Today’s NEWS FEED

News Feed

สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เผยจุดสูงสุดของ SET Index ช่วง ม.ค. - ธ.ค. 67 เฉลี่ยที่ระดับ 1,612 จุด /5หุ้นเด่นAOT-CPALL-CPN-GPSC/หลีกเลี่ยง DEELTA

233


สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(8 มกราคม 2567)-------นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน แถลงผลการสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนต่อมุมมองในด้านการลงทุนและคาดการณ์ทิศทางดัชนีราคาหุ้นไทย (SET Index) โดยครั้งนี้มีผู้ตอบแบบสำรวจทั้งหมด 26 บริษัท แบ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์จำนวน 22 บริษัท บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนจำนวน 2 บริษัท และบริษัทโกลด์ฟิวเจอร์ส 2 บริษัท ผลสำรวจโดยสรุป ดังนี้

สมมติฐาน GDP ปี 67 นั้นผู้ตอบทุกรายมองว่าเป็นบวก ผู้ตอบที่ให้ตัวเลขต่ำสุดคือ 2.5% ตัวเลขสูงสุดคือ 4.4%โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.33% ลดลงจากการสำรวจครั้งก่อน (ต.ค.66) ซึ่งเคยใช้สมมติฐานที่ 3.56%

ทางด้านสมมติฐานราคาน้ำมัน มีค่าเฉลี่ยของผู้ตอบแบบสอบถามที่ 80.24 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยแยกตามกลุ่ม มีผู้ตอบดังนี้
• 70 – 74.99 เหรียญสหรัฐ มีผู้ตอบร้อยละ 4
• 75 – 79.99 เหรียญสหรัฐ มีผู้ตอบร้อยละ 20
• 80 – 84.99 เหรียญสหรัฐ มีผู้ตอบร้อยละ 60
• 85 – 89.99 เหรียญสหรัฐ มีผู้ตอบร้อยละ 16

ทั้งนี้ Risk Free Rate ที่ใช้ในการประเมินมูลค่าจากผู้ตอบ มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 2.92% และทางด้านสมมติฐาน Risk Premium ของตลาด ที่ใช้ในการประเมินมูลค่า อยู่ที่ 7.68%

คาดการณ์ค่าเฉลี่ยดัชนีหุ้นไทยสิ้นไตรมาสที่ 1 ทั้งนี้นักวิเคราะห์ และผู้จัดการกองทุนคาดว่าการฟื้นตัวของดัชนีหุ้นไทยจะต่อเนื่องไปในไตรมาส 1 ของปี 2567 โดยคาดว่า ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ดัชนีจะเฉลี่ยอยู่ที่ 1,476จุด


เมื่อให้มองยาวไปจนถึงสิ้นปี 2567 ปัจจัยที่มีผลบวกต่อดัชนีราคาหุ้นไทยในปี 2567 ได้แก่ ผลประกอบการของ บจ.ปี67 ผู้ตอบแบบสำรวจ 92.59% เทคะแนนให้อย่างชัดเจนว่าเป็นผลบวก รองลงมาผู้ตอบ 92.31% โหวตให้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐอเมริกา ตามมาด้วยเศรษฐกิจภายในประเทศ มีผู้ตอบ 85.19% และ Fund Flows จากต่างประเทศสู่ตลาดหุ้นไทย มีผู้ตอบ 66.67% ตามลำดับ

 

ส่วนปัจจัยที่จะส่งผลในด้านลบต่อตลาดทุนไทยในขณะนี้จนถึงสิ้นปี 2567 ได้แก่ การลดหรือยุติมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของประเทศสำคัญทั่วโลก 81.48% ของผู้ตอบทั้งหมด เทคะแนนให้อย่างชัดเจนว่าเป็นผลลบ รองลงมาปัจจัยด้านการเมืองในต่างประเทศ มีผู้ตอบ 71.43% ตามมาด้วยปัจจัยด้านเศรษฐกิจต่างประเทศทั้ง อเมริกา ยุโรป เอเชีย มีผู้ตอบ 59.26% และผลประกอบการ บจ.ปี67 มีผู้โหวต 50% ตามลำดับ


สมาคมนักวิเคราะห์ฯ ได้สอบถามความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนเกี่ยวกับ ข้อเสนอแนะว่ารัฐบาลควรมีนโยบายเรื่องใดที่มีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจ คุ้มค่ากับผลกระทบทางงบประมาณ ส่วนใหญ่เสนอให้มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว แยกเป็นร้อยละ 50 ของผู้ตอบเสนอให้เร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานการลงทุนภาครัฐที่หนุนศักยภาพ การเติบโตทางเศรษฐกิจ ถัดมาจำนวนร้อยละ 29.17 ของผู้ตอบ เสนอนโยบายช่วยเหลือภาคประชนได้แก่ มาตรการลดค่าครองชีพ ยกเลิกนโยบายแจกเงิน แต่เปลี่ยนเป็นโครงการกระตุ้นการบริโภค (คล้ายคนละครึ่ง) หรือนโยบาย ช้อปช่วยชาติ และร้อยละ 20.83 ของผู้ตอบเสนอด้านการช่วยเหลือภาคธุรกิจ ได้แก่ นโยบายกระตุ้นการลงทุนจากต่างประเทศ เร่งแผนยกระดับศักยภาพการผลิตไทย ส่งเสริม FDI ในอุตสาหกรรมใหม่ๆ รวมถึงกระตุ้นการลงทุนเอกชนในประเทศเกี่ยวกับ New technology และ ESG
ด้านอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท. ณ สิ้นปี 2567 มีนักวิเคราะห์ถึง 62.50% ที่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับเดิม คือ 2.50% รองลงมามี 20.83% ของผู้ตอบ มองว่าจะอยู่ที่ 2.25% อีกทั้งผู้ตอบ 12.50% มองว่าอยู่ที่ 2.00% และมีผู้ตอบ 4.17% ที่มองว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจปรับขึ้นไปอยู่ที่ 2.75%
คาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 2567 ของตลาดเฉลี่ยที่ 95.62 บาท ปรับลดจากผลสำรวจครั้งก่อน ซึ่งอยู่ที่ 99.47 บาทต่อหุ้น โดย แยกตามกลุ่มมีผู้ตอบดังนี้
• 80 – 89.99 บาท มีผู้ตอบร้อยละ 11.76
• 90 – 99.99 บาท มีผู้ตอบร้อยละ 64.71
• 100 – 109.99 บาท มีผู้ตอบร้อยละ 23.53

EPS Growth ของปี 2567 คาดว่า EPS Growth เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 12.32 เมื่อแยกตามช่วงระดับการเติบโต จะอยู่ระหว่างร้อยละ
• 1 ถึง 9.99 มีผู้ตอบร้อยละ 33.33
• 10 ถึง 19.99 มีผู้ตอบร้อยละ 66.67


สำหรับจุดสูงสุดของ SET Index ช่วง ม.ค. - ธ.ค. 67 เฉลี่ยที่ระดับ 1,612 จุด ทั้งนี้มีผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 38.89 ที่คาดว่าดัชนีจะทำจุดสูงสุด 1,551 – 1,600 จุด รองลงมาผู้ตอบร้อยละ 27.78 ที่คาดว่าจุดสูงสุดจะอยู่ในช่วง 1,601 – 1,650 มีผู้ตอบร้อยละ 16.67 มองว่าอยู่ในช่วง 1,501 – 1,550 และร้อยละ 11.11 มองว่าอยู่ในช่วง 1,651 – 1,700 เพียงผู้ตอบร้อยละ 5.56 ที่มองว่า จุดสูงสุดจะไปถึง 1,701 – 1,750

เมื่อมองจุดต่ำสุดของปี 2567 นักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุน คาดการณ์จุดต่ำสุดของดัชนีราคาหุ้นไทย (SET Index) ช่วงม.ค. - ธ.ค. 67 มีค่าเฉลี่ยจุดต่ำสุดที่ 1,340 จุด

ทั้งนี้นักวิเคราะห์ และผู้จัดการกองทุนคาดเป้าหมายดัชนี ณ วันสิ้นปี 2567 มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1,590 จุด
ความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนเกี่ยวกับการจัดพอร์ตการลงทุน แนะนำ ให้มีเงินสด / เงินฝากระยะสั้นร้อยละ 8.96 ของพอร์ต และมีกองทุนตราสารหนี้ร้อยละ 25.63
ส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงนั้น แนะนำให้แบ่งเงินลงทุนไว้ในหุ้นต่างประเทศหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ ร้อยละ 23.67 รองลงมา ลงทุนในหุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย ร้อยละ 22.79 ตามมาด้วยการแบ่งเงินลงทุนไว้ในกองทุนอสังหา/REIT ร้อยละ 9.17 ทองคำ/ กองทุนทองคำ ร้อยละ 8.75 และสินทรัพย์อื่นๆ เช่น Bitcoin ,น้ำมัน ร้อยละ 1.03
โดยความเห็นต่อการลงทุนหุ้นต่างประเทศ / กองทุนหุ้นต่างประเทศ แนะนำกองทุนหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ และ Selective Asia เช่น เกาหลี และเวียดนาม


หมวดธุรกิจที่แนะนำเพิ่ม- ลดน้ำหนักการลงทุนในไตรมาส 1


สำหรับในการลงทุนหุ้นไทยนั้น แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุน ในหมวดธุรกิจ ค้าปลีก อาหาร เงินทุน/หลักทรัพย์ และ การท่องเที่ยว
ในขณะที่ให้ลดน้ำหนักการลงทุนใน หมวดธุรกิจก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ รายที่มีหนี้สูง และธุรกิจประกัน

หุ้นเด่น

รายชื่อหุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำโดยมีจำนวนสำนักวิเคราะห์แนะนำตรงกันตั้งแต่ 5 สำนักขึ้นไป มีดังนี้ (เรียงชื่อตามอักษรย่อ)
1. AOT มองว่าได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวดีขึ้น โดยในปี 2567 คาดนักท่องเที่ยว 34.5-35 ล้านคน จากปี 2566 ที่ 27-28 ล้านคน คาดว่าจะเห็นมาตรการรัฐสนับสนุนเพิ่มเติม และนอกจากผลประกอบการจะฟื้นตัวตามการท่องเที่ยว ยังอยู่ระหว่างศึกษาการปรับขึ้นค่า PSC และการเก็บค่า Transit/Transfer รวมถึงการรอรับโอน 3 สนามบินจากกรมท่าอากาศยาน
2. CPALL โดยได้แรงหนุนจากการท่องเที่ยว High Season และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาล Easy E-Receipt และ การปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ รวมถึง Digital wallet ในปี 2567 ช่วยหนุนการจับจ่ายใช้สอย
3. CPN โดยมองว่า ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นของรัฐบาล และภาคท่องเที่ยวฟื้นตัวต่อเนื่อง ทั้งยังแผนการเปิดโครงการใหม่ในระยะยาว มองเป็นหุ้นที่น่าจะเป็นเป้าของกองทุน ThaiESG
4. GPSC ปัจจัยสนับสนุนจาก Bond Yield ที่ปรับตัวลง และคาดกำไรปี 2567 +31% ฟื้นตัวตามค่าไฟที่คาดทยอยปรับขึ้น ขณะที่ต้นทุนก๊าซมีแนวโน้มค่อยๆ ลดลง


สำหรับหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ หุ้น DELTA เกินมูลค่าปัจจัยพื้นฐานไปมาก และหุ้นรายตัวที่มีภาระกู้ยืมสูง/เพิ่มทุน

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

น้ำขึ้นให้รีบตัก By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ ตลาดบวก หุ้นขึ้น วันนี้ น้ำขึ้นให้รีบตัก หรือเทขายกำไรไว้ก่อน ด้วยพรุ่งนี้ ตลาดเรา ...........

มัลติมีเดีย

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้