สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (11 สิงหาคม 2566)-----บมจ.เจเนซีส เฟอร์ทิลีตี เซ็นเตอร์ “GFC” หุ้นน้องใหม่ไอพีโอ เตรียมจัดทัพเดินสายโรดโชว์ พบนักลงทุน จังหวัดอุบลราชธานี และ กรุงเทพฯ ตอกย้ำความเชื่อมั่นศักยภาพความแข็งแกร่งทางธุรกิจ “หนึ่งในผู้นำให้บริการทางการแพทย์สำหรับผู้มีบุตรยาก รายแรกในตลาดหลักทรัพย์ฯ” ก่อนเสนอขาย IPO จำนวน 60 ล้านหุ้น ประกาศเดินเกมรุก ระดมทุนขยายสาขาใหม่ที่สุวรรณภูมิ-พระราม 9 และสาขาอุบลราชธานี เพื่อรองรับการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้มีปัญหามีบุตรยากทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติในอนาคต พร้อมตบเท้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ภายในไตรมาส 3/66 นี้
นายกรพัส อัจฉริยมานีกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจเนซีส เฟอร์ทิลีตี เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ“GFC” หนึ่งในผู้นำด้านการให้บริการทางการแพทย์ สำหรับผู้มีปัญหามีบุตรยากด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ของประเทศไทย ตั้งแต่ให้คำแนะนำและคำปรึกษา ตลอดจนการเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสม โดยทีมแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ผู้ชำนาญการที่มีประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ เปิดเผยว่า ภายหลังจาก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อนุมัติแบบไฟลิ่ง GFC เป็นที่เรียบร้อยแล้ว บริษัทฯ เตรียมเดินทางไปนำเสนอข้อมูลกับนักลงทุน (โรดโชว์) จังหวัดอุบลราชธานี ในวันที่ 16 สิงหาคม, กรุงเทพมหานคร วันที่ 18 สิงหาคม และห้องค้าหลักทรัพย์ ระหว่างวันที่ 28-30 สิงหาคม 2566 เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนครั้งแรก (IPO) จำนวน 60 ล้านหุ้น
สำหรับผู้บริหารที่จะร่วมให้ข้อมูลในครั้งนี้ ประกอบด้วย รศ.นพ.พิทักษ์ เลาห์เกริกเกียรติ ประธานกรรมการบริษัท, นพ.ประมุข วงศ์ธนะเกียรติ รองประธานกรรมการบริษัท, นายกรพัส อัจฉริยมานีกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร, นายอมร ไตรรัตน์อัศว ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บมจ. เจเนซีส เฟอร์ ทิลีตี เซ็นเตอร์ และนายเอกจักร บัวหภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด ในฐานะบริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน
โดย GFC เตรียมนำเสนอรายละเอียดข้อมูลทางธุรกิจ เพื่อตอกย้ำความเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการให้บริการทางการแพทย์ สำหรับผู้มีปัญหามีบุตรยากด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ของประเทศไทย ตั้งแต่ให้คำแนะนำและคำปรึกษา ตลอดจนการเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสม โดยทีมแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ผู้ชำนาญการที่มีประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ พร้อมประกาศศักยภาพในการเป็นผู้ประกอบการธุรกิจรักษาผู้มีบุตรยากรายแรกที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายใต้วิสัยทัศน์การเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ในภูมิภาคอาเซียน ที่มีความมั่นคง ยั่งยืน และยึดมั่นในหลักจริยธรรม
GFC มีบริษัทย่อย 2 บริษัท (“กลุ่มบริษัท”) ที่ถือหุ้น 99.99% ได้แก่ 1). บริษัท จีโนโซมิกส์ จำกัด (“GSM”) ดำเนินธุรกิจการให้บริการตรวจพันธุกรรมของตัวอ่อน (Next generation sequencing : NGS ) และ 2). บริษัท จีเอฟซี เฟอร์ทิลีตี กรุ๊ป จำกัด (“GFCFG”) เป็นบริษัทโฮลดิ้ง (holding company) จัดตั้งขึ้นเพื่อลงทุนในกิจการอื่นที่มีวัตถุประสงค์ในการประกอบธุรกิจอื่นๆ ที่ก่อให้เกิดประโยชน์ หรือสนับสนุนการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ และปัจจุบันมีทุนจดทะเบียนที่ออกและเรียกชำระแล้ว 80 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 160 ล้านหุ้น มีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิ
ธุรกิจหลักของกลุ่มบริษัท แบ่งเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่ 1). การให้บริการตรวจเบื้องต้นก่อนให้คำแนะนำหรือรักษา 2). การให้บริการรักษาผู้มีบุตรยากด้วยวิธี IUI 3). การให้บริการรักษาผู้มีบุตรยากด้วยวิธี ICSI 4). การให้บริการตรวจพันธุกรรมของตัวอ่อน NGS และ 5). การให้บริการแช่แข็งไข่และการฝากไข่ สำหรับลูกค้าของกลุ่มบริษัทฯ ประกอบด้วย กลุ่มลูกค้าผู้ที่วางแผนการมีบุตรในอนาคต, กลุ่มลูกค้าคู่สมรสคนไทยที่สนใจอยากมีบุตร, กลุ่มลูกค้าคู่สมรสคนไทยกับชาวต่างชาติที่สนใจอยากมีบุตร และกลุ่มลูกค้าคู่สมรสชาวต่างชาติ ที่สนใจอยากมีบุตร
สำหรับวัตถุประสงค์ในการระดมทุนครั้งนี้ เพื่อนำไปใช้ในการชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินที่ใช้ลงทุนขยายคลินิก GFC สาขาสุวรรณภูมิ-พระราม 9 ตลอดจนการลงทุนในสาขาย่อยอื่น ๆ ตามพื้นที่ต่างจังหวัด ที่มีศักยภาพและมีฐานลูกค้าผู้มีบุตรยาก เพื่อขยายพื้นที่การให้บริการเพิ่มมากขึ้น ควบคู่กับการเพิ่มศูนย์ฝึกอบรมนักเทคนิคการแพทย์ ให้สอดคล้องกับการขยายตัวของกลุ่มบริษัทฯ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการขยายตัวสำหรับรองรับการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้เข้ารับบริการรักษาภาวะมีบุตรยากทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติในอนาคต
ด้านนายเอกจักร บัวหภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บมจ. เจเนซีส เฟอร์ทิลีตี เซ็นเตอร์ “GFC” กล่าวว่า การนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) ให้กับกลุ่มนักลงทุนที่ จ.อุบลราชธานี ในครั้งนี้ เพื่อเป็นการตอกย้ำศักยภาพการลงทุนในโครงการคลินิกสาขาอุบลราชธานี โดยเชื่อว่าคลินิกแห่งนี้จะเป็นศูนย์บริการทางการแพทย์ สำหรับผู้เตรียมพร้อมก่อนการมีบุตรตลอดจนรักษาภาวะมีบุตรยากอีกหนึ่งแห่งของ GFC ที่มีศักยภาพสูง สู่การขยายฐานการให้บริการรักษาฯ ไปยังกลุ่มลูกค้าในพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียงที่ครอบคลุมในทุกมิติ และเชื่อว่าการนำเสนอข้อมูลครั้งนี้ จะทำให้ นักลงทุนเข้าใจถึงลักษณะการดำเนินธุรกิจและรู้จัก GFC มากขึ้น เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มรวมถึงศักยภาพทางการแข่งขันให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในอนาคต
จุดแข็งของ GFC คือการเป็นศูนย์รวมแพทย์ นักวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีชั้นนำด้านการเจริญพันธุ์ เพื่อผู้หญิงยุคใหม่ และคู่สมรสที่ปรารถนาอยากมีบุตรที่สมบูรณ์ แข็งแรง มาเติมเต็มความสุขของครอบครัว จากแพทย์ผู้ชำนาญการด้านสูตินรีเวชและเทคโนโลยีเจริญพันธุ์ที่มีประสบการณ์ด้านการให้บริการทางการแพทย์ผู้มีปัญหามีบุตรยากมากกว่า 23 ปี ขณะเดียวกัน GFC มีการนำเทคโนโลยี Early Embryo Viability Assessment (EEVA) ซึ่งเป็นการนำระบบ AI จากประเทศสหรัฐอเมริกามาช่วยประเมินตัวอ่อน ซึ่งเป็นที่แรกในประเทศไทยในปี 2563 โดยได้พัฒนาให้สามารถแสดงผลข้อมูลเกี่ยวกับตัวอ่อน และวิเคราะห์คุณภาพของตัวอ่อนอย่างมีประสิทธิภาพและแม่นยำ
หากพิจารณาจากผลการดำเนินงาน GFC มีอัตราการเติบโตของรายได้เติบโตเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี อยู่ที่13.37% จากปี2563 - ปี2565 และงวด 3 เดือนปี 2566 กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้จากการให้บริการเท่ากับ 214.42 ล้านบาท 242.12 ล้านบาท และ 275.91 ล้านบาท และ 86.11 ล้านบาท ตามลำดับ โดยรายได้จากการให้บริการของกลุ่มบริษัทฯ จะสอดคล้องกับจำนวนผู้เข้ามารับบริการรักษาภาวะมีบุตรยาก ซึ่งกลุ่มบริษัทฯ มีรายได้จากการให้บริการรักษาผู้มีบุตรยากด้วยวิธี ICSI เป็นรายได้หลัก ขณะที่กำไรสุทธิปี 2563 -2565 และงวด 3 เดือนปี 2566 เท่ากับ 66.55 ล้านบาท 69.63 ล้านบาท 65.68 ล้านบาท และ 18.93 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่อัตราส่วน ROE และอัตราส่วน ROA สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม โดยอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์สูงกว่าค่าเฉลี่ย และสูงสุดถึง 72.58%
นายเอกจักร กล่าวตอกย้ำในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินว่า GFC จัดเป็นหุ้นที่น่าลงทุน จะจัดเป็นหุ้นประเภท Growth Stock ที่สามารถให้ผลตอบแทนจากการลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการที่ GFC ขยายสาขาเพิ่มอีก 2 แห่ง ยิ่งเป็นการสร้าง New S-Curve ให้กับบริษัทฯในอนาคต ส่วนแผนการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) นั้น คาดว่าภายในไตรมาส 3/2566 นี้
“เชื่อว่า GFC พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนการเป็นหนึ่งในผู้นำด้านเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ ในภูมิภาคอาเซียน ที่มีความมั่นคงยั่งยืน และเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการของกลุ่มบริษัทฯ ภายใต้กลยุทธ์ในการแข่งขัน ได้แก่ 1.การให้บริการให้ครบทุกมิติ 2.เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ที่ทันสมัย 3.บุคลากรที่มีความชำนาญการ 4.คุณภาพในการให้บริการที่เป็นเลิศ และ5.การประชาสัมพันธ์และความสัมพันธ์กับลูกค้า และที่สำคัญ GFC พิสูจน์ถึงศักยภาพและความพร้อมก้าวสู่ธุรกิจรักษาผู้มีบุตรยากรายแรกที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย”
///จบ///