Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.เอเซีย พลัส : Market Talk

393

 

 

แรงกดค่อยๆ ลง ... SET INDEX ค่อยๆ ลอย
แรงกดดันต่อ SET INDEX เริ่มลดระดับลง โดยล่าสุดกระบวนการขายเพื่อปรับน้ำหนักของ MSCI ได้ผ่านไปแล้ว ขณะที่ความกังวลเรื่องการเมืองก็ได้ถูกสะท้อนไปในราคาหุ้นพอสมควร สำหรับในช่วงเวลาที่เหลือของปีเรามองเห็นแรงหนุนที่กำลังเข้ามา เริ่มจากทิศทางดอกเบี้ยโลกที่คาดว่า ECBจะเป็นผู้นำในการปรับลดลงในสัปดาห์นี้ ตามด้วย FED ที่อาจปรับลดลงในช่วง 4Q67 ส่วนบ้านเราแม้จะยังไม่ลดดอกเบี้ยแต่ก็อาจได้รับผลดีในมุมของเงินบาทที่น่าจะแข็งค่าขึ้น ดึงดูด FUND FLOW ไหลเข้า อีกเรื่องหนึ่งที่จะทำหน้าที่เป็นแรงหนุนสำคัญคือ ภาพเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะเติบโตเป็นขั้นบันไดในช่วงเวลาที่เหลือ ทั้งนี้จากแรงกระตุ้นของการเบิกจ่ายงบประมาณเชิงรุก และ การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม นอกจากนี้SET INDEX ยังได้ผลบวกโดยตรงจาก LTF หากกลับมาเชื่อว่า SET INDEX อยู่ในภาวะที่มีDOWNSIDE จำกัด และมีแรงหนุนเข้ามาชัดเจนมากขึ้น น่าจะทำให้ปรับตัวขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป วันนี้อยู่ในกรอบ1340 –1351 จุด หุ้น TOP PICK เลือก ADVANC, BJC และ WHA

 

ดอกเบี้ยนอกมีทิศทางขาลงชัดเจน ส่วนไทยยังรอดูตัวเลข
เศรษฐกิจต่อ หนุนเม็ดเงินชะลอการไหลออกจากไทยการประชุมธนาคารกลางในเดือนนี้ มีการประชุมกันถึง 5 ประเทศ เริ่มจากยุโรป (ECB)ประชุม 6 มิ.ย.67 ตลาดคาดลดดอกเบี้ย 0.25% เหลือ 4.25% ตามมาด้วยสหรัฐฯ(FED) ประชุม 12 มิ.ย.67 ตลาดคาดคงดอกเบี้ยไว้ระดับเดิม 5.50% ส่วนประเทศอื่นไทย, ญี่ปุ่น อังกฤษ ตลาดยังมีข้อมูลที่ไม่มากพอที่จะคาดการณ์ได้


ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯที่เพิ่งประกาศออกมาก็ชะลอตัว อาทิ PMI ภาคการผลิตเดือน พ.ค.67 อยู่ที่ 48.7 จุด ต่ำกว่าคาดที่ 49.8 จุด ทำให้มุมทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯยังเห็นสัญญาณว่าอยู่ในทิศทางขาลงมากขึ้น โดยตลาดคาดว่าFED จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ โดยคาดเกิดขึ้นในช่วง ก.ย.67 และ ธ.ค.67 ซึ่งจากก่อนหน้านี้ตลาดเคยคาดว่า FED อาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 1 ครั้งเท่านั้นในปีนี้(เดือน พ.ย.67) ประเด็นดังกล่าว จึงทำให้ BOND YIELD 10Y สหรัฐฯชะลอตัวจนล่าสุดอยู่ระดับ4.40% สอดคล้องกับ FEDSPEAK INDEX ที่ส่งสัญญาณ DOVISH มากขึ้น

ขณะที่ประเทศไทย ตลาดคาดยังคงดอกเบี้ยไว้ระดับเดิม 2.50% จนถึงสิ้นปี จากที่BOND YIELD 10 ปียังทรงตัวระดับเดิม 2.80% และตัวเลขเศรษฐกิจที่ยังไม่สดใส หลังดุลบัญชีเดินสะพัดไทยเดือน เม.ย.67 พลิกกลับมาขาดดุล 40 ล้านเหรียญฯ หรือราว1.44 พันล้านบาท

 

ดังนั้น การที่ประเทศอื่นๆ มีโอกาสเห็นทิศทางดอกเบี้ยที่เป็นขาลงชัดเจนในปีนี้ ส่วนไทยมีโอกาสคงดอกเบี้ยในปีนี้สูงจากเหตุผลข้างต้น จึงหนุนเม็ดเงินชะลอการไหลออกจากไทย และชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทได้ในระยะถัดไป


ราคาน้ำมันผันผวนช่วงสั้น แต่ระยะยาว OPEC+ ยังปรับลดกำลังการผลิตต่อเนื่อง
ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลง 3.66% อยู่ที่ระดับ 74.17 เหรียญฯ/บาร์เรล หลังประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้เรียกร้องให้ฮามาสยอมรับข้อเสนอใหม่ของอิสราเอลเพื่อยุติความขัดแย้งในฉนวนกาซา โดยข้อเสนอดังกล่าว จะเริ่มต้นด้วยการหยุดยิงเป็นเวลา 6 สัปดาห์ และนำไปสู่การยุติการสู้รบอย่างถาวร พร้อมกับเศรษฐกิจสหรัฐที่ชะลอลงในช่วงสั้นตามหัวข้อก่อนหน้า

อย่างไรก็ตามยังมีแรงหนุนราคาน้ำมันในระยะกลางยาว จากผลการประชุม OPEC+มีมติขยายเวลาการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบ 3.66 ล้านบาร์เรล/วัน
(ประกอบด้วยปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบอย่างเป็นทางการของกลุ่มฯ 2.0 ล้านบาร์เรล/วัน และการปรับลดโดยสมัครใจ 1.66 ล้านบาร์เรล/วัน) ออกไปจนถึงสิ้นปี2568 จากเดิมที่กำหนดสิ้นสุดลงในปี 2567 และในส่วนของการปรับลดกำลังการผลิตโดยสมัครใจเพิ่มเติมอีก 2.2 ล้านบาร์เรล/วัน มีมติให้ขยายกรอบระยะเวลาดังกล่าวออกไปจนถึง 30 ก.ย. 2567 จากเดิมที่จะสิ้นสุดลงใน 30 มิ.ย. 2567 หลังจากนั้นจะเริ่มทยอยยุติการรับลดกำลังการผลิต 2.2 ล้านบาร์เรล/วันในช่วงเดือน ต.ค2567- ก.ย. 2568


อุปสรรคกดดันเศรษฐกิจไทยน้อยลงใน 2H67
GDP ไทยงวด 1Q67 ออกมา +1.5%YOY (สูงกว่าตลาดคาดที่ 0.8%YOY) และระยะถัดไปคาดหวังเศรษฐกิจไทยเติบโตแบบขั้นบันได โดย BLOOMBERG คาดการณ์GDP GROWTH ใน 2Q67 +2.0%YOY, 3Q67 +2.8%YOY, 4Q67 +3.9%YOYโดยตลอดปี 2567 BLOOMBERG คาดการณ์ GDP GROWTH อยู่ที่ +2.8%YOY

 

โดยสาเหตุหลักมาจากบทบาทของนโยบายการคลัง ที่ทยอยเดินหน้าที่เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย เชื่อว่าจะเริ่มเห็นความชัดเจนมากขึ้นในช่วง 2Q67-4Q67ขณะที่เป้าหมายการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยของภาครัฐฯ ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่

• การใช้จ่ายภาครัฐ (G) ผ่านการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567 วงเงิน 3.60ล้านลบ. นับตั้งแต่ช่วง 2Q67 เป็นต้นไป เฉพาะอย่างยิ่งด้านการลงทุน

• การลงทุนเอกชน (I) ยังมีแนวโน้มเติบโตเด่น โดยกระทรวงพาณิชย์เผยต่างชาติลงทุนไทย 4 เดือนแรกปี 67 (ม.ค.-เม.ย.) เงินสะพัดกว่า 5.5 หมื่นล้านบาท และเพิ่มขึ้น +42%YOY

• การบริโภคภาคเอกชน (C) ผ่านนโยบายต่างๆ นำโดยโครงการ DIGITALWALLET 10000 บาท/คน ที่จะเริ่มใช้ได้ในช่วง 4Q67 โดยรัฐบาลคาดว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ราว 1.2-1.6% ของ GDP ทั้งปี (TURNOVER 0.4-0.6เท่า) รวมถึงการเพิ่มกำลังซื้อของประชาชนผ่านการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400บาท และรัฐบาลเร่งเดินหน้าภาคการท่องเที่ยวอย่างเต็มที่ นอกจากนี้รัฐบาลยังอยู่ระหว่างการพิจารณาอีกหลายมาตรการ ทั้งใหม่และเก่า (เช่น โครงการEASY E-RECEIPT) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในระยะสั้น

 

อีกทั้งการประชุม ครม. ในวันนี้มีหลายวาระสำคัญ ที่น่าจะเป็นแรงส่งให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้าต่อเนื่อง อาทิ

• กระทรวงการคลัง เสนอมาตรการภาษีหนุนท่องเที่ยว หวังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจใน 3Q67 ช่วงLOW SEASON รวมถึงเสนอมาตรการการเก็บVAT7% สำหรับสินค้าที่นำเข้ามาจากต่างประเทศที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท

• สำนักงานประมาณเสนอกรอบงบประมาณกลางปี เดินหน้าออก พ.ร.บ.งบประมาณเพิ่มอีก 1.22 แสนลบ. เตรียมทำ พ.ร.บ.ส่งเข้าสภาฯ

• กมธ.สภาฯ จะมีการรายงานผลศึกษาโครงการแลนด์บริดจ์

สรุป นโยบายการคลังที่ทยอยเดินหน้าในช่วง 2Q67-4Q67 โดยมีแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยจากหลายภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นการใช้จ่ายภาครัฐ (G) ภาคการการลงทุน (I) รวมถึงภาคการบริโภค (C) คาดเป็นตัวช่วยให้ GDP GROWTH ไทยทยอยเติบโตเป็นขั้นบันได อย่างไรก็ตามยังต้องติดตามความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางการเมืองอย่างใกล้ชิด เพราะอาจเข้ามากระทบกับความเชื่อมั่นในช่วงสั้นๆ ได้

SET INDEX รับแรงกดมาเยอะ หวังค่อยๆ ดีขึ้น
ในวันศุกร์ที่ผ่านมา เป็นวันที่ MSCI REBALANCE ประจำไตรมาส ทำให้เกิดการปรับพอร์ตของกองทุน PASSIVE FUND ต่างประเทศ กดดันให้ SET INDEX ที่ช่วงเช้าวันศุกร์ที่เคย +8 จุด พลิกกลับมาเป็น -5.86 จุด ปิดที่ 1345.66 จุดและที่สำคัญคือมีมูลค่าซื้อขายจากกองทุนต่างประเทศเข้ามากระจุกตัวช่วง PRECLOSE ถึง 3.5 หมื่นล้านบาท สูงเกือบ 1 เท่าตัวของมูลค่าซื้อขายทั้งวัน หนุนให้มูลค่าซื้อขายวันศุกร์กระโดดมาอยู่ที่ 7.48 หมื่นล้านบาท

มูลค่าซื้อขายจากการปรับพอร์ตของกองทุนต่างประเทศช่วง PRE-CLOSE กดดันให้มีหุ้นขนาดใหญ่ปิดกระโดดลงแรงช่วง ATC อาทิ หุ้นที่หลุดออกจากการคำนวณในดัชนี MSCI คือ BTS ช่วง ATC -5%, MTC -1.7%, LH -0.8%, MAJOR -4.4%,FORTH -1.2% นอกจากนี้ยังมีหุ้นอื่นๆ ที่ปิดกระโดดลงอีกช่วง ATC อาทิ JMT -1.3%, STA -1.3%, BDMS -0.9% เป็นต้น

 

อย่างไรก็ตามแรงกดดันจากการปรับพอร์ตตามดัชนี MSCI เสร็จสิ้นแล้ว และประเด็นดังกล่าวไม่ได้ส่งผลต่อมูลค่าพื้นฐานหุ้น อีกทั้งในระยะ 1 เดือนข้างหน้าหุ้นที่ออกจากMSCI มักจะค่อยๆ ทยอยฟื้นตัวขึ้น แนะนำหุ้นพื้นฐานดี หมดแรงกดดันจาก MSCIคือ LH, MTC, MAJOR ส่วน SET INDEX ประเมินว่าจะค่อยๆ ทยอยฟื้นตัวในเดือนมิ.ย. 67 เช่นกัน โดยวันนี้ประเมินกรอบเคลื่อนไหวที่ 1340 –1351 จุด


Research Division
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส

เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม, CISA
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน และทางเทคนิค
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

หมดแรง By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ เห็นหลายตลาด หมดแรง อ่อนตัวลง แต่หุ้นไทย วูบไป 1.44% ในเช้าวันนี้ ด้วยใช้ข่าวดี .....

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้