Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.เอเซีย พลัส : Market Talk

132

 

 

เงินบาท อ่อนค่าเกินไป?
ช่วงที่ผ่านมาอาจมีหลายเหตุปัจจัยที่ทำให้FUND FLOW ไหลออก และเงินบาทอ่อนค่า โดยหากพิจารณาในช่วง YTD พบว่าเงินบาทอ่อนค้าราว 7.8% อย่างไรก็ตามในอีกมุมหนึ่งพบว่า DOLLAR INDEX แข็งค่าขึ้นมาราว 4.7% ซึ่งภาพดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าเงินบาทอ่อนค่าในอัตราที่มากกว่าการแข็งค่าของ USDสำหรับในมุมของปัจจัยพื้นฐานของบ้านเราพบว่า ฐานะการเงินอยู่ในภาวะที่แข็งแรง โดยมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศมากเป็นอันดับที่ 14 ของโลก และมีอัตราส่วนเท่ากับการนำเข้าสินค้าได้ 8.4 เดือน อีกทั้งในส่วนของดุลบัญชีเดินสะพัดก็มีทิศทางดีขึ้นตามลำดับ ด้วยองค์ประกอบดังกล่าว ทำให้มีความ
เป็นไปได้ที่เงินบาทไม่น่าจะอ่อนค่าหลุด 37 บาท/USD ไปได้นานนัก และน่าจะกลับมาแข็งค่าขึ้นได้ในที่สุด และหากเป็นไปตามคาด ก็น่าจะทำให้เกิดความ
คาดหวังเชิงบวกต่อ FUND FLOW ที่น่าจะไหลกลับเข้ามาตลาดหุ้นบ้านเราSET INDEX ดีดตัวกลับขึ้นมาใกล้ 1350 จุด อีกครั้ง และจากการประเมินปัจจัยแวดล้อมที่ไม่มีปัจจัยลบใหม่ๆ เข้ามา เชื่อว่าน่าจะเห็นการปรับตัวขึ้นได้ต่อ วันนี้คาดกรอบ 1345 –1360 จุด TOP PICK เลือก ADVANC, CPALL และ GULF


เงินบาทอ่อนค่าเกินไปแล้ว ?
วานนี้ เงินบาทเงินบาทปรับตัวอ่อนค่ามากสุดในรอบ 6 เดือน ทะลุ 37 บาท/USD จากหลายปัจจัยที่เข้ามากดดันในช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นความตึงเครียดตะวันออกกลางที่เป็นผลักให้ราคาน้ำมันสูงขึ้น จนอาจกดดันให้เงินเฟ้อความคุมได้ยาก และมีโอกาสหนุนให้FED ยืดระยะเวลาการปรับลดดอกเบี้ยออกไปในปีนี


อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินบริเวณเกิน 37 บาท/USD เงินบาทจะชะลอการอ่อนค่าลง และคาดว่าจะแข็งค่าขึ้นในระยะถัดไป โดยมีสัญญาณต่างๆ ดังนี้
1. ตลาดการเงินตอบรับไปในระดับหนึ่งแล้วว่า FED อาจคงดอกเบี้ยนานขึ้นสะท้อนจาก BOND YIELD 10Y สหรัฐฯ ดีดตัวขึ้นราว 50 BPS. (เทียบเท่าการขึ้น ดอกเบี้ย 2 ครั้ง) นับตั้งแต่ช่วงต้นเดือน มี.ค. 67 บวกกับ FEDWATCH TOOL ปรับเปลี่ยนมุมมองว่า FED จะลดดอกเบี้ยในปีนี้เพียงแค่ 1ครั้ง นอกจากนี้ CONSENSUS ยังคาดการณ์ว่าภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐใน1Q67 จะขยายตัว 2.5%YOY ซึ่งน้อยกว่าไตรมาสก่อนที่3.4%YOY กดดันให้ค่าเงินดอลลาร์มีโอกาสอ่อนค่าลงได้

2. ความกังวลสงครามตะวันออกกลางผ่อนคลายลง โดยวานนี้ จำนวนบทความ/ข่าว เกี่ยวกับ “สงคราม” ลดลงเหลือเพียง 5,567 ข่าว ขณะที่ราคา
น้ำมันดิบ BRENT ย่อตัวลงมาราว -0.14% ทรงตัวอยู่ในระดับ 87.2 เหรียญฯ

3. เงินทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยยังแข็งแกร่ง สามารถนำเม็ดเงินไปหมุนแทนการนำเข้าได้ 8.4 เดือน อีกทั้งดุลบัญชีเดินสะพัดไทยในเดือน ก.พ. 67 ยังพลิกกลับมาเกินดุลได้ราว2.0 พันล้าน USD

4. พื้นฐานเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง เฉพาะอย่างยิ่งในการลงทุนภาครัฐ-เอกชน (I) รวมถึงการใช้จ่ายภาครัฐ (G) อีกทั้งยังคาดหวังมาตรการกระตุ้นภาคการบริโภค (C) ผ่านโครงการ DIGITAL WALLET ทั้งนี้สำนักเศรษฐกิจต่างๆ คาดการณ์ GDP GROWTH ไทยปี 2567 เติบโตเฉลี่ย2.8%YOY ซึ่งถือว่ามีแนวโน้มขยายตัวสูงขึ้นจากปีก่อนที่ 1.9%YOY

สรุป เงินบาทอ่อนค่าอย่างรวดเร็ว ทะลุ 37 บาท/USD อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยฯประเมินบริเวณแนวต้านที่ 37.5 บาท/USD เงินบาทจะชะลอการอ่อนค่าลง และคาดว่าจะแข็งค่าขึ้นในระยะถัดไป


เตรียมอนุมัติ DIGITAL WALLET พร้อมใช้เงินช่วง4Q67
วานนี้นายกฯ เชิญพรรคร่วมรัฐบาลหารือประเด็นนโยบาย DIGITAL WALLET ก่อนที่กระทรวงการคลังจะเสนอผลการประชุมให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบในการประชุมวันนี้ สำหรับรายละเอียดที่จะเสนอ ครม. จะระบุถึงการดำเนินการที่แจกเงิน DIGITALให้ผู้มีอายุ 16 ปี ขึ้นไป รวม 50 ล้านคน วงเงินรวม 500,000 ล้านบาท โดยจะเริ่มแจกในช่วง 4Q67และจะหารือรายละเอียดเกี่ยวกับแหล่งเงินที่ได้รับการยืนยันว่าถูกต้องตามกฎหมาย และเมื่อประชุม ครม.เรียบร้อยจะมีการแถลงให้ชัดเจน ส่วนร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการจะมีการหารือร่วมกันระหว่างกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลังโดยขณะนี้รายชื่อนิติบุคคลของกระทรวงพาณิชย์อยู่ที่ 900,000 ราย และยังมีบุคคลธรรมดาอีกหลายส่วน ซึ่งจะจัดให้มีการลงทะเบียนช่วง 3Q67 และรัฐบาลเชื่อมั่นว่าจะมีผู้สนใจจำนวนมากทั้งนิติบุคคล ร้านค้าและบุคคลธรรมดา

โดยฝ่ายวิจัยฯ คาดว่าความเคลื่อนไหวดังกล่าวกำลังสะท้อนว่า โครงการ DIGITALWALLET ยังคงเดินหน้าต่อไป และน่าจะเริ่มเห็นเม็ดเงินหมุนเวียนได้ในช่วง 4Q67 จึงคาดหวังว่าจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้ตามเป้าหมายของรัฐบาล หนุนให้ GDPGROWTH บ้านเราโตได้เฉลี่ยอย่างน้อย 2.8%YOY(มีโอกาสแตะระดับ 3%-4%) ซึ่งรัฐบาลคาดจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ราว 1.2-1.6% ของ GDP ทั้งปี (TURNOVER 0.4-0.5 เท่า) ส่วนหุ้นที่คาดว่าได้ประโยชน์ คือ หุ้นกลุ่มอาหาร-ค้าปลีก/ค้าส่ง อาทิ CPALL,CBG, ICHI, OSP, TFG, BTG,CPAXT, BJC เป็นต้น

 

สรุป มติ ครม.วันนี้คาดอนุมัติโครงการ DIGITAL WALLET ให้เดินหน้าต่อไปได้ โดยเริ่มใช้ได้ 4Q67 ขณะที่รัฐบาลคาดจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ราว 1.2-1.6% ของ GDP ทั้งปี (TURNOVER 0.4-0.5 เท่า) ส่วนหุ้นที่คาดจะได้ประโยชน์ คือ หุ้นกลุ่มอาหาร-ค้าปลีก/ค้าส่ง อาทิ CPALL, CBG, ICHI, OSP, TFG, BTG,CPAXT, BJC เป็นต้นตลาดรับแรงกดดันความไม่สงบตะวันออกกลางไปแล้ว หวังทยอยฟื้นหลังจากนี้ฝ่ายวิจัยฯ ทำการรวบรวมข้อมูลเวลาเกิดเหตุความไม่สงบในตะวันออกกลาง ว่ากระทบต่อ SET INDEX ลึกแค่ไหน?


▪ ช่วงเดือน ต.ค. 66 ตอนที่อิสราเอลเริ่มต้นบุกฉนวนกาซาช่วงนั้นกดดันSET INDEX ย่อตัว -81 จุด
▪ ต่อมาช่วงเดือน ม.ค. 67 ตอนที่เกิดความไม่สงบในทะเลแดง SET INDEX ย่อตัว -61 จุด
▪ ขณะที่ปัจจุบันช่วงสงกรานต์เดือน เม.ย. 67 ความไม่สงบปะทุขึ้น หลังอิหร่านตอบโต้โจมตีอิสราเอลกลับ กดดัน SET ย่อตัวลงมา -78 จุด อยู่บริเวณใกล้ 1330 จุด

 

สรุปคือ สังเกตได้ว่า เวลาเกิดความไม่สงบในตะวันออกกลางหนักๆ มักจะกดดัน SETINDEX ย่อตัวประมาณ -60 ถึง -80 จุด ดังนั้น SET INDEX ณ ปัจจุบัน ตอบรับประเด็นลบนี้มาในระดับหนึ่งแล้วส่วนต่อจากนี้คาดหวัง SET INDEX มีโอกาสฟื้นตัวต่อ ทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอก ดังนี้
▪ ปัจจัยภายนอก แรงกดดันเบาลง สะท้อนจากเม็ดเงินเริ่มไหลออกจากสินทรัพย์ปลอดภัย โดยทองคำวานนี้ย่อตัวแรง 2.7% (ย่อตัวภายในวันเดียวแรงสุดในรอบ 1 ปี 8 เดือน )ขณะเดียวกันดัชนีความกลัว VIX INDEX เริ่มย่อตัวลงมาอยู่ใกล้ๆ ระดับปกติในช่วงก่อนวันสงกรานต์

▪ ปัจจัยภายใน SET INDEX ที่ระดับ 1350 จุด มีVALUATION ที่น่าสะสมหุ้นมาก PE67F 14.7 เท่า (ต่ำกว่า -1SD), มี PBV 1.3 เท่า (ระดับ -2SD) และMEYG กว้างถึง 4.25% ทั้ง 3 ปัจจัยล้วนแสดงให้เห็นว่าที่ SET INDEXบริเวณใกล้ๆ 1350 จุด เป็นจังหวะน่าหาหุ้นทยอยสะสมเข้าพอร์ตเพิ่มเติมและน่าจะผลตอบแทนได้ดีในระยะถัดไป ภายใต้สภาพแวดล้อมปัจจัยภายนอกเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ

ส่วนหุ้นเด่นน่าสะสมในช่วงนี้ แนะนำหุ้น DEEP VALUE BJC, CPALL, CPF หุ้นคาดหวังการเบิกจ่ายภาครัฐ SCCC, TASCO, AMATA หุ้น DOMESTIC หลบความเสี่ยงภายนอก MAJOR, ADVANC, MTC, CENTEL


มุมมอง 1Q67 เลือก TTB, KBANK, BBL
กำไรสุทธิกลุ่มฯ (8 ธนาคาร) งวด 1Q67 ตามฝ่ายวิจัยคาด เท่ากับ 6.2 หมื่นล้านบาท เติบโต 24% QOQ (+6% YOY จากรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิ : NII ผลต่อเนื่องจากการขึ้นดอกเบี้ยช่วง 2H66) หลักๆ ค่าใช้จ่ายดำเนินงาน (OPEX) ลดลงจากค่าใช้จ่ายการตลาดตามฤดูกาล ประกอบกับ CREDIT COST ต่ำลง หลังงวดก่อนKTB, KKP มีฐานการตั้ง ECL สูง เพื่อรองรับความเสี่ยงล่วงหน้าให้กับลูกหนี้รายใหญ่ และ TTB มีการตั้ง ECL ส่วนเพิ่มเพื่อรองรับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจมหภาค หลังเริ่มมีสิทธิประโยชน์ทางภาษีเป็นงวดแรกโดย ธ.พ. ที่รายงานกำไรดีกว่าฝ่ายวิจัยคาด ได้แก่ KBANK และ KKP ราว 28% และ
35% ตามลำดับ ส่วน KTB, SCB, TISCO และ TTB ตามคาดการณ์ ในทางตรงข้ามBAY และ BBL ต่ำกว่าประเมิน 16% และ 4% ตามลำดับ หากพิจารณาอัตราการขยายตัว QOQ เรียง 3 อันดับแรก นำโดย KKP (ยังลด YOY), KTB ที่มีฐานกำไรต่ำงวดก่อน จากเหตุที่กล่าวข้างต้น และ KBANK เติบโตจาก PPOP เพราะการบริหารจัดการ OPEX ทำได้ดีเมื่อเทียบกับรายได้ และ CREDIT COST ต่ำลงกลับสู่กรอบเป้าหมายของธนาคารฯ ส่วน BAY และ TISCO กำไรหดตัวทั้ง QOQ และ YOY มาจากระดับการตั้ง ECL ที่อยู่ในระดับสูง แรงกดดันจากคุณภาพสินทรัพย์ลูกหนี้รายย่อยยังเปราะบาง

สำหรับรายละเอียดการดำเนินงาน เริ่มด้วย รายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิ (NII) กลุ่มฯ งวด1Q67 เท่ากับ 1.8 แสนล้านบาท ลดลง 4% QOQ (+13% YOY) หดตัวทุกธนาคารหลังฐานสินเชื่อกลุ่มฯ ขยายตัวแผ่วเบา 0.5% QOQ (+1.5% YOY) มาที่ 14.2 ล้านล้านบาท ไม่เพียงพอชดเชยต้นทุนทางการเงินขยับขึ้นตามอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำทยอย REPRICING สวนทางอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อกลุ่ม M-RATE ไม่เปลี่ยนแปลง ประกอบกับจำนวนวันต่ำกว่างวดก่อน ส่งผลให้ NIM กลุ่มฯ ลงเหลือ3.55% เทียบกับ 3.70% งวดก่อน (1Q66 ที่ 3.20%) โดย ธ.พ. ที่มีสัดส่วน CASA(ออมทรัพย์ + กระแสรายวัน) ราว 80% ของเงินฝาก อย่าง KBANK, KTB อัตราการลดลงของ NII ทำได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มฯ ขณะที่ ธ.พ. ที่สัดส่วนมีเงินฝากประจำสูงอย่าง BAY, BBL และ KKP รับผลกระทบจากการ REPRICING เงินฝากประจำมากกว่ากลุ่มฯ ซึ่งแนวโน้มถัดไปอัตราการเพิ่มขึ้นของต้นทุนทางการเงินเริ่มเบาลงหลังเงินฝากประจำปรับเข้าสู่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำใหม่ในช่วง 2H67 (ส่วนใหญ่เงินฝากประจำกระจุกตัวอยู่ในอายุ 6 -12 เดือน) ตามความเห็นของฝ่ายวิจัยรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย (NON – NII) กลุ่มฯ ที่ 6 หมื่นล้านบาท เพิ่ม 7% QOQ (+1%YOY) จากหนี้สูญรับคืนของ KTB และ FVTPL ของ SCB ตามพอร์ตลงทุนของSCB10X การ MARK TO MARKET รับอานิสงค์จากค่าเงินบาทเทียบเหรียญสหรัฐฯ ณ วันสิ้นงวดอ่อนตัว รวมถึงการขายทำกำไร ด้านรายได้ค่าธรรมเนียมกลุ่มฯ ที่ 4 หมื่นล้านบาท เพิ่ม 2% QOQ (และ YOY) ดีกว่าที่ประเมินลดลง QOQ ตามฤดูกาล หนุนด้วยค่าธรรมเนียมของ ธ.พ. ใหญ่ อย่าง BBL, KBANK, KTB และ SCBทั้งจากธุรกิจ บลจ. และค่านายหน้าประกันภัย ตรงข้ามกับ ธ.พ. ที่มีพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์สูง รายได้ค่าธรรมเนียมฯ อ่อนตัว เนื่องจากค่านายหน้าประกันภัยที่เกี่ยวกับรถยนต์ สอดรับกับความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อCOST TO INCOME RATIO (CIR) กลุ่มฯ ที่ 44% จาก 48% งวดก่อน (1Q66 ที่43%) ลดตามฤดูกาล โดย KBANK บริหารจัดการได้ดีกว่ากลุ่มฯ มี CIR ที่ 41%CREDIT COST กลุ่มฯ ที่ 1.6% เทียบกับ 1.9% งวด 4Q66 (1Q66 ที่ 1.4%) หลักๆต่ำลงเพราะ KTB, KKP และ TTB ตามเหตุข้างต้น โดยคุณภาพสินทรัพย์ NPL /LOAN ขยับมาที่ 3.58% เทียบกับ 3.52% ณ สิ้นงวด 4Q66 (3.56% ณ สิ้นงวด1Q66) แม้ ธ.พ. ส่วนใหญ่มีการบริหารจัดการเชิงรุกผ่านการ WRITE-OFF และขายNPL สะท้อนความเปราะบางในบางกลุ่มลูกหนี้ อย่างสินเชื่อรายย่อยและรายใหญ่ใน

บางธุรกิจ ด้าน COVERAGE RATIO เท่ากับ 179% จาก 183% ณ สิ้นงวดก่อน(1Q66 ที่ 180%) ซึ่ง BBL ยังสูงสุดในกลุ่มฯ ที่ 292% คาดพอรองรับการไหลตกชั้นของลูกหนี้

ทั้งนี้ กำไรสุทธิกลุ่มฯ งวด 1Q67 คิดเป็นสัดส่วน 27% ของประมาณการกำไรสุทธิทั้งปีที่ 2.4 แสนล้านบาท (+3% YOY) และ 26% ของ BB CONSENSUS จึงมองประมาณการยังมีความเป็นไปได้ พร้อมเผชิญเส้นทางข้างหน้าที่มีแรงกดดันจากโอกาสในการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 1 ครั้ง และคุณภาพสินทรัพย์ยังไม่เสถียรสำหรับการลงทุนกลุ่มฯ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจไทย ลุ้นแรงส่งจากการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐกระจายเข้าสู่ระบบช่วง 2H67 หนุนการฟื้นตัวของสินเชื่อธุรกิจ ซึ่งประเมินดีกว่าสินเชื่อรายย่อยยังเผชิญกับแรงกดดันจากหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ในระดับสูง จึงมองไปที่ KBANK (FV@B148) และ BBL (FV@B175) รวมถึงTTB (FV@B1.98) ที่มีสิทธิประโยชน์ทางภาษี เป็นกันชนยังคงได้เปรียบกลุ่มฯ โดยสรุปแล้วการลงทุนหุ้นในกลุ่มฯ เรียงตามความชอบดังนี้ TTB > KBANK > BBL >KTB (FV@B19) > TISCO(FV@B106), SCB(FV@B111) > KKP(FV@B49


Research Division
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส

เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม, CISA
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน และทางเทคนิค
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์

 

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

SNNP รับรางวัล Supplier ดีเด่นจากแม็คโคร

SNNP รับรางวัล Supplier ดีเด่นจากแม็คโคร

PTG ลงนาม MOU กรมทรัพยากรทางทะเลฯ และองค์กรภาคีเครือข่าย ร่วมอนุรักษ์ ฟื้นฟูป่าชายเลน

PTG ลงนาม MOU กรมทรัพยากรทางทะเลฯ และองค์กรภาคีเครือข่ายร่วมอนุรักษ์ ฟื้นฟูป่าชายเลน

เก็งหุ้น By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อยขี่ไม้กวาดวิเศษ ภาคเช้าที่ผ่านมา หุ้นไทยแกว่งขึ้น ตามตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียส่วนการเล่นการเทรดเป็นไปตามแรง...

มัลติมีเดีย

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้