Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.เอเซีย พลัส : Market Talk

133

 

ถ้าLTF กลับมา ตลาดฯ ก็น่าจะไปได้ดี
ภายใต้ปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐานในปัจจุบัน เรามองเห็นภาพของการBOTTOM OUT ทั้งในส่วนของภาพเศรษฐกิจไทย และ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน จากจุด BOTTOM ในช่วง 4Q66 ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว GDP GROWTH ติดลบ QOQ ขณะที่กำไรบริษัทจดทะเบียนต่ำเพียง 1.76 แสนล้านบาท การ BOTTOM OUT ของทั้ง 2 เรื่อง ในภาวะปกติก็น่าจะทำให้ SET INDEX ปรับตัวขึ้นไปได้ไม่ยาก แต่ด้วยภาวะปัจจุบันเรายังขาดองค์ประกอบที่สำคัญคือ มูลค่าการซื้อขายที่ไม่มากพอ (MARKET TURNOVER ควรอยู่ที่ 70% ต่อปี หรือ 5 หมื่นล้านบาท/วัน) ทำให้ไม่สามารถขับเคลื่อน SET INDEX ได้อย่างมีเสถียรภาพแนวคิดเรื่องการนำ LTF กลับมา เราเห็นว่าน่าจะช่วยเพิ่ม TURNOVERให้กับตลาดได้ และน่าจะทำให้SET INDEX ตอบสนองเชิงบวกประเมินว่า SET INDEX น่าจะแกว่งตัวในทิศทางปรับขึ้น แต่จะเป็นการปรับขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป วันนี้ประเมินกรอบ 1373 – 1388 จุด หุ้นTOP PICK เลือก CPN, PTTEP และ TASCO

 

หากมี LTF ช่วยหนุนตลาดหุ้นไทยได้หลากหลายมิติ
ถ้ามี LTF กลับมาใหม่อีกครั้ง ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินจะมีผลดีต่อตลาดหุ้นไทยในหลากหลายมิติ ดังนี้

1. แรงขายจากนักลงทุนสถาบันฯ มีโอกาสลดลง สังเกตได้จากหลังหมด LTFและ SSFX มาซักระยะนักลงทุนสถาบันฯ ก็เริ่มขายสุทธิออกมาต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ ม.ค.64 – เม.ย.67 สถาบันฯ เป็นผู้ขายหุ้นไทยมากสุด -1.5 แสนล้านบาท สูงกว่าต่างชาติ -1.03 แสนล้านบาท

2. หักล้างการ REDEEM ใน LTF เก่า พอ LTF หมดลงก็ไม่มีเม็ดเงินใหม่เข้ามาหนุนตลาดฯ มีแต่เม็ดเงินที่ทยอยถอนออก (REDEEM) โดยก่อน LTF หมดสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษี (ปลายปี 2562) ตอนนั้นมีเม็ดเงิน LTF คงค้างในระบบสูงถึง 4.06 แสนล้านบาท ค่อยๆ ถอนออกจากตลาดหุ้นไทยกว่า1.59 แสนล้านบาท กดดันตลาด และล่าสุด เม.ย. 67 เหลือมูลค่าคงค้าง LTFอยู่ 2.47 แสนล้านบาท หากไม่มีเม็ดเงิน LTF ใหม่เข้ามาช่วยพยุง ตลาดหุ้นไทยก็จะถูกกดดันจากแรงขายในยอดเงินคงค้างต่อ


3. ลดผลกระทบจากการ SHORT SELL หรือแรงกระทบจากปัจจัยภายนอกส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยผันผวนในช่วงระยะสั้น แต่หากมีเม็ดเงิน LTF น่าจะเข้ามาช่วยพยุงในยามผันผวนระยะสั้นได้ เพราะผู้ลงทุน LTF จะหาจังหวะสะสมในช่วงที่ตลาดย่อตัวลงมา


4. คาดหวังเม็ดเงินจาก LTF ใหม่เข้ามาหนุนราว 6 – 7 หมื่นล้านบาทต่อปีโดยปกติในอดีตจะมีเม็ดเงิน LTF ใหม่ไหลเข้าหุ้นไทยราว 6 –7 หมื่นล้านบาทต่อปีพร้อมกับช่วยหนุนสภาพคล่องในระบบเพิ่มขึ้น


5. หนุนสภาพคล่อง หรือ TURNOVER ในระบบให้สูงขึ้น โดยในอดีตช่วงมี LTFตลาดหุ้นไทยมีสภาพคล่องหรือ TURNOVER เฉลี่ยสูงถึง 80% ต่อปี แต่ปัจจุบัน TURNOVER เฉลี่ยเหลือเพียง 62.7% หากสภาพคล่องกลับมาบริเวณปกติ ที่TURNOVER เฉลี่ยสูงถึง 80% ต่อปีจะมีมูลค่าซื้อขายกลับไป5.5 หมื่นล้านบาทต่อวัน น่าจะเพียงพอในการขับเคลื่อนดัชนีหุ้นไทยให้ขยับขึ้นได้


6. อาจจะแบ่งเม็ดเงินจากกองทุนหุ้นเมืองนอกกลับมาบ้าง โดยล่าสุดฝ่ายวิจัยฯรวบรวมข้อมูลเม็ดเงินกองทุนหุ้นในระบบ พบว่า เป็นเม็ดเงินในกองทุนหุ้นเมืองนอก (FIFEQ + RMFFIFEQ) สูงสุดถึง 6.4 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนราว 40%ของกองทุนหุ้นทั้งหมด ขณะที่เป็นเม็ดเงินจากกองทุน RMF หุ้นไทยเพียง 1.1 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนราว 7% และกองทุน LTF เพียง 2.5แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนราว 15% เท่านั้น

ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมา หากมีการฟื้น LTF กลับมา จะช่วยแก้ปัญญาตลาดหุ้นไทยที่เผชิญในปัจจุบันได้หลายมิติ ทั้งลดแรงขายจากทางสถาบันฯ, หักล้างการREDEEM ใน LTF เก่า, ลดผลกระทบจากการ SHORT SELL, เพิ่มสภาพคล่องในระบบ และที่สำคัญหวังเม็ดเงินไหลกลับเข้ามาในประเทศโอกาสเกิด RECESSION ในไทยกระตุกขึ้น หวังหนุนนโยบายการเงินผ่อนคลาย


ภาพรวมของหลายประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ยังอยู่ในโซนขยายตัวในช่วง 1Q67เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดย GDP GRWOTH ของสหรัฐฯ +1.6%QOQ, ยุโรป+0.3%QOQ, จีน +1.6%QOQ ส่งผลให้ระดับความกังวลเศรษฐกิจโลกชะลอตัวมีแนวโน้มทยอยปรับตัวลดลง ขณะที่ผลการสำรวจของ BLOOMBERG พบว่า โอกาสที่เศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้จะเข้าสู่ภาวะ RECESSION ในอีก 1 ปีข้างหน้า ลดลงเรื่อยๆ นำโดยสหรัฐฯ มีความน่าจะเป็นเหลือเพียง 30%, ยุโรป 40%, จีน 13%ในทางกลับกันภาพรวมเศรษฐกิจไทย ถือว่ามีการเติบโตค่อนข้างต่ำในช่วงที่ผ่านมาโดย GDP GROWTH ในช่วง 4Q66 หดตัว -0.6%QOQ ทำให้มีความเสี่ยงมากขึ้นต่อการเกิด TECHNICAL RECESSION (GDP QOQ ติดลบต่อกัน 2 ไตรมาส) อีกทั้งในแง่มุมโอกาสเกิดเศรษฐกิจ RECESSION ในอีก 1 ปีข้างหน้า ของ BLOOMBERG

ล่าสุดยังปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 30% (ต้นปี 2567 อยู่ที่ 15%) ภาวะดังกล่าวสะท้อนทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินที่ยังมี ROOM ให้ผ่อนคลายมากขึ้น ผ่านการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อจะได้เป็นอีกหนึ่งเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจบ้านเราให้เป็นไปในแนวทางเดียวกับการกระตุ้นผ่านนโยบายการคลังของรัฐบาล

สรุป ความเสี่ยงเศรษฐกิจไทยที่มีโอกาสเข้าสู่ภาวะซบเซา หรือขยายตัวต่ำ สะท้อนทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินที่ยังมี ROOM ให้ผ่อนคลายมากขึ้น ผ่านการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระยะข้างหน้า

กำไร 1Q67 กลุ่ม PROP CONS CONMAT เป็นอย่างไรบ้าง ...มาดูกัน
กลุ่ม PROP : 1Q67 คาดกำไรปกติของ 15 บริษัทรวม 6.13 พันล้านบาท ลดลงในอัตราเดียวกัน 29% YOY และ QOQ จากหลายปัจจัยทั้งเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้า,ทิศทางดอกเบี้ยไทยที่ยังอยู่ระดับสูง, การเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของแบงค์กระทบต่อกำลังซื้อ และ REJECTION RATE สูงขึ้นไม่เฉพาะกลุ่มระดับกลาง-ล่าง แต่เริ่มเห็นสู่บ้านระดับบนเพิ่ม กดดันต่อยอดโอนฯ, มาร์จิ้น และส่วนแบ่งกำไรบริษัทร่วมลดลง กำไรรายบริษัท 1Q67 ประเมิน AP (ประกาศงบแล้ว 7 พ.ค.) , LH, SC, SPALI,QH, SENA, NOBLE และ LALIN ลดลงทั้ง YOY และ QOQ ขณะที่ ORI, BRI, PSHและ LPN คาดกำไรลง YOY แต่เพิ่ม QOQ จากฐานต่ำผิดปกติ 4Q66 สวนทาง ASWกำไรลง QOQ แต่กลับเพิ่ม YOY จากการโอนคอนโดฯ ใหม่ เช่นเดียวกับ SIRI กำไรลง QOQ และทรงตัว YOY แม้โอนมากขึ้น แต่ถูกกดดันจากค่าใช้จ่ายเพิ่ม สำหรับANAN คาดเป็นบริษัทเดียวที่ดีขึ้น YOY และ QOQ ซึ่งมีผลขาดทุน โดยงวดนี้จะพลิกมีกำไร แต่ยังอยู่ในระดับต่ำลงทุนเท่าตลาด แม้ระยะสั้นจะมีแรงกดดันจาก 1Q67 ที่อ่อนแอ แต่คาดเป็นจุดต่ำสุดของปี ก่อนค่อย ๆ ฟื้นขึ้น 2Q67 และต่อเนื่อง 2H67 หนุนจากการลดค่าโอนฯ-จดจำนอง, ดอกเบี้ยไทยที่มีโอกาสปรับลงในครึ่งปีหลัง และเศรษฐกิจไทยที่หวังฟื้นตัวมากขึ้น ตลอดจนการเปิดโครงการใหม่และส่งมอบคอนโดฯ ใหม่เพิ่มตั้งแต่ 2Q67

เลือกหุ้นเด่น คือ AP (FV@B16.00) และ SPALI (FV@B25.40) จากการฟื้นตัวโดดเด่นของกำไรตั้งแต่ 2Q67, มีพอร์ตสินค้าหลากหลาย และได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ, การเงินแข็งแรง และปันผลสูงเกิน 6% ต่อปี

กลุ่ม CONMAT: การเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐที่ล่าช้าและหนี้สินครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง กระทบต่อกำลังซื้อของประชาชน ส่งผลกำไรกลุ่มวัสดุก่อสร้างในงวด 1Q67ออกมาไม่สดใส ยกเว้นบางบริษัทที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว บริษัทที่กำไรลดลง YOYได้แก่ SCC มีกำไร 2,425 ล้านบาท ลดลง 85%YOY หลักๆเกิดจากฐานกำไรที่สูงกว่าปกติในปีก่อนที่มีกำไรพิเศษจากการปรับมูลค่าเงินลงทุน อีกทั้งไตรมาสนี้เผชิญแรงกดดันจาก SPREAD ธุรกิจปิโตรเคมีที่ลดลง และ TASCO คาดกำไรจะหดตัวแรง86%YOY จากธุรกิจยางมะตอยในประเทศที่ซบเซาเพราะยังต้องรองบประมาณภาครัฐ ขณะที่ธุรกิจต่างประเทศเป็นช่วง LOW SEASON ในหลายประเทศ ทำให้ราคายางมะตอยปรับตัวลง สวนทางกับราคา CRUDE ที่เพิ่มขึ้น ทำให้เกิดผลขาดทุนจากการทำสัญญา HEDGING เข้ามาซ้ำเติม สำหรับบริษัทที่มีกำไรทรงตัว คือ DCCมีกำไร 341 ล้านบาท อาศัยการปรับ PRODUCT MIXED จับกลุ่มลูกค้าระดับกลางบน มากขึ้น เพราะเป็นกลุ่มที่ยังพอมีกำลังซื้ออยู่บ้าง ส่วนบริษัทที่มีกำไรเติบYOYได้แก่ SCCC มีกำไร 1,161 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 53%YOY จากการฟื้นตัวของผลประกอบการในเวียดนามและศรีลังกา และยังมีตัวช่วยจากกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนและ DRT มีกำไร 204 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15%YOY ได้ประโยชน์จากต้นทุนวัตถุดิบและพลังงานที่ลดลง ส่งผลให้มีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นชดเชยยอดขายที่ลดลง รวมถึงTPIPL คาดกำไร 721 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12%YOY แม้ว่าภาพรวมธุรกิจของ TPIPLถูกกดดันจาก DEMAND ที่ชะลอตัวจากการเบิกจ่ายงบประมาณรัฐที่ล่าช้าและเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัว ส่งผลให้ยอดขายลดลง แต่จะได้ผลบวกจากต้นทุนพลังงานลดลงมาชดเชย อีกทั้งเงินบาทอ่อนที่ค่าแรง ทำให้เกิดกำไรอัตราแลกเปลี่ยนจำนวนมาก


กลุ่ม CONS : ภาพรวมผลประกอบการน่าห่วง บริษัทรับเหมาใหญ่อย่าง CK คาดขาดทุน 142 ล้านบาท เกิดจากเงินบาทที่อ่อนค่าแรง ทำให้บริษัทหลวงพระบางพาวเวอร์ มี FX LOSS จำนวนมาก ส่งผลต่อเนื่องไปถึง CKP ขณะที่ธุรกิจก่อสร้างแม้ยังรักษาฐานรายได้และ GROSS MARGIN ได้ดี แต่ก็ถูกบั่นทอนจาก SG&A ที่อยู่ในระดับสูง และดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้นตามมูลค่าหุ้นกู้ที่ออกขายเพิ่มในระหว่างปี ส่วนSTEC คาดขาดทุน 36 ล้านบาท นับเป็นการกลับมาขาดทุนครั้งแรกในรอบ 6 ปีกดดันจากส่วนแบ่งขาดทุนเพิ่มขึ้นในโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและชมพู ขณะที่ธุรกิจก่อสร้างมีอัตรากำไรขั้นต้นค่อนข้างต่ำเพราะต้องแบกรับค่าซ่อมอุโมงค์ระบายน้ำหนองบอนในส่วนที่ยังเบิกจากบริษัทประกันภัยไม่ได้ โดยบริษัทรับเหมาที่คาดกำไรเด่นคือ TTCL คาดกำไร 108 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 118%QOQ หนุนหลักจากรายได้ก่อสร้างที่เติบโต และไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษมากเหมือนไตรมาสก่อนที่มีการเคลียร์บัญชีลูกหนี้ ROCKSALT

 

Research Division
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส

เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม, CISA
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน และทางเทคนิค
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

ไต่เส้น By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ มองดูหุ้นไทยไต่เส้น แถว 1370 +/- แบบพยาบามฝ่าด่าน 1380 จุด โดยเช้านี้ พี่ DELTA..

มัลติมีเดีย

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้