
สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (26 มิถุนายน 2567)----บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) หรือ “Pi” “บล. พาย” บริษัทหลักทรัพย์ผู้ให้บริการด้านการเงินแบบครบวงจรในประเทศไทย เผยความสามารถในการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2567 มีมูลค่าการลงทุนของลูกค้าที่เชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ และการบริการแตะระดับ 1 แสนล้านบาท เติบขึ้นกว่า 10% เมื่อเทียบกับมูลค่าทรัพย์สิน ณ สิ้นปี 2566 รวมถึงประกาศเดินหน้าสร้างแพลตฟอร์มการลงทุนแบบครบวงจร และพัฒนาบริการใหม่ Digital Wealth Management เพื่อนำพาลูกค้าสู่ความ มั่งคั่ง มั่นคง และความยั่งยืนทางการเงินในอนาคต

"ถึงแม้ว่าตลาดจะมีความผันผวน เรายังมุ่งมั่นที่จะสร้างความมั่งคั่งให้กับลูกค้าของเราอย่างต่อเนื่อง กลยุทธ์ของเรา มุ่งเน้นให้นักลงทุนในประเทศไทยทุกคน สามารถสัมผัสประสบการณ์การลงทุนที่เหนือกว่า พร้อมรับคำแนะนำการลงทุนที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นไปตามคอนเซ็ปต์ ' Digital with a Human Touch' คือการนำเอาความสะดวกสบายของนวัตกรรมดิจิทัล ผนวกเข้ากับความแข็งแกร่งของกลยุทธ์การลงทุน ทั้งนี้ เมื่อเดือนมีนาคม 2567 ที่ผ่านมา เราประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ในการเปิดตัวแอปพลิเคชัน Pi Financial ซึ่งแพลตฟอร์มนี้ จะช่วยสนับสนุนลูกค้าให้สามารถลงทุนได้ทั้งในตลาดหุ้นไทย และตราสารอนุพันธ์ เพื่อรองรับความผันผวนของตลาด นอกจากนี้ เรายังขยายขอบเขตผลิตภัณฑ์ โดยการนำเสนอการซื้อขายหุ้นต่างประเทศบนแอปพลิเคชัน ลูกค้าสามารถเข้าถึงหุ้นต่างประเทศ ในตลาด NASDAQ สหรัฐอเมริกา และตลาดหุ้นฮ่องกง ได้อย่างง่ายดายมากขึ้น ในขณะเดียวกัน เรายังขยายขอบเขตการดำเนินธุรกิจ ผ่านการเปิดตัว Pi Private Wealth เพื่อสนับสนุน และรองรับลูกค้ากลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ (High Net Worth) ด้วยผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ครบวงจร และสามารถปรับแต่งให้เหมาะสมกับความต้องการ และโปรไฟล์ความเสี่ยงของแต่ละบุคคล ในอนาคต เรากำลังเสริมสร้างความสามารถในการจัดการทรัพย์สินอย่างมีประสิทธิภาพด้วยการพัฒนาโซลูชัน Pi Digital Wealth ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของแผนการดำเนินงานของเรา” มร.บ๊อบ เวาเทอร์ส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) กล่าว
ในปัจจุบัน นักลงทุนมีการเปลี่ยนวิธีการลงทุนจากแบบดั้งเดิม ไปสู่แพลตฟอร์มดิจิทัลเพิ่มมากขึ้น และเริ่มมองหาโอกาสการลงทุนนอกตลาดประเทศไทย โดย บล. พาย อยู่ในระดับแนวหน้าของวงการการเงินดิจิทัล พร้อมมอบการลงทุนผ่านเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ และผลิตภัณฑ์ที่ครบวงจรตามที่นักลงทุนต้องการ ไม่เพียงแต่เพื่อตอบสนองต่อความต้องการทางดิจิทัลที่เติบโตขึ้นเท่านั้น แต่ บล.พาย ต้องการนำพาลูกค้าไปยังทิศทางการลงทุนที่คุ้มค่า ตอบโจทย์ และตรงตามความต้องการมากที่สุด ผ่านการให้ข้อมูลที่คัดสรรมาอย่างดีจากทีมรีเสิร์ช ที่อัปเดตข้อมูลทุกวันผ่านแอปพลิเคชัน

ทั้งนี้ ภายหลังจากการเปิดตัวแอปพลิเคชัน Pi Financial ปัจจุบัน มียอดดาวน์โหลดมากกว่า 100,000 ครั้ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ และยังพบว่า ปัจจุบันจำนวนผู้ใช้งานแอปพลิเคชันมีเพิ่มมากขึ้นถึง 114% และมีผู้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันมากกว่า 400 รายต่อวัน ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ถึงความแข็งแกร่งของโซลูชันการลงทุนที่ตอบโจทย์ของ บล.พาย โดยทางบริษัทฯ เชื่อมั่นว่า จะเดินหน้าจะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ราว 500,000 ดาวน์โหลด ภายในปลายปี 2567 นี้
สำหรับ Pi Private Wealth หนึ่งในธุรกิจใหม่ของ บล.พาย มุ่งเน้นในการมอบโซลูชันการลงทุนที่คัดสรรมาเพื่อนักลงทุนแต่ละราย โดยมีการนำเสนอผลิตภัณฑ์ และกลยุทธ์การลงทุนที่ครบถ้วน จาก CIO Office หรือทีมวิเคราะห์เศรษฐกิจ และข้อมูลด้านการลงทุน ซึ่งนำทีมโดยผู้จัดการกองทุนมากประสบการณ์ ทำให้สามารถส่งมอบแผนการลงทุนที่เฉพาะเจาะจง พร้อมกลยุทธ์การจัดสรรสินทรัพย์ เพื่อตอบสนองความต้องการที่เฉพาะเจาะจงของนักลงทุนแต่ละรายได้อย่างดีเยี่ยม
คุณณัฐพล จันทร์สิวานนท์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้บริหารสูงสุดสายการลงทุน กล่าวว่า “ในภาวะตลาดปัจจุบันที่มีการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และความท้าทายในการฟื้นตัวของจีน นักลงทุนจำเป็นต้องมีความระมัดระวัง และปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยบริษัทหลักทรัพย์ พาย เรามีผลิตภัณฑ์ครบสำหรับการลงทุนในสภาวะตลาดที่หลากหลาย เช่น ตราสารทุนทั้งไทย และต่างประเทศ ตราสารหนี้ไทย และต่างประเทศ Structured Product กองทุนรวม กองทุนส่วนบุคคล และตราสารที่มีอนุพันธ์แฝง ซึ่งจะมอบความยืดหยุ่นในการลงทุนแม้ในช่วงที่ตลาดผันผวน”
ด้วยประสบการณ์ที่ยาวนานเกือบ 60 ปี บล.พาย ถือว่าอยู่ในแนวหน้าของอุตสาหกรรมการเงินไทยอย่างสม่ำเสมอ โดย บล.พาย ใช้ความเชี่ยวชาญที่มีในการวางแผนเชิงกลยุทธ์ และนำเอานวัตกรรมดิจิทัลมาปรับใช้ เพื่อปรับตัวให้เข้ากับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และเพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า
"ความไว้วางใจ คือพื้นฐานสำคัญของการให้บริการที่ปรึกษาการลงทุน โดยที่บล.พาย และ Pi Private Wealth เรามุ่งมั่นที่จะให้บริการการลงทุนที่ดีที่สุดแก่ลูกค้าของเรา ซึ่งเราได้มีการนำเสนอกลยุทธ์ และรูปแบบการลงทุนต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับความต้องการ และเป้าหมายทางการเงินของลูกค้าแต่ละราย และเรามีทีมงานมืออาชีพมากประสบการณ์ ที่พร้อมทุ่มเทในการวิเคราะห์และนำเสนอผลิตภัณฑ์ รวมถึงการจัดพอร์ตการลงทุน (Asset Allocation) เพื่อช่วยลูกค้าให้สามารถลงทุนในทุกสภาวะตลาดได้อย่างมั่นใจ เราเชื่อมั่นว่าการทำงานที่รวดเร็ว ทันต่อสถานการณ์ ประกอบกับการมีผลิตภัณฑ์ และบริการที่ครอบคลุมของเรา จะช่วยให้นักลงทุนทุกคน สามารถบรรลุเป้าหมายทางการลงทุนของทุกท่านได้" คุณณัชชา สุนทรธาราวงศ์, Deputy CEO and Chief of Private Wealth บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริม
บล.พาย พร้อมมอบประสบการณ์การลงทุน และการจัดการความมั่งคั่งที่ปรับแต่งเฉพาะบุคคลให้แก่ลูกค้า แต่ละราย โดยได้รับการสนับสนุนจากความเชี่ยวชาญของผู้แนะนำการลงทุนมากประสบการณ์ ทีมรีเสิร์ช และนวัตกรรมการลงทุนที่ล้ำสมัย นักลงทุนที่สนใจ สามารถข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.pi.financial/
บล.พาย คาดแรงขายต่างชาติเริ่มสะเด็ดน้ำ ชี้หุ้นไทย Bottom
,เป้าSET 1,350-1,400 จุด ท่องเที่ยว-ค้าปลีก เด่น
สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (26 มิถุนายน 2567)-----นายณัฐพล จันทร์สิวานนท์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้บริหารสูงสุดสายการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) พาย จำกัด (มหาชน) หรือ Pi เปิดเผยว่า ประเมินแรงขายของนักลงทุนต่างชาติน่าจะเริ่มสะเด็ดน้ำแล้ว หลังจากขายอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา โดยในช่วงครึ่งปีหลัง หุ้นไทยมีแนวโน้มจะกลับมาได้ ปัจจัยหนุนมาจากหากภาครัฐมีการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ และปัจจัยภายนอกคือ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง หนุนเม็ดเงินริ่มไหลกลับเข้ามาในตลาดประเทศเกิดใหม่ รวมถึงตลาดหุ้นไทย โดยประเมินดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET INDEX) ปีนี้จะอยู่ที่ระดับ1,350-1,400 จุดในสิ้นปีนี้
สำหรับหุ้นกลุ่มที่น่าสนใจ มองว่าคือ กลุ่มกลุ่มท่องเที่ยว เนื่องจากในช่วงครึ่งปีหลังที่เข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น รวมทั้งกลุ่มอาหาร ก็จะได้รัประโยชน์ด้วยเช่นกัน และ 2. คือกลุ่มค้าปลีก เพราะได้รับอานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นของภาครัฐ โดยบล.พาย แนะนำจัดพาร์ตการลงทุน เป็นลงทุนตราสารหนี้ 60% และตราสารทุนในสัดส่วน 40%
สำหรับ ประเด็นกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (ThaiESG) ที่จะมีการปรับเกณฑ์ ให้จูงใจการลดภาษี มองว่าประเด็นนี้จะช่วยดันดัชนีฯได้ประมาณ 10-20 จุด โดยสามารถช่วยกระตุ้นตลาดให้คึกคักได้ในระยะสั้น และช่วยหนุนเม็ดเงินใหม่ให้ไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยได้มากขึ้น เทียบกับข้อมูลของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) เมื่อช่วง 10 ปีก่อนที่ทำให้ภาวะตลาดคึกคักได้เช่นกัน
///จบ///