Today’s NEWS FEED

News Feed

ฟิทช์ปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของ GGC เป็นลบ; คงอันดับเครดิตที่ ‘A-(tha)’

217

 

 

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์( 3 เมษายน 2567)---บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัท โกลบอล กรีน เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ  GGC เป็นแนวโน้มเครดิตเป็นลบ จากแนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ และประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Rating) ระยะยาวของบริษัทฯ ที่ ‘A-(tha)’

 

แนวโน้มเครดิตเป็นลบ สะท้อนถึงความไม่แน่นอนที่ อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA net leverage) ของ GGC อาจยังคงอยู่ในระดับสูงกว่า 3.0 เท่า - ซึ่งเป็นระดับที่ฟิทช์อาจพิจารณาปรับลดอันดับเครดิต – ในช่วง 2 ปีข้างหน้า หากกำไรของบริษัทฯ ฟื้นตัวช้ากว่าที่ฟิทช์คาด หรือบริษัทฯ มีการลงทุนขนาดใหญ่ กำไรของ GGC ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาลดลงอย่างมาก เนื่องจากส่วนต่างของราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ที่อ่อนแอ การขาดทุนจากมูลค่าสต๊อกที่สูง และค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาที่อยู่ในระดับสูง  ฟิทช์คาดว่า การขาดทุนจากมูลค่าสต๊อกที่สูง และค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาที่อยู่ในระดับสูง น่าจะไม่เกิดขึ้นต่อเนื่อง แต่ส่วนต่างของราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ จะยังคงอ่อนแอในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า จากอุปสงค์ที่อ่อนแอ ซึ่งจะส่งผลต่อการฟื้นตัวของ กำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของบริษัทฯ

 

อันดับเครดิตของ GGC ได้มีการพิจารณารวมถึงการปรับเพิ่มอันดับเครดิตขึ้นสองอันดับ จากสถานะเครดิตโดยลำพังของบริษัทฯ (Standalone Credit Profile) ซึ่งสะท้อนถึงแรงจูงใจในการให้การสนับสนุนของบริษัทแม่ซึ่งได้แก่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC (อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ ‘AA(tha)’, แนวโน้มเครดิตเป็นลบ, อันดับเครดิตโดยลำพังที่ ‘a+(tha)’) ซึ่งมีสถานะทางเครดิตที่แข็งแกร่งกว่า และมีสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 72 ใน GGC   อันดับเครดิตโดยลำพังของ GGC สะท้อนถึง ขนาดของธุรกิจที่เล็ก ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ที่จำกัด และความผันผวนของความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์   อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตได้รับการชดเชยจากสถานะของบริษัทฯ ซึ่งเป็นผู้ผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel) และผลิตภัณฑ์โอลีโอเคมี (Oleochemicals) รายใหญ่ในประเทศไทย และความสามารถในการแข่งขันจากต้นทุนการผลิตที่ต่ำ โดยมีบริษัทในกลุ่ม ปตท. เป็นลูกค้ารายหลัก ทำให้ความต้องการผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ มีความแน่นอน  

 

ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต

ความเสี่ยงในการลดอัตราส่วนหนี้สิน: ฟิทช์คาดว่าการฟื้นตัวของส่วนต่างของราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์จะยังคงมีความเสี่ยง จากอุปสงค์ที่อาจอ่อนแอกว่าที่คาด และอุปทานใหม่ ซึ่งอาจส่งผลให้การฟื้นตัวของกำไร และการปรับลดอัตราส่วนหนี้สินล่าช้าออกไป ซึ่งจะส่งผลในแง่ลบต่ออันดับเครดิต   ฟิทช์คาดว่าส่วนต่างของราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวดีขึ้น จะทำให้ EBITDA Net Leverage ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับประมาณ 3 เท่า ในปี 2567 จาก 4.8 เท่า ในปี 2566 แม้ว่าบริษัทฯ จะมีค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนที่ไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้จำนวน 1 พันล้านบาท สำหรับลงทุนในโครงการขยายกำลังการผลิตของโรงงาน แฟตตี้แอลกอฮอล์ อีทอกซีเลท (Fatty alcohol ethoxylate) ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า

 

ฟิทช์คาดว่า GGC จะดำเนินนโยบายเพื่อรักษาสถานะทางการเงินของบริษัทฯ ซึ่งรวมถึงการพิจารณาลดการจ่ายเงินปันผล จนกว่ากำไร และสถานะทางการเงินของบริษัทฯ ฟื้นตัวดีขึ้น

 

ส่วนต่างของราคาผลิตภัณฑ์กรีเซอรีนกับวัตถุดิบ และการขาดทุนจากมูลค่าสต๊อกสินค้า: ส่วนต่างของราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของกรีเซอรีน น่าจะยังคงอ่อนแอต่อเนื่องไปในปี 2567 แม้ว่าจะมีการฟื้นตัวบ้างจากระดับต่ำสุดในปี 2566   ฟิทช์คาดว่าความไม่แน่นอนของการเติบโตของเศรษฐกิจในภูมิภาค โดยเฉพาะในประเทศจีน อาจจะทำให้อุปสงค์ลดลง และส่งผลกดดันต่อราคาผลิตภัณฑ์   ราคากรีเซอรีนปรับตัวลดลงอย่างมากในปี 2566 เนื่องจากอุปสงค์ที่อ่อนแอ และมีกำลังการผลิตใหม่เกิดขึ้นในภูมิภาค   นอกจากนี้ กำไรในปี 2566 ยังได้รับแรงกดดันจากค่าใช้จ่ายด้านการบำรุงรักษาสำหรับโรงงานผลิตแฟตตี้แอลกอฮอล์ที่อยู่ในระดับสูงกว่าที่บริษัทฯ คาด และการขาดทุนจากมูลค่าสต๊อกสินค้า เนื่องจากราคาผลิตภัณฑ์ปรับตัวลดลง

 

ธุรกิจเมทิลเอสเทอร์ที่ผันผวนต่ำ: ฟิทช์เชื่อว่ากำไรของ GGC จะได้รับการสนับสนุนจากธุรกิจเมทิลเอสเทอร์ ที่มีความผันผวนต่ำ ซึ่งมีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ร้อยละ 56 ในปี 2566 โดยสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลที่คงที่ ราคาขายที่มีการกำหนดโดยภาครัฐ ที่แปรผันตามต้นทุน และความต้องการผลิตภัณฑ์จากบริษัทลูกของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (อันดับเครดิตสากลอยู่ที่ BBB+, อันดับเครดิตภายในประเทศอยู่ที่ AAA(tha), แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ที่ดำเนินธุรกิจค้าปลีกน้ำมันและโรงกลั่น ทำให้อัตราส่วนกำไร และความต้องการผลิตภัณฑ์ของ GGC ค่อนข้างแน่นอน

 

ความเสี่ยงที่ค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนจะสูงกว่าที่คาด: GGC มีแผนที่จะขยายธุรกิจไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง เช่นธุรกิจเชื้อเพลิงชีวภาพขั้นสูง (Advanced biofuel) และผลิตภัณฑ์เคมีชีวภาพใหม่ๆ โดยโครงการดังกล่าวยังมิได้เป็นโครงการผูกพัน เนื่องจากความไม่แน่นอนของอุปสงค์   อย่างไรก็ตามฟิทช์เชื่อว่า GGC น่าจะต้องมีการลงทุนในโครงการดังกล่าว ในระยะยาว แม้ว่าส่วนต่างของราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ จะอยู่ในระดับอ่อนแอ  หากไม่รวมโครงการดังกล่าว ฟิทช์คาดว่าค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนจะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับประมาณ 550 ล้านบาทในปี 2568 จากระดับสูงสุดที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2567 ที่ 1 พันล้านบาท

 

การเติบโตจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น: ฟิทช์คาดว่า EBITDA ของ GGC จะปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ไปอยู่ที่ระดับ 1.3 พันล้านบาทในปี 2568 เนื่องจากปริมาณการขายผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น จากโรงงานผลิตเอทานอลใหม่ ที่อยู่ในช่วงการเพิ่มการผลิต นอกจากนี้การขยายกำลังการผลิตของธุรกิจแฟตตี้แอลกอฮอล์ อีทอกซีเลท (Fatty alcohol ethoxylate) น่าจะส่งผลต่อการเติบโตของ EBITDA  โดยฟิทช์คาดว่าโครงการทั้งสอง น่าจะช่วยเพิ่ม EBITDA ของบริษัทฯ ได้ประมาณ 150-250 ล้านบาทในปี 2568   GGC ได้เริ่มดำเนินงานโรงงานผลิตเอทานอล ในเดือนธันวาคม 2565 และคาดว่ากำลังการผลิตใหม่ของโรงงานแฟตตี้แอลกอฮอล์ อีทอกซีเลท จะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2567

 

การกระจายตัวของผลิตภัณฑ์ที่จำกัดและความผันผวนของอุปสงค์: สถานะทางเครดิตของ GGC ได้ถูกลดทอนจากการที่บริษัทฯ มีการกระจายตัวของผลิตภัณฑ์ที่จำกัด และอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีความผันผวน    ผลิตภัณฑ์ของ GGC ประกอบด้วยเชื้อเพลิงชีวภาพ และ แฟตตี้แอลกอฮอล์ และผลิตภัณฑ์เกี่ยวเนื่อง ทำให้บริษัทฯ มีการกระจายตัวผลิตภัณฑ์ที่จำกัด และมีขนาดธุรกิจเล็กกว่าบริษัทอื่นๆ ที่อยู่ในธุรกิจเคมี และภาคอุตสาหกรรมในประเทศ      นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีต้นทุนวัตถุดิบซึ่งส่วนใหญ่ได้แก่ น้ำมันปาล์มดิบ และน้ำมันเมล็ดในปาล์ม ที่มีความผันผวน ถึงแม้ว่าจะได้รับการการชดเชยจากราคาขายที่คำนวณจากต้นทุนบวกกำไร

 

ความสัมพันธ์กับบริษัทแม่: ฟิทช์พิจารณาว่าแรงจูงใจในการให้การสนับสนุน ด้านกลยุทธ์ และด้านการดำเนินงานของ PTTGC ต่อ GGC อยู่ในระดับปานกลาง ตามหลักเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตของฟิทช์ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทแม่กับบริษัทลูก (Parent and Subsidiary Rating Linkage Criteria)   GGC เป็นบริษัทหลักสำหรับธุรกิจ Green Chemical และเป็นหนึ่งในตัวจักรสำคัญในการสนับสนุนเป้าหมายของ PTTGC และกลุ่มปตท. ในการลดการปล่อยคาร์บอน และการดำเนินธุรกิจที่หยั่งยืน ถึงแม้ว่าสัดส่วนกำไรของ GGC ต่อ PTTGC จะอยู่ในระดับต่ำ       PTTGC มีการให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ GGC ในช่วงที่บริษัทฯ มีปัญหาทางด้านการเงินในปี 2554 โดยมีการแปลงหนี้เป็นทุน รวมถึงในปัจจุบันที่มีการให้วงเงินกู้หมุนเวียนจำนวน 1 พันล้านบาท เพื่อใช้ในการบริหารจัดการสภาพคล่อง

 

ฟิทช์เชื่อว่า PTTGC จะยังคงให้การสนับสนุน หากมีความจำเป็น  นอกจากนี้ แรงจูงใจในการให้การสนับสนุน ยังได้พิจารณารวมถึงการที่ PTTGC มีอำนาจควบคุม ในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่ โดยผู้บริหารของ GGC ได้รับการแต่งตั้งจาก PTTGC   ปัจจัยดังกล่าวทำให้ฟิทช์พิจารณาว่าแรงจูงใจในการให้การสนับสนุน ในด้านความสำคัญทางกลยุทธ์ และความสำคัญทางด้านการดำเนินงาน อยู่ในระดับปานกลาง   ส่วนแรงจูงใจในการให้การสนับสนุนในด้านกฏหมายอยู่ในระดับต่ำเนื่องจากไม่มีการค้ำประกันหนี้จาก PTTGC หรือเงื่อนไขการผิดนัดไขว้ (Cross-default clause) ในสัญญาเงินกู้ของ PTTGC

 

การกำหนดอันดับเครดิตโดยสรุป

สถานะทางเครดิตโดยลำพังของ GGC ที่ ‘bbb(tha)’ อยู่ในระดับต่ำกว่าบริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG (อันดับเครดิตภายในประเทศที่ ‘A-(tha)’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ซึ่งเป็นผู้นำในธุรกิจผลิตฉนวนยางกันความร้อน/เย็น ที่ผลิตจากยางสังเคราะห์ประเภท EPDM, ธุรกิจผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์ และธุรกิจผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกใช้ครั้งเดียวสำหรับเครื่องดื่มและอาหาร   โดย GGC มีประเภทของผลิตภัณฑ์ และการกระจายตัวของธุรกิจปลายทางที่น้อยกว่า EPG ถึงแม้ว่าขนาดธุรกิจที่วัดจาก EBITDA ของทั้งสองบริษัท อยู่ในระดับใกล้เคียงกัน   นอกจากนี้อัตราส่วนหนี้สินของ EPG อยู่ในระดับต่ำกว่า GGC

 

สถานะทางธุรกิจของ GGC อ่อนแอกว่าของบริษัท เอ็ชเอ็มซี โปลีเมอส์ จำกัด หรือ HMC (อันดับเครดิตภายในประเทศที่ A-(tha) แนวโน้มเครดิตเป็นลบ, สถานะทางเครดิตโดยลำพังที่ bbb+(tha)) ซึ่งเป็นผู้ผลิตโพลีโพรพิลีนรายใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยทั้งสองบริษัทมีสถานะทางการเงินที่ใกล้เคียงกัน ทำให้สถานะทางเครดิตโดยลำพังของ GGC อยู่ต่ำกว่าของ HMC  โดย HMC เป็นผู้นำในตลาดโพลีโพรพิลีนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีผลิตภัณฑ์ที่มีความแตกต่างและมีลักษณะเฉพาะตัว และมีอัตราส่วนกำไรที่สูงกว่า GGC   แนวโน้มเครดิตเป็นลบของ HMC สะท้อนถึงความเสี่ยงในการปรับลดอัตราส่วนหนี้สิน เช่นเดียวกันกับของ GGC   HMC ได้รับการปรับเพิ่มอันดับเครดิตขึ้นหนึ่งอันดับจากแรงจูงใจในการให้การสนับสนุนของบริษัทแม่ ซึ่งทำให้มีอันดับเครดิตภายใน ประเทศที่ A-(tha)

 

GGC มีขนาดธุรกิจที่เล็กกว่า และมีความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ที่น้อยกว่า บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC (อันดับเครดิตภายในประเทศที่ ‘BBB+(tha)’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ, สถานะทางเครดิตโดยลำพังที่ ‘bbb-(tha)’) ซึ่งเป็นผู้ดำเนินธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันและธุรกิจปิโตรเคมีรายใหญ่เป็นอันดับที่สามของประเทศ    ฟิทช์เชื่อว่าอัตราส่วนหนี้สินของ GGC ที่อยู่ในระดับต่ำกว่า สามารถชดเชยสถานะทางธุรกิจที่อ่อนแอกว่าได้ ทำให้อันดับเครดิตโดยลำพังของ GGC อยู่ในระดับสูงกว่าของ IRPC

 

สมมุติฐานที่สำคัญ

สมมุติฐานที่สำคัญของฟิทช์ที่ใช้ในการประมาณการ

-               รายได้เติบโตประมาณร้อยละ 15 ในปี 2567 เนื่องจากโรงงานผลิตเอทานอลอยู่ในช่วงเพิ่มการผลิต

-               EBITDA margin ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณร้อยละ 4 ในปี 2567 จากระดับต่ำสุดที่ร้อยละ 2.2 ในปี 2566 เนื่องจากการขาดทุนจากมูลค่าสต๊อกสินค้า และค่าใช้จ่ายด้านการบำรุงรักษาที่ลดลง รวมถึงสัดส่วนรายได้ที่มากขึ้นของธุรกิจเอทานอล และแฟตตี้แอลกอฮอล์ อีทอกซีเลท ที่มีอัตราส่วนกำไรที่สูงกว่า

-               ค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนรวมประมาณ 2.2 พันล้านบาท ในช่วงปี 2567-2569 เพื่อใช้ในการขยายกำลังการผลิตของโรงงานแฟตตี้แอลกอฮอล์ อีทอกซีเลท

-               การจ่ายเงินปันผลร้อยละ 30 ของกำไรสุทธิ

 

ปัจจัยที่อาจมีผลกับอันดับเครดิตในอนาคต

ปัจจัยลบ:

-               ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบ ที่อ่อนแอลง และการลงทุนขนาดใหญ่ที่ใช้แหล่งเงินทุนจากเงินกู้ ซึ่งส่งผลให้ EBITDA net leverage อยู่ในระดับสูงกว่า 3 เท่าอย่างต่อเนื่อง

-               แรงจูงใจในการให้การสนับสนุนจาก PTTGC  ต่อ GGC ที่ลดน้อยลง

 

ปัจจัยบวก: 

-               แนวโน้มเครดิตอาจถูกปรับกลับมาเป็นมีเสถียรภาพหาก EBITDA Net Leverage ปรับตัวลดลงตามที่คาด มาอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 3 เท่า อย่างต่อเนื่อง

-               แรงจูงใจในการให้การสนับสนุนจาก PTTGC  ต่อ GGC ที่เพิ่มขึ้น

 

สภาพคล่อง

สภาพคล่องที่แข็งแกร่ง: GGC มีสภาพคล่องที่แข็งแกร่ง โดยได้รับการสนับสนุนจากเงินสดจำนวน 3.2 พันล้านบาท ณ สิ้นปี 2566 ซึ่งอยู่ในระดับสูงกว่าหนี้ที่มีกำหนดชำระในปี 2567 จำนวน 540 ล้านบาท   GGC มีหนี้ทั้งหมดจำนวน 5.4 พันล้านบาท (รวมงบการเงินของ บริษัท ไทย ทอกซีเลท จำกัด และ บริษัท จีจีซี เคทิส ไบโออินดัสเทรียล จำกัด หรือ GKBI ตามสัดส่วนการถือหุ้น) ณ ปี 2566 ซึ่งประกอบด้วยหนี้ที่มีหลักประกันจากธนาคารของ GKBI จำนวน 3.6 พันล้านบาท ซึ่งใช้ในการก่อสร้างโรงงานผลิตเอทานอล และหนี้ที่ไม่มีหลักประกันของ GGC จำนวน 1.7 พันล้านบาท

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

SNNP รับรางวัล Supplier ดีเด่นจากแม็คโคร

SNNP รับรางวัล Supplier ดีเด่นจากแม็คโคร

PTG ลงนาม MOU กรมทรัพยากรทางทะเลฯ และองค์กรภาคีเครือข่าย ร่วมอนุรักษ์ ฟื้นฟูป่าชายเลน

PTG ลงนาม MOU กรมทรัพยากรทางทะเลฯ และองค์กรภาคีเครือข่ายร่วมอนุรักษ์ ฟื้นฟูป่าชายเลน

เก็งหุ้น By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อยขี่ไม้กวาดวิเศษ ภาคเช้าที่ผ่านมา หุ้นไทยแกว่งขึ้น ตามตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียส่วนการเล่นการเทรดเป็นไปตามแรง...

มัลติมีเดีย

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้