สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (6 มีนาคม 2567)------นายจอมทรัพย์ โลจายะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (SUPER) เปิดเผยว่า แผนธุรกิจปี 2567 บริษัทฯ คาดรายได้รวมจะเติบโตประมาณ 10% จากปีก่อนที่ทำได้ 10,130.71 ล้านบาท ขณะที่กำไรมีแนวโน้มเติบโตดีกว่าปีที่ผ่านมาที่ขาดทุนสุทธิ 8.31 ล้านบาท เนื่องจากได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้น และค่าเงินดองเวียดนามที่อ่อนค่า ส่งผลให้บริษัทฯ เผชิญกับผลขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน ทำให้ต้องรับรู้ผลกระทบดังกล่าวทางบัญชี แต่ในปีนี้ เชื่อว่าค่าเงินดองเวียดนามน่าจะเริ่มนิ่งแล้ว รวมทั้งบริษัทฯ ปิดหนี้ที่ภาระดอกเบี้ยสูงไปแล้วบางส่วน จึงเชื่อว่าภาพรวมของผลประกอบการจะมีทิศทางการเติบโตที่ดี
พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังรับรู้รายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าเข้ามาอย่างสม่ำเสมอ โดยปัจจุบันมีกำลังการผลิตตามปริมาณเสนอขายตาม PPA รวม 2,369.79 เมกะวัตต์ซึ่งเปิดดำเนินการแล้ว 1,626.11 เมกะวัตต์
"ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถชนะประมูลโครงการพลังงานทดแทน อาทิ พลังงานลม, พลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน, พลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินร่วมกับระบบเก็บพลังงาน,และสำหรับขยะอุตสาหกรรม จำนวน 19 โครงการ กำลังผลิตติดตั้งรวม 361.196เมกะวัตต์ กำลังการผลิตตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ารวม 185.50 เมกะวัตต์ " นายจอมทรัพย์ กล่าว
สำหรับปีนี้ ประเมินว่าภาครัฐจะเปิดประมูลโครงการพลังงานทดแทนอย่างคึกคัก ซึ่งตามกระแสข่าวคือมีจำนวนเมกะวัตต์ 3,600-5,000 เมกะวัตต์ โดยบริษัทฯ เชื่อว่าเป็นโอกาสที่ดีที่จะเข้าร่วม ส่วนคาดหวังจะได้กี่เมกะวัตต์คงยังไม่สามารถประเมินได้ แต่จะทำให้ดีที่สุด และจากทิศทางทางการเติบโตของอุตสาหกรรมพลังงานทางเลือก พลังงานสะอาดที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า แนวโน้มรายได้ของบริษัทฯ จะเติบโตขึ้นไปแตะ 15,000-16,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังมองโอกาสการต่อยอกธุรกิจพลังงานทดแทน ในมีแผนจัดตั้งตลาดกลาง (Marketplace) ซื้อขายคาร์บอนเครดิต รวมทั้งในอนาคตเมื่อมีการใช้พลังงานสะอาดเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะรถ EV บริษัทฯ จึง มองโอกาสไปถึงการทำธุรกิจทำลายแบตเตอรี่ เป็นสเต็ปต่อไปแต่เรื่องดังกล่าวยังอยู่ในขั้นตอนการศึกษา
อีกทั้งบริษัทฯ มีความพร้อมในการลงทุนพลังงานทุกรูปแบบ โดยมีเงินสดในมือ 7,000-8,000 ล้านบาท รองรับแผนการขยายธุรกิจโรงไฟฟ้าในอนาคต รวมทั้งการชำระคืนหนี้สถาบันการเงิน หนี้หุ้นกู้ซึ่งปีนี้ จะมีหุ้นกู้ที่ครบกำหนดชำระ 2 ล็อต ประกอบด้วย หุ้นกู้ 1,500 ล้านบาท ที่จะครบดีลในวันที่ 23 เม.ย. 67 และเดือน พ.ย.67 อีก 1,500 ล้านบาท โดยบริษัทฯ มีเงินรองรับการจ่ายไว้หมดแล้ว
นายจอมทรัพย์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ราคาหุ้น SUPER ที่ปรับลดลงมา อาจจะเกิดจากปัจจัยภายนอก เช่นการขายของกองทุน หรือภาวะตลาดหุ้นกู้ที่ทำให้นักลงทุนกังวล แต่มองว่าเป็นโอกาส และจังหวะลงทุน ซึ่งในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาตนเองก็ได้เข้าไปซื้อหุ้น SUPER ประมาณ 50 ล้านหุ้น ขณะเดียวกันราคาหุ้น SUPER ที่ลงมา มองว่าเป็นจังหวะในการที่จะเสนอบอร์ดเพื่อขออนุมัติซื้อหุ้นคืนด้วยเช่นกัน