สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(4 กรกฎาคม 2566)-----บมจ.เจเนซีส เฟอร์ทิลีตี เซ็นเตอร์ ("GFC") หนึ่งในผู้นำให้บริการทางการแพทย์สำหรับผู้มีบุตรยาก รายแรกในตลาดหลักทรัพย์ฯ ประกาศความพร้อมเตรียมเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 60 ล้านหุ้น เข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ภายในปีนี้ ระดมทุนขยายสาขาใหม่ที่สุวรรณภูมิ-พระราม 9 และสาขาย่อย ในต่างจังหวัด เพื่อรองรับการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้มีปัญหามีบุตรยากทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติในอนาคต
นายกรพัส อัจฉริยมานีกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจเนซีส เฟอร์ทิลีตี เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ("GFC") เปิดเผยว่า GFC เป็นหนึ่งในผู้นำด้านการให้บริการทางการแพทย์ สำหรับผู้มีปัญหามีบุตรยากด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ของประเทศไทย ตั้งแต่ให้คำแนะนำและคำปรึกษา ตลอดจนการเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสม โดยทีมแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ผู้ชำนาญการที่มีประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ โดย GFC เป็นผู้ประกอบการธุรกิจรักษาผู้มีบุตรยากรายแรกที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดย GFC มีบริษัทย่อย 2 บริษัท ("กลุ่มบริษัท") ที่ถือหุ้น 99.99% ได้แก่ 1). บริษัท จีโนโซมิกส์ จำกัด ("GSM") ดำเนินธุรกิจการให้บริการตรวจพันธุกรรมของตัวอ่อน (Next generation sequencing : NGS ) และ 2). บริษัท จีเอฟซี เฟอร์ทิลีตี กรุ๊ป จำกัด ("GFCFG") เป็นบริษัทโฮลดิ้ง (holding company) จัดตั้งขึ้นเพื่อลงทุนในกิจการอื่นที่มีวัตถุประสงค์ในการประกอบธุรกิจอื่นๆ ที่ก่อให้เกิดประโยชน์ หรือสนับสนุนการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ และปัจจุบันมีทุนจดทะเบียนที่ออกและเรียกชำระแล้ว 80 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 160 ล้านหุ้น มีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิ
สำหรับธุรกิจหลักของกลุ่มบริษัท แบ่งเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่ 1). การให้บริการตรวจเบื้องต้นก่อนให้คำแนะนำหรือรักษา 2). การให้บริการรักษาผู้มีบุตรยากด้วยวิธี IUI (Intrauterine insemination) 3). การให้บริการรักษาผู้มีบุตรยากด้วยวิธี ICSI (Intracytoplasmic Sperm Injection) 4). การให้บริการตรวจพันธุกรรมของตัวอ่อน (Next generation sequencing : NGS) และ 5). การให้บริการแช่แข็งไข่และการฝากไข่ สำหรับลูกค้าของกลุ่มบริษัทฯ ประกอบด้วย กลุ่มลูกค้าผู้ที่วางแผนการมีบุตรในอนาคต , กลุ่มลูกค้าคู่สมรสคนไทยที่สนใจอยากมีบุตร , กลุ่มลูกค้าคู่สมรสคนไทยกับชาวต่างชาติที่สนใจอยากมีบุตร และกลุ่มลูกค้าคู่สมรสชาวต่างชาติ ที่สนใจอยากมีบุตร
"จุดเด่นของ GFC คือการเป็นศูนย์รวมแพทย์ นักวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีชั้นนำด้านการเจริญพันธุ์ เพื่อผู้หญิงยุคใหม่ และคู่สมรสที่ปรารถนาอยากมีบุตรที่สมบูรณ์ แข็งแรง มาเติมเต็มความสุขของครอบครัว จากแพทย์ผู้ชำนาญการด้านสูตินรีเวชและเทคโนโลยีเจริญพันธุ์ที่มีประสบการณ์ด้านการให้บริการทางการแพทย์ผู้มีปัญหามีบุตรยากมากกว่า 23 ปี ขณะเดียวกัน GFC มีการนำเทคโนโลยี Early Embryo Viability Assessment (EEVA) ซึ่งเป็นการนำระบบ AI จากประเทศสหรัฐอเมริกามาช่วยประเมินตัวอ่อน ซึ่งเป็นที่แรกในประเทศไทยในปี 2563 โดยได้พัฒนาให้สามารถแสดงผลข้อมูลเกี่ยวกับตัวอ่อน และวิเคราะห์คุณภาพของตัวอ่อนอย่างมีประสิทธิภาพและแม่นยำ"
สำหรับวัตถุประสงค์ในการระดมทุนครั้งนี้ เพื่อนำไปใช้ในการชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินที่ใช้ลงทุนขยายคลินิก GFC สาขาสุวรรณภูมิ-พระราม 9 ตลอดจนการลงทุนในสาขาย่อยอื่น ๆ ตามพื้นที่ต่างจังหวัด ที่มีศักยภาพและมีฐานลูกค้าผู้มีบุตรยาก เพื่อขยายพื้นที่การให้บริการเพิ่มมากขึ้น ควบคู่กับการเพิ่มศูนย์ฝึกอบรม นักเทคนิคการแพทย์ ให้สอดคล้องกับการขยายตัวของกลุ่มบริษัทฯ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการขยายตัวสำหรับรองรับการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้เข้ารับบริการรักษาภาวะมีบุตรยากทั้งชาวไทยและที่เป็นชาวต่างชาติในอนาคต
ด้วยวิสัยทัศน์การเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ในภูมิภาคอาเซียน ที่มีความมั่นคง ยั่งยืน และยึดมั่นในหลักจริยธรรม และด้วยศักยภาพจุดแข็งทางธุรกิจ ยิ่งตอกย้ำถึงความสำเร็จของ"GFC"ที่จะมุ่งสู่การเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการทางการแพทย์สำหรับผู้มีบุตรยาก ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ที่ดีที่สุด ภายใต้นวัตกรรมและเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม จากแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) ระยะเวลา 10 ปี (พ.ศ. 2560 ถึงพ.ศ. 2569) ของภาครัฐบาล โดยมีเป้าหมายในการพัฒนา 4 ผลผลิตหลัก ได้แก่ ศูนย์กลางบริการเพื่อส่งเสริมสุขภาพ (Wellness Hub) ศูนย์กลางบริการสุขภาพ (Medical Service Hub) ศูนย์กลางบริการวิชาการและงานวิจัย (Academic Hub) และศูนย์กลางยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ (Product Hub) จะยิ่งส่งผลกระทบเชิงบวกและเป็นโอกาสในการสร้างรายได้ของกลุ่มบริษัท "GFC" จากการให้บริการรักษาภาวะมีบุตรยากรวมถึงชาวต่างชาติในอนาคต
"ปัจจุบันภาวะมีบุตรยากเป็นปัญหาที่พบบ่อยขึ้น และเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับคู่สามี-ภรรยายุคใหม่ทั่วโลก จนองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้กำหนดให้ภาวะมีบุตรยากเป็นโรคที่ต้องได้รับการรักษา ทำให้เทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ เข้ามามีบทบาทกับคู่สามี-ภรรยาในปัจจุบันมากขึ้น โดยสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดภาวะมีบุตรยากเกิดจากหลากหลายปัจจัย อาทิ ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตประจำวัน การทำงาน หรือแต่งงานและมีบุตรลูกช้าลง ซึ่งปัจจัยดังกล่าวล้วนแต่เป็นสาเหตุที่เกิดภาวะการมีบุตรยากทั้งสิ้น ดังนั้นจึงเป็นที่มาของการนำเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ ที่เข้ามามีบทบาทสำคัญที่การตอบโจทย์ของกลุ่มผู้ที่มีบุตรยาก "นายกรพัส CEO กล่าวทิ้งท้าย
ด้าน "แพทย์รังสิตเฮลท์แคร์กรุ๊ป" หรือ PHG มั่นใจ ผถห.ขายบิ๊กล็อตตามที่ระบุในไฟลิ่ง ไม่กระทบกิจการ และโครงสร้างการจัดการ ยืนยันหลัง IPO เดินหน้าขยายธุรกิจได้ตามแผน ตอกย้ำความมั่นใจนักลงทุน
นายรณชิต แย้มสอาด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แพทย์รังสิตเฮลท์แคร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ PHG เปิดเผยว่าตามที่บริษัทฯ ได้เปิดเผยข้อมูลกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมบางรายจะขายหุ้น PHG จำนวน 29,205,000 หุ้น ผ่านกระดาน Big Lot ที่ราคา 21 บาทต่อหุ้น ซึ่งเท่ากับราคาจองซื้อ IPO ให้กับนักลงทุน ซึ่งประกอบไปด้วยบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ผู้ลงทุนรายใหญ่ (High Net Worth) และนักลงทุนสถาบัน โดยหากผู้ถือหุ้นเดิมรายดังกล่าวขายหุ้นให้แก่นักลงทุนไม่ครบตามจำนวนที่ระบุไว้ข้างต้น จำนวนหุ้นที่ไม่ได้ขายจะถูกจำกัดการขายโดยความสมัครใจเป็นระยะเวลา 1 เดือนนับจากวันที่หุ้นสามัญเริ่มซื้อขายวันแรก (Voluntary IPO Lockup) และนอกจากหุ้นสามัญของผู้ถือหุ้นเดิมที่ติด Silent Period จำนวน 165,000,000 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 55.00 ของหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ หุ้นสามัญของผู้ถือหุ้นเดิมที่ไม่ได้ติด Silent Period จำนวน 29,854,909 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 9.95 ของหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ จะถูกจำกัดการขายโดยความสมัครใจเป็นระยะเวลา 14 วันนับจากวันที่หุ้นสามัญเริ่มซื้อขายวันแรก (Voluntary IPO Lockup) ตามที่ระบุในหนังสือชี้ชวนและแบบสรุปข้อสนเทศแล้ว โดยการขายหุ้นของกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมบางรายดังกล่าวไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงาน โครงสร้างคณะกรรมการ และโครงสร้างการจัดการของบริษัทฯ แต่อย่างใด
โดยหลังจากเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจตามแผนการใช้เงินภายหลังระดมทุน ได้แก่โครงการก่อสร้างอาคารผู้ป่วยใหม่ 1 และอาคารจอดรถภายในปี 2567 โครงการก่อสร้างอาคารผู้ป่วยใหม่ที่ 2 ภายในปี 2569, เพื่อเป็นเงินทุนในการซื้อเครื่องมือ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ภายในปี 2567, เพื่อชำระคืนเงินกู้ยืมแก่สถาบันการเงินบางส่วนภายในปี 2566 และเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจภายในปี 2566 ซึ่งการเดินหน้าขยายธุรกิจดังกล่าว ถือว่าเป็นการต่อยอดพัฒนาศักยภาพทางการแพทย์ รองรับการให้บริการผู้ใช้บริการที่เพิ่มขึ้นในพื้นที่และบริการทางการแพทย์เฉพาะทางมากขึ้น เพื่อสร้างการเติบโตที่ต่อเนื่องและยั่งยืน และที่สำคัญคือการตอกย้ำการเป็นสถานพยาบาลเอกชนชั้นนำที่ให้บริการในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี และจังหวัดใกล้เคียง
"เราไม่มีความกังวลในการขายหุ้นของกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมบางรายดังกล่าว เพราะการขายหุ้นของกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมบางรายนั้น ไม่มีผลกระทบใดๆ กับการดำเนินธุรกิจ และโครงสร้างการจัดการ แต่กลับสะท้อนให้เห็นถึงปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งและสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว ทำให้มีกลุ่มนักลงทุนรวมถึงนักลงทุนสถาบันดังกล่าวที่ให้ความเชื่อมั่นในการเข้ามาถือหุ้น PHG ดังนั้นเราจึงอยากให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่น เพราะเรายังให้ความสำคัญในการดำรงไว้ซึ่งผลประโยชน์สูงสุดของผู้ถือหุ้นทุกกลุ่ม รวมถึงผู้ถือหุ้นรายย่อยที่ให้ความเชื่อมั่นกับเราตลอดเวลาที่ผ่านมา และที่สำคัญภายหลังจากการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว บริษัทฯ ยังคงมีความมุ่งมั่นในแผนการขยายธุรกิจ และเสริมศักยภาพในการให้บริการทางการแพทย์ของเราเพื่อให้ธุรกิจมีความแข็งแกร่งมากขึ้น สามารถสร้างการเติบโตของผลการดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต และเป็นการเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป" นายรณชิตกล่าว
---จบ--