Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.กรุงศรี พัฒนสิน : KSS Daily Strategy

509


"SET100 Rebound Play"

 

KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "Rebound" ต้าน 1304/1310จุด รับ 1290/1281จุด ดัชนี S&P500 พักตัว -0.25% ตามหุ้นเทคโนโลยี หลัง US Bond Yield 10ปี ดีดขึ้น +3 bps สู่ 4.25% หลักๆมาจากราคาน้ำมันที่แกว่งขึ้นต่อเนื่อง WTI, Brent WTD +4.2% และ +3.7% หลังสต๊อกน้ำมันดิบสูงกว่าคาด+ตะวันออกกลางตึงเครียดขึ้น ทั้งนี้ เราประเมินระดับปรับขึ้นยังน่าจะจำกัด หลังเศรษฐกิจสหรัฐ (บริโภคน้ำมัน 20% ของโลก) ยังเป็นภาพชะลอลง ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ต่ำกว่าคาด ทำให้ค่าเฉลี่ย 4 สัปดาห์เพิ่ม 3 สัปดาห์ติด ปัจจัยต่างประเทศวันนี้มองเป็นกลางต่อ SET คาดกลุ่มชิ้นส่วนฯพักฐาน แต่กลุ่มพลังงานต้นน้ำจะประคอง ส่วนภายในตลาดยังคงเผชิญแรงขายนักลงทุนต่างชาติ 21 วันติดรวม -4.4 หมื่นล้านบาท แต่น่าจะดีขึ้น ตอบรับ FTSE Rebalance วันนี้ เพิ่มน้ำหนักไทย 55 ล้านเหรียญฯ ขณะที่มาตรการ Uptick ใกล้มีผล สัปดาห์หน้าจะเริ่มเห็นการ Cover Short หนุนตลาด วันนี้ กลุ่มพลังงานต้นน้ำ หุ้นได้ประโยชน์ราคาก๊าซยุโรปดิ่ง -2.8% เด่น ผสานหุ้นที่ YTD Underperform SET และ มียอด Short Sell คงค้างสูง วันนี้แนะนำ BGRIM, GPSC, MINT

 

Daily outlook: "Rebound" ต้าน 1304/1310 จุด รับ 1290/1281 จุด

What happened around the world ?

• (*) US Stocks : ตลาดหุ้นสหรัฐ อิง Dow jones ปรับขึ้นต่อ +0.77% (หนุนจาก หุ้นน้ำมัน Chevron , Saleforce +4.3%, Mcdonald +1.2% ฯลฯ) ดัชนี S&P500 -0.25% , Nasdaq -0.81% โดยดัชนี S&P Sector ส่วนใหญ่ปรับขึ้นหลักๆคือกลุ่ม Energy (ปรับขึ้นตามราคาน้ำมัน และหุ้นที่หนุนคือ Chevron และ Exxon +2%) กลุ่ม Utilities และกลุ่ม Financial โดย Sector ที่ปรับลงหลักๆ คือ IT , Real estate ฯลฯ โดยหุ้นที่ปรับลงและกดดัชนีหลักๆคือ กลุ่ม Semiconductor ที่ปรับขึ้นในช่วงก่อนถูก Take profit อาทิ MICRON -6% QUALCOMM -5.1%, NVDIA -3.5%ฯลฯ

•(*)US Econ : 1.)ยอดผู้ขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก(Initial Jobless Claims) สัปดาห์ล่าสุด + 2.38 แสนราย แย่กว่าตลาดคาดที่ 2.35 แสนราย และสูงกว่าค่าเฉลี่ย 3 สัปดาห์ก่อนหน้าที่ 2.36 แสนราย แม้ตัวเลขที่ออกมาจะสูงขึ้นสะท้อนภาคแรงงานสหรัฐเริ่มอ่อนแอ แต่ยังไม่อยู่ระดับที่น่ากัวล KSS ประเมินสะท้อนภาพภาคแรงงานสหรัฐฯประคองในลักษณะ Soft Landing ได้ (ความเสี่ยง Hard Landing จะเกิดขึ้นผู้ขอรับสวัสดิการครั้งแรกเฉลี่ยจะสูงกว่าระดับ 4.0 แสนตำแหน่ง) 2.) ตลาดอสังหาฯยังเห็นสัญญาณชะลอตัว อาทิ Housing Start เดือน พ.ค. พลิกกลับมาอยู่ที่ 1.27 ล้านหลัง (ต่ำคาดและต่ำสุดตั้งแต่ ก.ย.2023) และ Building Permits เดือน พ.ค. ออกมาต่ำกว่าคาด อยู่ที่ 1.386 ล้านหลัง ต่ำที่สุดในรอบราว 4 ปี โดยรวมสะท้อนภาคอสังหาอ่อนตัวลง ย้ำมุมมองภาพเงินเฟ้อฝั่ง Shelter ที่มีความเหนือด (Sticky) สูงระยะถัดไปลดลง ย้ำภาพดอกเบี้ยสหรัฐเป็นขาลง

•(*/+) Central Bank Meeting : การประชุมธนาคารกลางหลายประเทศเมื่อวานออกมา Inline และบางธนาคารเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยย้ำภาพวงจรดอกเบี้ยโลกขาลง 1.) ธนาคารสวิตเซอแลนด์ (SNB) ปรับลดดอกเบี้ยฯ 25 bps ตามตลาดคาดอยู่ที่ 1.25% เป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกัน หลังจากธนาคารกลางคุมเงินเฟ้อซึ่งล่าสุดอยู่ในกรอบที่ 2% อิงล่าสุด เงินเฟ้อ เดือนพ.ค. อยู่ที่ 1.4% 2.)ธนาคารกลางอังกฤษ(BoE) คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 5.25%ตามคาด มีมติ 7 เสียงให้คงดอกเบี้ยต่อ 2 เสียงให้ลดดอกเบี้ย ตลาดคาด BOE จะลดดอกเบี้ยครั้งแรก ส.ค. 24 3.)ธนาคารกลางจีน (PBoC) ผลคือคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR) 1 ปี และ 5 ปี ไว้ที่ระดับ 3.45% และ 3.95% ตามเดิม ตามคาด KSS จีนมีแนวโน้มจะกลับมาใช้นโยบายการคลังมากกว่านโยบายการเงิน ให้น้ำหนักไปให้ที่การประชุม Politburo เดือน ก.ค.

• (*) To monitor : 21 มิ.ย. ญี่ปุ่น, EU และสหรัฐ รายงาน PMI ภาคการผลิต (Flash PMI)เดือน มิ.ย. 27 มิ.ย.จีน รายงานกำไรภาคอุตสาหกรรมเดือน พ.ค., สหรัฐ ประกาศ GDP 1Q24 (ครั้งสุดท้าย) 28 มิ.ย.สหรัฐ รายงาน PCE Price Index เดือน พ.ค., ความเชี่อมั่นผู้บริโภค (ม.มิชิแกน)

• (*) US Bond & Dollar : US Bond yields พลิกปรับขึ้นอีกครั้ง อายุ 10 ปั ปรับขึ้น +3 bps อยู่ที่ 4.25% เช่นเดียวกับ 2 ปี ปรับขึ้นเล็กน้อย 1 bps อยู่ที่ 4.7% ขณะที่ Dollar Index พลิกแข็งค่าขึ้นมา บริเวณ 105.3 +/- จุด

•(+) Oil : ราคาน้ำมันดิบกลับมาปรับเพิ่มขึ้นและทำจุดสูงสุดในรอบ 1 เดือนครึ่ง อิง น้ำมันดิบ Brent +0.75%DoD ปิดที่ US$ 85.71/barrel น้ำมันดิบ West Texas +0.72%DoD ปิดที่ US$ 81.29/barrel หนุนจาก 1.) สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 2.5 ล้านบาร์เรล มากกว่าตลาดคาดจะลดลง 2.2 ล้านบาร์เรล 2.)ความกังวลสงครามตะวันออกกลางกลับมาอีกครั้ง ล่าสุดเมื่อวานกองทัพอิสราเอลอนุมัติแผนการโจมตีเลบานอน มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อ SET Index วันนี้ และบวกต่อหุ้นน้ำมัน PTT, PTTEP. หุ้นโรงกลั่น SPRC, BCP , TOP

(+) GAS : ราคาก๊าซธรรมชาติ เมื่อวานปรับลงแรง อิง NYMEX -5.78%d-d ปิดที่ US$2.741/MMBtu เช่นเดียวกับราคาก๊าซในฝั่งยุโรป อิง (Netherland TTF) -2.75%d-d ล่าสุดอยู่ที่ 34.4 ยูโรต่อเมกะวัตต์ แรงกดดันหลักๆมาจาก ล่าสุด พายุโซนร้อนในอ่าวเม็กซิโก และหน้าร้อนในฝั่งยุโรปทำให้คาดการณ์ Demand ลดลง ผสานกับประเด็นการเมืองในยุโรปเริ่มผ่อนคลาย โดยรวม KSS มองจิตวิทบวกต่อหุ้นในวันนี้คือ 1.)หุ้นหุ้นที่ธุรกิจเชื่อมโยงในยุโรป อาทิ XO (รายได้จากยุโรป 80%) SHR ( 50%), MINT (50%), IVL (21%),CRC (6%) 2.)หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าที่มีต้นทุนจากก๊าซ อาทิ GULF, BGRIM, GPSC

• (+) World Container Index : แนวโน้มเป็นขาขึ้น ปรับขึ้น 9 สัปดาห์ติด สัปดาห์ล่าสุด +7%w-w อยู่ที่ 5,117 เหรียญต่อ 40 ft และปรับขึ้นต่อเกือบทุกเส้นทางเรือ ประเมินจิตวิทยาบวกต่อหุ้นเรือ Container อาทิ RCL และบวกต่อกลุ่มให้บริการโลจิสติกส์ในลักษณะ Freight Forwarder ที่มีสัดส่วน Sea Freight สูง อาทิ SINO (90% ของรายได้), SONIC (62% ของรายได้) LEO (75% ของรายได้) และ WICE (34% ของรายได้) KSS ยังคงมุมมองค่าระวางเรือในช่วงสั้น Upside ระยะสั้นจากความตึงเครียดตะวันออกกลาง ยังแนะนำเพียง Trading ในหุ้นกลุ่มนี้

 

What happened in Thailand ?

• (*/-) SET: SET Index ปรับลงและต่ำกว่า 1300 จุดอีกครั้ง – 5.53 จุด -0.42% ปิดที่ 1298.3 จุด สอดคล้องกับตลาดหุ้นฝั่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ปรับลงโดยส่วนใหญ่ กลุ่มหนุน คือ กลุ่มสื่อสาร (TRUE, ADVANC) ตอบรับแนวโน้มอุตสาหกรรมเป็น Upcycle หลังนักวิเคราะห์ KSS ประเมินกำไรปกติ TRUE งวด 2Q24F เดินหน้าฟื้นตัวได้ต่อ แม้เข้าสู่ช่วงนอกฤดูกาล กลุ่มท่องเที่ยว (AWC, MINT) มองตลาดเริ่มกลับสถานะต่อเนื่อง หลังนักท่องเที่ยวรายเดือนผ่านจุดต่ำสุดของปี ช่วง พ.ค. กลุ่มถ่วง คือ กลุ่มค้าปลีก (CPALL, HMPRO, BJC) มองตลาดยังไม่มั่นใจต่อทิศทางการฟื้นตัวช่วง 2H24 จากปัญหาการเมือง กลุ่มพลังงาน (GPSC, PTTEP) GPSC ตามแรงกดดันราคาก๊าซที่ยังปรับตัวขึ้นต่อ ส่วน PTTEP ตามทิศทางราคาน้ำมัน

• (*) Flow : เงินทุนต่างประเทศไหลออก ขายหุ้น -53.3 ล้านเหรียญฯ เป็นการขาย 21 วันทำการต่อเนื่อง ซื้อพันธบัตรในระดับหลักพันล้านบาทต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 +48.6 ล้านเหรียญฯ TFEX Net Short -18,7211 สัญญา เงินบาทอ่อนค่าสู่ 36.7 +/- บาท

• (*/-) TH Tourism : รมว. กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ตามที่ นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) ได้ออกมาให้ข่าวว่า ขณะนี้มีบริษัททัวร์ของจีนที่ใช้คนไทยเป็นนอมินี ได้นำกรุ๊ปทัวร์นักท่องเที่ยวจีนมาไทยด้วยการทำราคาแบบต่ำที่สุด ที่เรียกว่า "ทัวร์ทุบตลาด" และบีบบังคับ ข่มขู่ให้นักท่องเที่ยวซื้อสินค้า สร้างความเสื่อมเสียแก่ภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทยอย่างมาก ทำให้ผู้ประกอบการไทยเดือดร้อนอย่างหนัก ถือเป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้ และได้สั่งการให้กรมการท่องเที่ยวเร่งแก้ปัญหานี้โดยด่วน มองจิตวิทยาลบระยะสั้นต่อกลุ่มท่องเที่ยว โดยปัจจุบันสัดส่วนนักท่องเที่ยวจีนต่อนักท่องเที่ยวจีนต่อทั้งหมดช่วง 4M24 อยู่ราว 19% ประเมินเป็นกลุ่มเดินทางเอง (FIT) 60% กลุ่มทัวร์ 40% (ข้อมูล พ.ย. 23) โดยสัดส่วน FIT ที่เพิ่มขึ้นจากในอดีต ทำให้กลุ่มเสี่ยงมีผลกระทบต่ำกว่า 7.6% ของนักท่องเที่ยว

เชิงกลยุทธ์แนะนำให้ทยอยสะสมหุ้นท่องเที่ยวหากอ่อนตัวรับข่าว เชิงพื้นฐานหุ้นผ่านจุดต่ำสุดของแต่ละปีช่วง พ.ค. 24 จากนี้คาดนักท่องเที่ยวเร่งขึ้น ทยอยสะสม AOT, ERW ส่วน MINT ยังลงทุนต่อได้ ภายใต้จุดเด่นสัดส่วนรายได้จากยุโรปสูง 50% ทำให้ผลกระทบกรณีดังกล่าวคาดกระทบต่ำสุด

• (*/+) SET100 Rebound Plays: หลังจาก SET ปรับฐานลึก เชิงกลยุทธ์ SET ที่ปรับตัวลง YTD ราว -8.3% เรามองหุ้นที่มีโอกาสรีบาวน์แรงจะอยู่ในกลุ่ม 1) กลุ่มที่ยังปรับลงลึกกว่า SET ในช่วงเดียวกัน และ 2) มียอด Short ที่ยังปิดไม่สถานะสูง ซึ่งมีโอกาสเห็นภาพเร่งสถานะ สรุปได้ดังนี้ JMT (ปรับตัวลดลง -45% vs SET -8.4%, ยอด Short ที่ยังไม่ปิดสถานะต่อทุนชำระแล้ว 1.0%), BTS (-37%, 1.5%) COM7 (-30%, 1.8%) CRC (-30%, 1.1%) AP (-28%, 1.1%) IVL (-27%, 2.1%) LH (-27%, 1.2%) BGRIM (-23%, 1%) PTTGC (-23%,1%) CBG (-21%, 1.3%) BCH (-20.9%, 1.2%) KCE (-20.9%, 1.8%) AMATA (-20%, 1.2%) GPSC (-18%, 1.2%) BBL (-17%, 1.1%)

• (*/+) Short Sales: มาตรการยกระดับความเชื่อมั่นตลาดทุน Update ล่าสุดที่จะมีผลวันนี้ ได้แก่ 1)กำหนดเกณฑ์หุ้นที่จะ Short selling (มีผล 21 มิ.ย.) i) ต้องอยู่ใน SET100 ii) ถ้าไม่อยู่ SET100 ต้องมีมูลค่าตลาด > 7.5 พันล้านบาท iii) จำนวนหุ้น Turnover 12 เดือนย้อนหลัง > 2% ประเมินเป็นกลาง(Neutral) – จิตวิทยาบวกอ่อนๆ คาดจะช่วยหนุนตลาดความผันผวนที่มากกว่าปกติจากการ Short จากหุ้นลดลงได้บางส่วน ทั้งนี้ หุ้นที่มีปริมาณ Short Outstanding และเข้าข่ายห้าม Short ในช่วงถัดไป ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นขนาดเล็ก ถ้านับรวมมูลค่าทั้งหมดราว 38 ล้านบาท และจะตามมาด้วยชุดถัดไปวันที่ 1 ก.ค.

2) Uptick(1 ก.ค.) KSS มองบวก ต่อ SET คาดจะลดความผันผวนตลาดในปัจจุบันทุกหลักทรัพย์ ผลคือ หากนักลงทุนจะ Short จะต้องเปิด short ที่ราคา offerหรือราคาที่สูงกว่าราคาตลาด ซึ่งจะไม่จูงใจให้นักลงทุนเปิด Short Position หรือทำการ Short ได้ยากขึ้น เป็นมาตรการที่เคยใช้ในอดีตช่วง 13 มี.ค. – 30 ก.ย.20 (ในช่วงดังกล่าว SET +9.5% ในช่วงเวลาดังกล่าว) 3) ลงทะเบียน HFT(1 ก.ค.) และ 4) เปิดเผยผู้ส่งคำสั่งไม่เหมาะสม(1 ก.ค.)

โดยรวมมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อตลาด และน่าจะลดความผันผวน จำกัด Downside ต่อ SET Index มองมาตรการที่จะช่วยลดความผันผวนต่อตลาดหุ้นได้มากระยะถัดไป คือ Central Order Screening ที่จะมีผลต้นปี 2025

• (*) FTSE Rebalance: วันนี้ (21 มิ.ย.) การ RebalanceFTSE หุ้นชุดใหม่จะมีผล Rebalance ในราคาปิด FTSE ALL World Index(Large + Mid Cap) วัน Rebalance เป็นการเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทย คิดเป็นเม็ดเงินราว +55 ล้านเหรียญฯโดยหลักๆ เป็นการเพิ่มน้ำหนัก SAWAD BGRIM, CPF ,MINT เฉลี่ยราว +20 ถึง +10 ล้านเหรียญฯ ขณะที่หุ้นเข้า – ออก ในส่วนต่างๆ ดัชนี สรุปได้ดังนี้

o FTSE Large Cap : ไม่มีหุ้นเข้าและหุ้นออก

o FTSE Mid Cap : ไม่มีหุ้นเข้าและหุ้นออก

o FTSE Small Cap : ไม่มีหุ้นเข้าและหุ้นออก

o FTSE Micro Cap : หุ้นเข้า SAFE, TAN หุ้นออก : ไม่มี

 

Daily Strategy : BGRIM, GPSC, MINT เด่น

ระยะสั้น วันนี้มองภาพตลาด "Rebound" ภาพต่างประเทศวานนี้เป็นกลาง หุ้นเทคโนโลยีพักตัวหลัง US Bond Yield อายุ 10ปี ฟื้นตัว มองจากผลราคาน้ำมันที่ WTD ปรับตัวขึ้น 3.7-4.0% มองหนุนกลุ่มพลังงานต้นน้ำประคอง SET แทนกลุ่มชิ้นส่วนน่าจะพักตัว ส่วนภายในวันนี้ติดตาม FTSE Rebalance เป็นภาพบวก Net Inflows ราว 55 ล้านเหรียญฯ มองจุดเริ่มหนุนภาพ Flow เป็นบวก ก่อนสัปดาห์หน้าคาดการ Cover Short จะเห็นก่อนมาตาการ Uptick มีผล หุ้นเด่นวันนี้มอง 1) กลุ่มพลังงานต้นน้ำ อาทิ PTTEP, TOP 2) กลุ่ม FTSE เพิ่มนำหนัก อาทิ SAWAD, BGRIM, CPF, MINT 3) กลุ่มปรับตัวลงลึกกว่า SET มีสถานะ Short ที่ยังไม่ถูกปิดสถานะสูง 4) กลุ่มที่ได้แรงหนุนราคาก๊าซยุโรปปรับตัวลดลง -2.7% ขณะที่เก็งกำไรหุ้นเรือคอนเทนเนอร์ กลุ่ม Friefht Forwarder ที่มีสัดส่วนทะเลสูง อาทิ SINO, LEO หลังดัชนีค่าระวางเรือสัปดาห์ล่าสุดกลับมาเร่งขึ้น +7% (vs prev. 2%) อาทิ RCL

 

หุ้นได้ประโยชน์ภาคผลิตโลกผ่านจุดต่ำสุด + เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวหนุนอุตสาหกรรมทยอยเข้าสู่ Upgrade Cycle (HANA, SCGP)
กลุ่มภาคผลิตไทยฟื้นตัว y-y ครั้งแรกในรอบ 19 เดือนหนุน (GFPT, TU, CBG, SCGP, IVL, STA, NER)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรการท่องเที่ยวชุดใหญ่ของรัฐฯ หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (CPALL, ICHI, AOT, MINT, ERW)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, GPSC, CPALL, TRUE, MINT, WARRIX, MTC, MOSHI, KLINIQ)
กลุ่มได้ประโยชน์ Microsoft ลงทุน Data Center ในไทย (ADVANC, TRUE, INSET, WHA)
กลุ่มได้ประโยชน์เทศกาลฟุตบอลยูโร 2024 (CPALL ADVANC TRUE MINT BJC HMPRO OSP SAPPPE ICHI)

• JUNE24 Best Picks: MINT, GFPT, HANA, ICHI, OSP, BJC, MTC

• 2Q24Stock Picks : AOT, BJC, HANA, HMPRO, IVL, MINT, MTC, SCGP, TU Mid-Small Cap Play : OSP, WARRIX, SJWD, STEC

 

Tactical & Investment Idea


Research Highlight


• Strategy Update : Time to Invest

ทีมกลยุทธ์ออกรายงาน Strategy Update "Time to invest" มอง SET Index โซนปัจจุบันให้ Current ERP ที่ 3.6% เป็นโซนลงทุน และมองใกล้ระดับจุดกลับตัว มองหุ้นน่าลงทุน 1) กลุ่มให้ Dividend สูง 2) กลุ่มที่ Underperform และมีส่วนลดทางพื้นฐานสูง

Key Ideas:

• SET Index ในปี 2024 ยัง "Underperform" ตลาดหุ้นโลกต่อเนื่องจากปี 2023 โดย YTD ปรับตัวลดลง -8.6% โดยการปรับตัวลดลงเร่งขึ้นในระยะหลังจากปัญหาความไม่ชัดเจนการเมือง

• อิงกลไก Equity Risk Premium (ERP) คือ ส่วนต่างผลตอบแทนระหว่าง Earnings Yield และ Bond Yield อิงระดับ Current EPS ปัจจุบันที่ราว 83 บาทต่อหุ้น และ Forward EPS ที่ 92 บาท ที่ระดับ Index โซน 1350-1300 จุด ถือเป็นจุดน่าสนใจสำหรับการวางสถานะลงทุนระยะกลาง-ยาว อิงระดับดัชนีปัจจุบัน Current และ Forward ERP นั้นสูงในระดับ 3.6%-4.22% สูงกว่า Avg 3.09% ขณะที่หาก Current ERP สูงเกินกว่าระดับ + 1 S.D. (4.09%) vs ปัจจุบันอยู่ที่ 3.6% ใกล้ระดับ +1 S.D. ที่เป็นจุดกลับตัวของตลาด

• จากการศึกษา Back test ย้อนหลัง 20 ปี พบว่า Current ERP แตะระดับดังกล่าว 7 ครั้งในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา พบว่า SET จะกลับมาให้ผลตอบแทนเป็นบวกเฉลี่ยทุกครั้งในระยะกลาง กล่าวคือ จากนั้น 3 เดือน 6 เดือน 9 เดือน และ 1 ปี SET ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 0.7%, 4.4% 9.9% และ 20.6% ด้วยความน่าจะเป็น 57%, 43%, 72% และ 86% ตามลำดับ

• มุมมองเม็ดเงินลงทุนระยะสั้นนักลงทุนต่างชาติ รอบล่าสุดที่เข้ามาคือ เริ่มตั้งแต่ช่วง เม.ย. 21 ซึ่งซื้อสะสมรวมถึงจุดสูงสุดช่วงราว มี.ค. 23 ด้วยเม็ดเงินรวม 2.85 แสนล้านบาท ขณะที่หลังจากนั้นเป็นการขายต่อเนื่องถึงปัจจุบัน นับถึงวานนี้ พบว่า เม็ดเงินดังกล่าวไหลออกจาก SET ไปกว่า 3แสนล้านบาทแล้ว บ่งชี้แรงขาย ของนักลงทุนต่างชาติจากจุดนี้น่าจะลดลงเป็นลำดับ

• มาตรการ Uptick ใกล้มีผล เดือน กค 2024 น่าจะลดความผันผวนฝั่ง "Short Sell" ได้บ้าง

กลยุทธ์ คำแนะนำสำหรับผู้ลงทุนระยะกลาง-ยาว ทยอยสะสมหุ้นในจุดที่มี Margin of Safety สูง ใน 2 Theme เด่น

1.) Dividend Plays ที่ธุรกิจมีความมั่นคง ให้ผลตอบแทน Div. Yield มากกว่าปีละ 4% (vs Policy Rate 2.5%) ได้แก่ SCB AP ICHI PTT BBL INTUCH ADVANC HMPRO BJC WHA TU

2.) หุ้นในกลุ่มที่ Underperform กว่าตลาด (SET YTD ปรับตัวลดลง -8.6%) แต่พื้นฐานระยะกลาง-ยาวยังแข็งแกร่ง Valuation มีส่วนลด PBV24F ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย >20% ได้แก่ BTS IVL LH HMPRO KCE PTTGC GPSC HANA GULF

• Strategy Update : SET50/100 Update

ตลาดประกาศผลการ Rebalance ดัชนี SET50/100 รอบ 2H24 มีผลราคาปิดวันที่ 28 มิ.ย. (เริ่มใช้ 1 ก.ค. 24) ผลการ Rebalance ตรงกับที่นักวิเคราะห์เชิงปริมาณ KSS ประเมินไว้ทั้งหมด ดังนี้

• หุ้นเข้า SET50 รอบนี้มี 4 บริษัท คือ BJC BCP TIDLOR และ ITC

• หุ้นหลุด SET50 รอบนี้ 4 บริษัท คือ BANPU SAWAD KCE และ COM7

• หุ้นเข้า SET100 รอบนี้มี 9 บริษัท คือ BJC, BA, MBK, CKP, JAS, QH, SKY, PRM, TIPH

• หุ้นที่หลุด SET100 รอบนี้ 9 บริษัท คือ AURA, BYD, FORTH, MOSHI, NEX, ORI, SNNP, THG, TKN

• Strategy Update : EURO 2024 Plays

Fact : มหกรรมฟุตบอลยูโร หนึ่งในรายการฟุตบอลนานาชาติที่จุดทุกๆ 4 ปี ที่ชาวไทยเฝ้าติดตามสูงสุด จะเริ่มต้นอีกครั้ง กลาง มิ.ย. 2024 นี้ โดยทุกๆทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลระดับโลก เม็ดเงินจับจ่ายใช้สอยจะเร่งขึ้นสูงถึงระดับ 1.5-1.8 หมื่นล้านบาท นับว่ามีนัยสำคัญ เทียบกับช่วงเวลามหกรรมที่สั้นราว 1 เดือน โดยมีสินค้าหลักที่ความต้องการพุ่งสูงขึ้นช่วงเวลา ได้แก่ อาหาร+เครื่องดื่ม อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์กีฬา

Analysis จากการผลการศึกษาผลการเคลิ่นไหวอุตสาหกรรมที่เชื่อมโยงกลุ่มสินค้าดังกล่าวในช่วงเวลาที่มีเทศกาลเกิดขึ้นย้อนหลัง 5 ครั้ง กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์จากกำลังซื้ออุปโภคบริโภคที่เพิ่มขึ้นในช่วงมหกรรมดังกล่าว อาทิ สื่อสาร โรงแรม ค้าปลีก และอาหาร ให้ผลตอบแทน 7.2% 6.3% 4.5% และ 1.8% ในช่วงฟุตบอลยูโร 3 รอบ (ไม่รวมรอบที่มี Market Risk ในปี 2008 (Subprime Crisis) และ 2021 (COVID-19)) ขณะที่พบว่ากลุ่มอาหารระยะหลังที่ทยอยมีหุ้นเครื่องดื่มเข้ามาจดทะเบียนมากขึ้น แม้ในช่วงปี 2021 ที่ตลาดมีปัจจัยเสี่ยง Market Risk ยังสามารถให้ผลตอบแทนชนะตลาดได้ที่ +1.0% vs SET -5.3%

Strategy : เชิงกลยุทธ์ พบว่า หุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าวที่มักให้ผลตอบแทนเด่นชนะตลาดในช่วงเวลาที่มีเทศกาลฟุตบอลยูโรเฉลี่ย 15.3%-2.7% ถือเป็นชุดหุ้นที่มีความน่าสนใจและเหมาะกับการเก็งกำไรในรอบตลาดปัจจุบันที่กำลังตั้งฐานฟื้นตัว ได้แก่ CPALL(TP-80) ADVANC(TP-275) TRUE (TP-10.3) MINT (TP-42) BJC (TP-33) HMPRO (TP-15) GLOBAL (TP-17.6) SAPPPE(TP-125) DOHOME (TP-12.3) OSP(TP-26) ICHI(TP-22)

• Strategy Update : FTSE Rebalance

FTSE ประกาศรายชื่อหุ้นชุดใหม่จะมีผล Rebalance ในราคาปิด วันที่ 21 มิ.ย.2024FTSE ALL World Index(Large + Mid Cap) วัน Rebalance เป็นการเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทย คิดเป็นเม็ดเงินราว +50 ล้านเหรียญฯโดยหลักๆ เป็นการเพิ่มน้ำหนัก SAWAD BGRIM, CPF ,MINT เฉลี่ยราว +20 ถึง +10 ล้านเหรียญฯ ขณะที่หุ้นเข้า – ออก ในส่วนต่างๆ ดัชนี สรุปได้ดังนี้

o FTSE Large Cap : ไม่มีหุ้นเข้าและหุ้นออก

o FTSE Mid Cap : ไม่มีหุ้นเข้าและหุ้นออก

o FTSE Small Cap : ไม่มีหุ้นเข้าและหุ้นออก

o FTSE Micro Cap : หุ้นเข้า SAFE, TAN หุ้นออก : ไม่มี

• Strategy Update : Data Center

• กระแสลงทุน Data Center ในไทยกำลังเร่งขึ้น อย่างเป็นรูปธรรม มีสัญญาณบ่งชี้จาก 1) WHA มีโอกาสสูงเซ็นสัญญาขายที่ดินขนาด 400-500 ไร่ให้กับผู้ประกอบการ Data Center ระดับโลกกลางปี 2024 นี้ 2) เริ่มผู้ประกอบการ Data Center ที่เคยลงทุนในประเทศไทยไปแล้วติดต่อผู้ประกอบการโรงไฟฟ้า วางแผนร่วมกันถึงกำลังผลิตไฟฟ้าที่ต้องการสำหรับแผนขยายการลงทุนเพิ่มเติมระดับ 100+ MW

• การลงทุนดังกล่าว เรามองบวกต่อการสร้าง S Curve ใหม่ๆต่อเศรษฐกิจไทยที่ชัดเจนขึ้น อิงขนาดที่ดินที่มีโอกาสขายขนาดใหญ่ WHA บ่งชี้ทิศทางผู้ประกอบการต่างชาติน่าจะมองไทยหนึ่งในศูนย์กลางData Center ของภูมิภาค

• KSS ประเมินทิศทางจะเปิด Upside ของหุ้นกลุ่มต่างๆ ดังนี้ 1) กลุ่มนิคม จากโอกาสขายที่ดิน 2) กลุ่มโรงไฟฟ้า จากโอกาสต่อยอด Upside กำลังผลิตเพิ่มเติม โดยเฉพาะกลุ่มที่เน้นพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น 3) กลุ่มผู้ให้บริการโทรคมนาคม ที่มักเป็นกลุ่มช่วยให้ผู้ประกอบการระดับโลกเช่าใช้ Data Center ที่มีเพื่ออำนวยความสะดวกธุรกิจช่วงเริ่มต้น + โอกาสเติบโตจากการผลักดันมีการใช้งานข้อมูลเพิ่มขึ้นระยะกลาง-ยาว 4) กลุ่มผู้รับเหมา ICT ที่มีศักยภาพสร้าง Data Center 5) กลุ่ม Digital Tech จากมุมมองเชิงบวกต่อภาพ Digital Transformation ระยะยาว เชิงกลยุทธ์หากประกอบภาพพื้นฐานหุ้นระยะสั้น ให้เน้น WHA(TP-6) GULF(TP-45.5) TRUE(TP-10.3) INSET(TP-3.2)

 


• TTB (Buy, TP2.2) : เรามีมุมมอง Neutral ต่อกำไรสุทธิ 2Q24F คาดที่ 5.42 พันลบ. เพิ่มขึ้น +19% y-y และ +2% q-q เพราะ i) ไม่มีการตั้งสำรองพิเศษเผื่อความไม่แน่นอนในอนาคตก้อนใหญ่เหมือนใน 1Q24 ii) ผลประโยชน์ทางภาษีที่ได้จดเลิกกิจการของบริษัทย่อย คือบริษัท ทีบีซีโอ เดิมคือ ธนาคารธนชาต (TBANK) สำหรับผลการดำเนินงานของธุรกิจหลัก (PPOP) ลดลง -4% y-y และ -6% q-q กดดันจากการลดลงของรายได้รวม ทั้งสินเชื่อรวม NIM และรายได้ค่าธรรมเนียม ภาพรวมเรายังชอบ TTB และคงเป็น Top Pick ของกลุ่มธนาคารคู่กับ KTB (BUY, TP 21 บ.) เพราะกำไรสุทธิปี 2024F เติบโตเด่น +11% y-y มากกว่ากลุ่มธนาคารที่ +6% y-y และผลกระทบเชิงลบเรื่องค่าใช้จ่ายสำรองจำกัด

• WHA (Buy, TP6.0) : WHART did not receiver a green light from unit holders for additional assets investment, but WHAIR did. Lacking of income steam from WHART, WHA's core earnings would be cut by 10% for FY24F. WHA plan to sell the assets next year probably to WHART or establishing new REIT in Thailand or overseas, or establishing a private REIT. Share price fall 5.6% yesterday has discounted this and an opportunity to BUY.

2Q24F Equity Outlook : Entering into "Search of Yield", Standby for Asia & Thailand Recovery

Stock Best Picks : AOT, BJC, HANA, HMPRO, IVL, MINT, MTC, SCGP, TU

Mid-Small Cap Play : OSP, WARRIX, SJWD, STEC

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้