มาร์จิ้น PE มีแนวโน้มดีขึ้นใน 2H23F
* คาด Norm profit 2Q23F ดีขึ้น +23% QoQ เป็น 5.66 พันล้านบาท เพราะต้นทุนวัตถุดิบ ก๊าซ ถ่านหิน ไฟฟ้า ลดลงรวมถึงการขยับขึ้นราคาขาย ซึ่งทำให้กำไรของธุรกิจซีเมนต์ วัสดุก่อสร้าง และบรรจุภัณฑ์ดีขึ้น
* ส่วนกำไรสุทธิบรรทัดสุดท้ายงวด 2Q23F หดตัว -56%YoY และ -74%QoQ เป็น 4.36 พันล้นบาท ซึ่งการลด QoQ เพราะใน 1Q23 มีกำไรพิเศษจากการรวมกิจการ SCGL และ JWD สูงถึง 11.95 พันล้านบาท รวมถึงใน 2Q23F คาดว่าจะมีขาดทุนสต็อก 1.3 พันล้านบาทด้วย
* สเปรดโพลีโอเลฟินส์ดีขึ้น QoQ เพราะราคาวัตถุดิบแนฟทาลดลง และผลกระทบจาก destocking น้อยลง ส่วนสเปรด PVC ลดลงเพราะอุปสงค์ชะลอลง ใน 2Q23F สเปรด HDPE, PP, PVB ต่อแนฟฟา +10%, -8%m -26% เทียบ QoQ (HDPE คิดเป็น 60% ของธุรกิจปิโตรเคมี)
*แนวโน้ม 2H23F หนุนโดยโครงการ LSP ในเวียดนาม ที่มีกำลังผลิตโพลีโพรลีลีน (PP & PE) 1.35 ล้านตันต่อปีบริษัทคาดว่าโครงการนี้จะเริ่มเปิดเชิงพาณิชย์ในเดือนก.ย.23
* คงคำแนะนำซื้อ SCC ให้ราคาพื้นฐาน 356 บาท (SOTP) ปัจจัยหนุนสำคัญ คือ ต้นทุนวัตถุดิบ ถ่านหิน และพลังงานลดลง ขณะที่อุปสงค์ซีเมนต์และบรรจุภัณฑ์ค่อยๆฟื้นตัว ฐานะการเงินแข็งแรง จ่ายปันผลสมํ่าเสมอ ให้ DYระยะยาว 4 - 5% ต่อปี
นักวิเคราะห์ : ดุลเดช บิค : duladethb@th.dbs.com : Tel. 02 857 7833