน เรามองหุ้นที่มีโอกาสสูงจะมีเม็ดเงินใหม่ไหลเข้าทั้งกองทุนวายุภักษ์และกองทุน TESG มากกว่าหุ้นอื่น ๆ คือ PTT, SCB, TTB, KTB, AOT, CPALL และ BDMS โดยเฉพาะหากคลังมีการปรับประกันผลตอบแทนขั้นต่ำที่ 3% เหมือนในอดีต คาดว่าหุ้น 4 ตัวแรกจะมีความโดดเด่นสุด เนื่องจากให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ค่อนข้างสูงเฉลี่ยกว่า 5-6% ต่อปี และราคาต่ำกว่ามูลค่าหุ้นที่เหมาะสมตามปัจจัยพื้นฐานที่ตลาดประเมินไว้


(3) ผลเชิงบวกทางสถิติ - อิงจากการศึกษาความเคลื่อนไหวของ SET Index ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (ปี 2014-2023) พบว่าในช่วงเดือน ก.ค. - ส.ค. เป็นช่วงเวลาที่ SET Index มีโอกาสที่ปรับตัวขึ้น 60-70% และมักให้ผลตอบแทนเป็นบวกเฉลี่ย 0.7-1.3% ตามลำดับ ซึ่งเราเชื่อว่าส่วนหนึ่งอาจมีแรงซื้อเข้ามาในช่วงกลางปีเพื่อหวังผลตอบแทนเงินปันผลระหว่างกาล และการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปีโดยปกติมักจะเร่งตัวขึ้นก่อนที่จะสิ้นสุดลงในเดือน ก.ย. ของทุกปี


ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยครึ่งปีหลัง รอการเมืองปลดล็อก!
ตลาดหุ้นไทยอาจยังไม่สามารถแกว่งตัวไปไหนได้ไกล โดย Upside ตลาดระยะสั้นยังถูกจำกัดจากปัจจัยทางการเมืองในประเทศที่ไม่แน่นอน และภาพทางเทคนิค SET Index ยังเป็นแนวโน้มแกว่งซิกแซกในกรอบขาลง แต่ในขณะเดียวกัน Downside ตลาดก็อาจจะไม่มาก เนื่องจากตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดหุ้นที่ Laggard อยู่แล้ว และระดับการประเมินมูลค่าหุ้นไทยอยู่ในระดับต่ำ โดย 12m Fwd. PER อยู่เพียง 13.4x, PBV อยู่ที่ 1.2 เท่า และอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงกว่า 3.5%


หากมีความชัดเจนทางการเมืองโดยเฉพาะคดีของคุณเศรษฐา ซึ่งในกรณีฐานเราเชื่อว่านายกฯ เศรษฐายังคงในตำแหน่งต่อไป คาดจะทำให้ตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวขึ้น เรายังคงเชื่อมั่นตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวในครึ่งปีหลังตามการเติบโตทางเศรษฐกิจที่คาดว่าจะเร่งตัวขึ้นจากการใช้จ่ายด้านการคลังหลังงบประมาณปี FY2024F ที่ล่าช้าก่อนหน้านี้เร่งเบิกจ่ายต่อเนื่อง และการทยอยออกมาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น ผสานกับมาตรการขับเคลื่อนตลาดทุน ทั้งการคุมเข้มการขายชอร์ต เช่น มาตรการ Uptick และการส่งเสริมการออมการลงทุน โดยปรับเงื่อนไข TESG ให้จูงใจนักลงทุนมากขึ้น คาดจะเป็นผลดีต่อตลาดในช่วงครึ่งปีหลัง เรายังคงเป้าหมาย SET Index สิ้นปีนี้ที่ 1500 จุด (อิงจาก Fwd. PER ที่ 16.6 เท่า และ SET EPS ปีหน้าที่ 90.5 บาท)

หุ้นเด่นในเดือน ก.ค. เราให้ความสำคัญกับหุ้นบลูชิพขนาดใหญ่ที่คาดว่าจะเป้าหมายการลงทุนของ TESG เด่น AOT, BDMS, CPALL, PTT ผสานกับหุ้นที่คาดงบ Q2 จะออกมาดี และหุ้นที่มีโอกาสถูกซื้อคืน (Short Covering) หลังมีมาตรการคุมเข้มการขายชอร์ต แนะนำ AAI, AWC, CBG, CPF เพราะฉะนั้น หุ้นเด่นของเราในเดือน ก.ค. คือ AAI, AOT, AWC, BDMS, CBG, CPALL, CPF และ PTT ด้านแนวรับและแนวต้านสำคัญของ SET Index เดือนนี้อยู่ที่ 1300, 1280, 1250 และ 1330, 1350-60 จุด ตามลำดับ

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้