AT THE OPEN (#ATO)
SET Index ค่อยๆขยับกรอบขึ้น
กลยุทธ์เลือกหุ้นที่แนวโน้มกำไรโตดี
Market Strategy
การรายงาน GDP Growth 3Q66 ขยายตัว 4.9%QoQ ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 5.1%QoQ ทำให้ตลาดยังเชื่อว่า FED จะปรับลดดอกเบี้ยฯ ในช่วง 1Q67 เป็นปัจจัยหนุนต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ วานนี้พลิกกลับมายืนในแดนบวกช่วง 0.87% ถึง 1.26% ขณะที่ Dollar Index อ่อนค่าทำจุดต่ำสุดเดือน ธ.ค. มายืนที่ 101.79 จุด สวนทางค่าเงินบาทที่เช้านี้แข็งค่า 34.68 บาท/USD มองเป็นสัญญาณบวกต่อทิศทาง Fund Flow ต่างชาติหลังจากซื้อสุทธิในตลาดหุ้นบ้านเรามา 2 วันติดต่อกัน
ปัจจัยในประเทศความเสี่ยง Policy Risk ต่อการปรับโครงสร้างราคาก๊าซเป็นแบบ Single Pool Gas Price ที่จะเพิ่มต้นทุนการดำเนินงานต่อ PTT และ PTTGC เป็นปัจจัยลบต่อราคาหุ้นในระยะนี้ แต่อย่างไรก็ตามการปรับลงของราคาหุ้นวานนี้สะท้อนถึงตลาดดูดซับกับประเด็นดังกล่าวไปบ้างแล้ว ขณะที่กลุ่มโรงไฟฟ้าที่จะได้ประโยชน์จากต้นทุนที่ลดลง (บวกต่อ GPSC BGRIM และ GULF) จะเป็นตัวที่ช่วยกลับมาประคองตลาด
นอกจากนี้เม็ดเงินจากกองทุน TESG ที่เชื่อว่าจะทยอยเข้ามาจะเป็นปัจจัยหนุนต่อ SET Index ให้อยู่ในภาวะ Sideway Up โดยวันนี้ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวที่ 1395-1410 จุด กลยุทธ์การลงทุนเลือกหุ้นที่กำไรมีแนวโน้มเติบโตและราคาหุ้นอยู่ในระดับน่าสนใจ
Market Summary
Set Index ปรับขึ้น 4.47 จุดหรือ 0.32% โดยกลุ่มที่ปรับตัว outperform ตลาด นำโดยกลุ่มอิเล็คทรอนิกส์ +1.43% ยอดส่งออกของเกาหลีใต้ 20 วันแรกในเดือน ธ.ค. ที่ขยายตัว 13% เป็นสัญญาณชี้นำการส่งออกกลุ่มชิ้นส่วนบ้านเรา ตามด้วยกลุ่มขนส่ง +1.13% ตามการรีบาวน์ของ AOT+1.68%,ส่วนกลุ่มที่ underperform กลุ่มพลังงานและปิโตรฯ จากความกังวลเรื่องปรับโครงการสร้างราคาก๊าซกดดัน PTT -0.71% และ PTTGC -6.79% ตามลำดับ
ATO Daily Stock Picks
แนะนำ CPALL, RBF
RBF น้องใหม่ในดัชนี SET ESG
ผลประกอบการในช่วง 3Q66 ที่ดีกว่าตลาดคาด โดยสัญญาณบวกจากรายได้ทั้งในและต่างประเทศที่ขยายตัวได้ดี และเชื่อว่าการเติบโตจะดีต่อในปี 2567 หนุนมาจากการส่งออกไปยังลูกค้าจีนและอินเดีย ขณะที่ GPM จะดีขึ้นจาก Product mix และต้นทุนข้าวสาลีที่ลดลง โดย Bloomberg Consensus คาดกำไรปี 66/67 เติบโต 42%/19%
RBF ถูกนำเข้ามาคำนวณ ในดัชนี SETESG รอบ 1H67 จึงมีโอกาสได้ประโยชน์จากเม็ดเงินกองทุน TESG
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 14.50 บาท
CPALL Valuation ถูก กำไรโตดี
กำไร 4Q66E คาดขยายตัวได้ทั้ง YoY และ QoQ ตามปัจจัยทางฤดูกาล ด้านปีหน้า เราคาดการณ์กำไรเติบโตได้ต่อ 23%YoY จากกำลังซื้อในประเทศที่เพิ่มขึ้น จำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเร่งตัว นอกจากนี้ยังได้ประโยชน์จากมาตรการลดค่าครองชีพของภาครัฐส่วนมาตรการ Digital Wallet หากเกิดขึ้นถือเป็นเป็น Upside ต่อประมาณการ
ราคาหุ้นปรับลง -20.5% YTD จนปัจจุบันซื้อขายบน PER67F ที่ 23x ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี -2 S.D. ซึ่งถือเป็นระดับถูกเกินไป
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 79.00 บาท
KEY FACTOR
GDP 3Q66 ของสหรัฐฯ (รายงานครั้งที่ 3) +4.9% QoQ ต่ำกว่าประมาณการก่อนหน้าที่ 5.2% QoQ สะท้อนภาพเศรษฐกิจที่ขยายตัวต่ำกว่าคาด ส่งผลให้ 1) ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล อายุ 10 ปี ของสหรัฐฯ ย่อตัวลงต่อเนื่องสู่ระดับ 3.84% (ลดลง -1.15% จากจุดสูงสุดที่ทำไว้ระดับ 4.99% เมื่อ 18 ต.ค.) 2) Dollar index ที่ปรับตัวลงแตะ 101.9 จุด ต่ำสุดตั้งแต่เดือน ส.ค. เป็นสัญญาณบวกต่อ Risk sentiment
วันนี้ Consensus ประมาณการเงินเฟ้อสหรัฐฯ ชะลอตัวลง 1) PCE ทั่วไป (Headline PCE) +2.8% YoY และ ทรงตัว MoM 2) PCE พื้นฐาน (Core PCE) คาดว่าปรับตัวขึ้น 3.3% YoY ในเดือนพ.ย. ชะลอลง จากระดับ 3.5% YoY ในเดือน ต.ค. และ +0.2% MoM เป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่น่าจะตอกย้ำการสิ้นสุดทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น
EYES ON
22 ธ.ค. PCE ของสหัฐฯ เดือน พ.ย.
สัปดาห์หน้า ส่งออกไทย
นักกลยุทธ์ : ธีรเศรษฐ์ พรหมพงษ์, ชาญชัย พันทาธนากิจ