Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.เอเซีย พลัส : Market Talk

199

 

ยังมี MOMENTUM เหลือ เล็กน้อย
เช้านี้ไม่มีปัจจัยใหม่ที่มีน้้าหนักในการขับเคลื่อน SET INDEX มีเพียงการประกาศอัตราการว่างงานในสหรัฐที่ 3.9% ซึ่งสูงกว่าคาด(3.7%) ตอกย้้าความเชื่อเรื่องการปรับลดดอกเบี้ยเดือน มิ.ย.67 อีกเรื่องหนึ่งเป็นตัวเลขเงินเฟ้อเดือน ก.พ.ในจีน ซึ่งอยู่ที่ 0.7% YOY และ 1% MOM สูงกว่าคาด แต่ถูกตีความว่าเป็นสัญญาณการฟื้นตัวเศรษฐกิจสอดคล้องกับตัวเลขการค้าระหว่างประเทศ ที่ประกาศออกมาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาซึ่งเติบโตสูงกว่าคาด ส่วนในบ้านเราประเด็นที่อยู่ในความสนใจได้แก่ การปรับราคาค่าไฟฟ้ารอบใหม่งวด พ.ค. - ส.ค.67 ซึ่งเบื้องต้นมีกรอบราคาช่วง 4.18 –5.44 บาท/หน่วย ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขในการช้าระคืนต้นทุนคงค้าง ของ กฟผ. แนวทางดังกล่าวน่าจะสร้างกระแสเชิงบวกให้กับหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้า จากปัจจัยแวดล้อมดังกล่าวเชื่อว่าไม่น่าจะมีน้้าหนักในการกำหนดทิศทางตลาดคาด SET INDEX น่าจะเคลื่อนไหวตาม MOMENTUM เดิมในช่วงที่ยังไม่ปัจจัยใหม่ๆ SET INDEX น่าจะเคลื่อนไหวไปตาม MOMENTUMเดิมที่ยังคงเหลือยู่ซึ่งน่าจะทำให้SET INDEX ยังไม่ผ่านแนวต้าน 1398 จุด ส่วนแนวรับอยู่ที่ 1380 จุด หุ้น TOP PICK เลือก BJC, BGRIM และ PTTGC


ปัจจัภายนอก ยังผันผวน หนุน SET ระยะสั้น ไปได้ไม่ไกล
วันศุกร์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดตัวในแดนลบราว -0.18% ถึง - 1.16% ซึ่งปัจจัยที่ท้าให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ผันผวน คงหนีไม่พ้นตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาดีกว่าคาด หลังกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐเพิ่มขึ้นเกินคาด 275,000 ต้าแหน่งในเดือนก.พ.67 มากกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่198,000 ต้าแหน่ง ขณะที่ประเด็นอื่น คือ ความเสี่ยงการเกิด GOVERNMENTSHUTDOWN ของสหรัฐฯที่ล่าสุดผ่อนคลายลงเล็กน้อยหลัง ไบเดนได้ลงนามงบประมาณ 4.6 แสนล้านดอลลาร์ ต่อส่วนงานหลักๆ อาทิ กองทัพและทหารผ่านศึกกิจการต่างประเทศ เกษตรกรรม พาณิชย์ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงคมนาคม การพัฒนาเมืองและการเคหะ และพลังงาน ขณะที่ร่างงบประมาณที่เหลืออีก 6 ฉบับจะหมดอายุในวันที่ 22 มี.ค.67 ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องติดตามต่ออย่างใกล้ชิด


ส้าหรับประเด็นที่ต้องติดตามมีอยู่ 2 ปัจจัยหลัก ดังนี้
วันที่ 12 มี.ค.67 จะมีการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อทั่วไปสหรัฐฯ เดือน ก.พ.67 ซึ่งตลาดคาดไว้ระดับเดิมที่ +3.1%YOY ขณะที่ตัวเลขเงินเฟ้อพื้นฐานไม่รวมถึงสินค้าประเภทอาหารและพลังงาน ตลาดคาดอยู่ที่ระดับ +3.7%YOY ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ +3.9%YOY ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องติดตาม เนื่องจากตัวเลขดังกล่าวหากไม่ปรับลดลง ดังที่ FED หวังไว้ อาจส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯยังยืนในระดับสูงวันที่ 20 มี.ค.67 จะมีการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ(FED) ที่ตลาดคาดว่ามีโอกาสคงดอกเบี้ยสูงถึง 97% ขณะที่ในการประชุมครั้งถัดๆไป ตลาดคาดว่า FED จะเริ่มเข้าสู่กระบวนการปรับลดดอกเบี้ย หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีการปรับตัวตามที่คาดหวังไว้หรือ จนกว่าจะมีความเชื่อมั่นมากขึ้นว่าเงินเฟ้อก้าลังปรับตัวสู่ระดับ 2% โดย FEDWATCH TOOL คาดดว่า FED จะปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรก 0.25% ในเดือน มิ.ย.67

 

สรุป ปัจจัยภายนอกที่มีทั้งเรื่องดีและร้าย ขณะที่ระยะถัดไปยังมีปัจจัยที่ต้องติดตามทั้งอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ และ การประชุม FED จึงท้าให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯที่OUTPERFORM ตลาดหุ้นอื่นๆตั้งแต่ต้นปี มีโอกาสผันผวนในกรอบแคบ และถูกแรงTAKE PROFIT มากกว่าช่วงอื่นๆ

ภาคบริโภคจีนมีสัญญาณดีขึ้น คาดเป็นโมเมนตัมบวกต่อไทย
วันเสาร์ที่ผ่านมา (9 มี.ค. 67) มีรายงานตัวเลขเงินเฟ้อเดือน ก.พ. ออกมา+0.7%YOY สูงกว่าตลาดคาดที่ +0.3%YOY ซึ่งเป็นการพลิกกลับมาเป็นบวกครั้งแรกในรอบ 5 เดือน และท้าจุดสูงสุดในรอบ 11 เดือน โดยขยายตัวดีขึ้นเกือบทุกหมวดสินค้า ขณะที่ราคากลุ่มอาหารหดตัวน้อยลง เนื่องจากมีแรงหนุนจากช่วงเทศกาลตรุษจีน รวมทั้งยังมีมาตรการแก้ปัญหาราคาเนื้อหมูตกต่้าในจีน

สำหรับในระยะถัดไป หากเงินเฟ้อจีนขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง หรือไม่พลิกกลับมาติดลบมองว่าจะเป็นการส่งสัญญาณ การฟื้นตัวของภาคบริโภคจีนที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้นขณะที่แรงหนุนจากการเร่งเดินหน้าเศรษฐกิจ รัฐบาลจีนยังมีแนวทางส่งเสริมภาคการผลิตและเทคโนโลยีในประเทศโดยตั้งเป้างบประมาณกว่า 1 พันล้าน USD พร้อมกับตั้งกองทุนชิป 2.7 หมื่นล้านดอลล์ เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีแข่งขันกับสหรัฐฯ

 

ท้ายที่สุดแล้ว เชื่อว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนจะเป็น MOMENTUM เชิงบวกส่งผ่านมายังเศรษฐกิจไทยด้วยเช่นกัน เฉพาะอย่างยิ่งภาคการส่งออกและภาคการท่องเที่ยวในบ้านเรา เนื่องจากจีนถือเป็นประเทศคู่ค้าส้าคัญอันดับ 1 ของไทย รวมถึงช่วงก่อนโควิด-19 นักท่องเที่ยวชาวจีนทะลักเข้าไทยสูงสุดเป็นอันดับแรกสรุป เงินเฟ้อจีน ก.พ. 67 ที่พลิกกลับมาเป็นบวกครั้งแรกในรอบ 5 เดือน ถือเป็นสัญญาณเชิงบวกที่สะท้อนภาคการบริโภคจีนขยายตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่ระยะถัดไป หากเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวอย่างชัดเจน เชื่อว่าจะเป็น MOMENTUM เชิงบวกส่งผ่านมายังเศรษฐกิจไทยด้วยเช่นกัน แนะน้าหุ้นไทยอิงภาคการส่งออกและภาคการท่องเที่ยวอาทิ DELTA HANA KCE CPF STA TU IVL SCGP AOT MINT CENTELสัปดาห์ที่แล้ว SET ขึ้นแรงสุดในปีนี้หวังทยอยฟื้นตัวต่อ
สัปดาห์ที่ผ่านมา SET INDEX ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.39% มาอยู่ที่ 1386.42 จุด ซึ่งเป็นสัปดาห์ที่ SET INDEX ขึ้นแรงสุดในปีนี้ โดยกลุ่มหุ้นที่ OUTPERFORM ก็มีหลากหลาย อาทิ INSUR +3.7%, ETRON +3.7%, MEDIA +2.4%, ICT +2.4%,HELTH +2.4%, AGRI +2.1% เป็นต้น ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นการรีบาวน์ หลังตลาดหุ้นย่อตัวจากการรายงานงบ 4Q66 และตอบรับการปรับประมาณการก้าไรลงมาในระดับหนึ่งแล้ว

ขณะที่ FUND FLOW หลักๆ เป็นการผลักดันจากสถาบันในประเทศที่ซื้อสุทธิ 3.4พันล้านบาทในสัปดาห์ที่ผ่านมา รวมถึงFUND FLOW ต่างชาติมีการสลับมาซื้อสุทธิบ้างในบางวัน และวันศุกร์ที่ผ่านมา ต่างชาติซื้อสุทธิ 1.6 พันล้านบาท

 

แรงผลักดัน SET INDEX หลักๆ เกิดขึ้นช่วงท้ายสัปดาห์ที่แล้ว คือ วันศุกร์ SETปรับตัวขึ้น 1% โดยกลุ่มหุ้นที่ขึ้นแรงมี FUND FLOW หนุน และคาดหวังว่ายังมีMOMENTUM ขึ้นต่อในสัปดาห์นี้ แนะน้า 2 กลุ่มหลักๆ คือ

 หุ้นอิงเศรษฐกิจจีน ที่มีแนวโน้มฟื้นชัดขึ้น คือ กลุ่ม ETRON (KCE, HANA),PKG (SCGP), PETRO (PTTGC, IVL), AGRI (STA, NER)
 หุ้นอิงนโยบายการเงิน,การคลัง ที่อาจส่งผลต่อธุรกิจในอนาคต อาทิ การลดดอกเบี้ย, การลดการกดค่าไฟฟ้า, งบประมาณเบิกจ่ายปี 67 ใกล้เข้ามา,การกระตุ้นการท่องเที่ยวต่อเนื่อง ดีต่อกลุ่ม FIN (SAWAD, TIDLOR),โรงไฟฟ้า (BGRIM, GPSC, GULF), CONS (CK, STEC), TOURISM(CENTEL, ERW)

สรุป SET INDEX เริ่มฟื้นตัว และยังมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อ กลยุทธ์แนะน้าหุ้นอิงเศรษฐกิจและหุ้นได้ประโยชน์จากนโยบายการเงินและการคลังที่ทยอยเข้ามา น่าจะOUTPERFORM ตลาดได้ในช่วงนี้ ส่วนวันนี้ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวไว้ที่ 1380– 1398 จุด TOPPICK เลือก BJC, BGRIM

เสนอค่า FT งวดใหม่ ตรึงไว้ 39.72 หรือขึ้นสูงสุดไม่เกิน 165.24สตางค์/หน่วย
กกพ. เปิดรับฟังความคิดเห็นค่าไฟฟ้าผันแปร (FT) งวด พ.ค.-ส.ค. 2567 โดยนำเสนอค่า FT อยู่ในกรอบ 39.72 - 165.24 สตางค์/หน่วย เทียบกับเดือน ม.ค.-เม.ย. ที่มีค่า FT ที่ 39.72 สตางค์/หน่วย ซึ่งเมื่อรวม กับค่าไฟฐาน 3.78 บาท/หน่วยจะส่งผลให้อัตราค่าไฟงวดใหม่คาดอยู่ที่ราว 4.18 –5.44 บาท/หน่วย จากเดิม 4.18บาท/หน่วยในรอบก่อนหน้า โดย จะมีการเปิดรับฟังความคิดเห็นตั้งแต่ 8 - 22 มี.ค.2567 ก่อนจะสรุปผล และประกาศใช้อย่างเป็นทางการต่อไปโดยแนวทางปรับปรุงค่าFT แบ่งเป็น 3 กรณี ได้แก่


กรณีที่ 1จ่ายคืนภาระต้นทุนค้างทั้งหมดในงวดเดียว : ส่งผลให้ค่า FT เพิ่มขึ้นจากเดิม125.52 สตางค์/หน่วย มาอยู่ที่ 165.24 สตางค์/หน่วย (ประกอบด้วย FT ที่สะท้อนต้นทุนเดือน พ.ค.-ส.ค. 2567 19.21 สตางค์/หน่วย และเงินจ่ายคืนหนี้ กฟผ. 146.03สตางค์/หน่วย) โดยเมื่อรวมกับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.78 บาท/หน่วย จะส่งผลให้อัตราค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเป็น 5.44 บาท/หน่วย

กรณีที่ 2 จ่ายคืนภาระต้นทุนค้างใน 4 งวด : ส่งผลให้ค่า FT เพิ่มขึ้นจากเดิม 16.00สตางค์/หน่วย มาอยู่ที่55.72 สตางค์/หน่วย (ประกอบด้วย FT ที่สะท้อนต้นทุนเดือนพ.ค.-ส.ค. 2567 19.21 สตางค์/หน่วย และเงินจ่ายคืนหนี้ กฟผ. 36.51 สตางค์/หน่วย) โดยเมื่อรวมกับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.78 บาท/หน่วย จะส่งผลให้อัตราค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเป็น 4.34 บาท/หน่วย

กรณีที่ 3 ตรึงค่า FT เท่ากับงวดปัจจุบัน : โดยตรึงค่า FT ไว้ที่ 39.72 บาท/หน่วย(ประกอบด้วย FT ที่สะท้อนต้นทุนเดือน พ.ค.-ส.ค. 2567 19.21 สตางค์/หน่วย และเงินจ่ายคืนหนี้ 20.51 สตางค์/หน่วย) โดยเมื่อรวมกับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.78 บาท/หน่วย จะส่งผลให้อัตราค่าไฟฟ้าเท่ากับงวด ม.ค.-เม.ย. 2567 ที่ 4.18 บาท/หน่วย

ทั้งนี้ การปรับปรุงค่า FT ดังกล่าว จะยังไม่รวมเงินภาระคงค้างค่าก๊าซฯ ที่เกิดขึ้นจากการใช้นโยบายตรึงการเรียกเก็บราคาก๊าซฯเดือน ก.ย. – ธ.ค. 2566 คงที่ ตามมติกพช.

ภาพรวม ถือเป็นมุมมองเชิงบวกต่อผู้ประกอบการโรงไฟฟ้า SPP ที่มีสัดส่วนขายไฟฟ้าให้แก่กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมค่อนข้างสูง อาทิ BGRIM, GPSC, GULF เนื่องจาค่า FT งวดใหม่มีแนวโน้มคงที่ หรืออาจปรับตัวสูงขึ้นจากงวดก่อนหน้า ในขณะที่ประมาณการต้นทุนก๊าซธรรมชาติ (POOL GAS) รอบ พ.ค.-ส.ค. 2567 มีแนวโน้มลดลงมาอยู่ราว 300 ล้านบาท/ล้านบีทียู จากเดือน ม.ค.-เม.ย. 2567 ที่อยู่ราว 333บาท/ล้านบีทียู ส่งผลให้ภาพรวมอัตราก้าไรขั้นต้นของกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP ในงวด2Q66 มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น QOQ ภายใต้สมมติฐานอ้างอิงตามแนวทางค่า FT ทั้ง3 กรณีดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน กกพ. ยังอยู่ระหว่างการเปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน จึงยังต้องรอข้อสรุปเป็นตัวเลขที่เป็นทางการต่อไป รวมถึงต้องติดตามนโยบายจากภาครัฐฯ ว่าจะมีมาตรการปรับลดค่า FT ลงให้ต่้าแนวทาง ที่กกพ. เสนอข้างต้น ด้วยการยืดการช้าระหนี้ให้แก่ กฟผ. ออกไป เพื่อช่วยเหลือภาคประชาชนอย่างต่อเนื่องหรือไม่

ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยคงค้าแนะน้าหาจังหวะทยอยสะสมลงทุนระระยาวส้าหรับ GULF(FV@63B), BGRIM (FV@34B), และ GPSC (FV@55B) ที่ได้รับประโยชน์จากต้นทุนก๊าซฯที่คาดจะเริ่มทยอยปรับตัวลดลง รวมถึงโครงการใหม่ๆที่เข้ามาช่วยต่อยอดฐานกำไรให้เติบโตต่อเนื่อง YOY

 

บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส

เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม, CISA
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน และทางเทคนิค
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์

 

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

SNNP รับรางวัล Supplier ดีเด่นจากแม็คโคร

SNNP รับรางวัล Supplier ดีเด่นจากแม็คโคร

PTG ลงนาม MOU กรมทรัพยากรทางทะเลฯ และองค์กรภาคีเครือข่าย ร่วมอนุรักษ์ ฟื้นฟูป่าชายเลน

PTG ลงนาม MOU กรมทรัพยากรทางทะเลฯ และองค์กรภาคีเครือข่ายร่วมอนุรักษ์ ฟื้นฟูป่าชายเลน

เก็งหุ้น By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อยขี่ไม้กวาดวิเศษ ภาคเช้าที่ผ่านมา หุ้นไทยแกว่งขึ้น ตามตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียส่วนการเล่นการเทรดเป็นไปตามแรง...

มัลติมีเดีย

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้