Today’s NEWS FEED

News Feed

HotNews:เปิดความเห็น3กูรู หลังส่งออกเดือนพ.ค.หดตัว4.6% /ส.อ.ท. หวั่นฉุดภาคการผลิตแย่

896

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(28 มิถุนายน 2566)---ตัวเลข ส่งออกไทยในเดือนพฤษภาคม 2566 หดตัวเป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกันที่ -4.6% (YoY) สำนักข่าวหุ้นอินไซด์รวบรวมความเห็น3กูรู หลังส่งออกเดือนพ.ค.หดตัว4.6% ด้าน ส.อ.ท. หวั่นฉุดภาคการผลิตแย่


ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ระบุว่า ส่งออกไทยเดือน พ.ค. หดตัวน้อยกว่าคาด ในระยะต่อไปยังน่าห่วงจากแรงส่งเศรษฐกิจจีนที่แผ่วลงเร็ว มูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยในเดือน พ.ค. 2023 อยู่ที่ 24,340.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 ที่ -4.6%YOY โดยหดตัวน้อยลงจาก -7.6%YOY ในเดือนก่อนและน้อยกว่าคาดการณ์ของตลาด (ผลสำรวจจาก Reuters อยู่ที่ -8%) หากพิจารณามูลค่าส่งออกหักทองคำ (ซึ่งเป็นสินค้าที่ไม่ได้สะท้อนการค้าระหว่างประเทศที่เกิดขึ้นจริง) การส่งออกหดตัวใกล้เคียงกันที่ -4.6%YOY เทียบกับ -9.3%YOY ในเดือน เม.ย. นอกจากนี้ หากเทียบเดือนก่อนหน้าแบบปรับฤดูกาล มูลค่าการส่งออกขยายตัว 3.0%MOM_sa สะท้อนทิศทางการส่งออกที่มีสัญญาณด้านบวกมากขึ้น


ทั้งนี้ SCB EIC มองการส่งออกไทยในช่วงที่เหลือของปีมีแนวโน้มเผชิญแรงกดดันมากกว่าที่เคยประเมินไว้ จาก (1) แรงหนุนสำคัญจากจีนที่ยังไม่ฟื้นตัวชัดเจน การนำเข้าสินค้าไทยของจีนในเดือน พ.ค. กลับมาหดตัวแรงอีกครั้ง -11.2% หลังขยายตัวได้ครั้งแรกในรอบ 10 เดือนที่ 8.2% ในเดือน เม.ย. สอดคล้องกับภาพรวมการนำเข้าของจีนที่ส่วนใหญ่ยังหดตัวต่อเนื่องมา และภาพรวมการส่งออกของจีนที่หดตัวแรง -8% เป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือนตามอุปสงค์โลกที่ยังอ่อนแอ (2) ดัชนี Flash Manufacturing PMI[1] ในเดือน มิ.ย. ของประเทศคู่ค้าสำคัญยังอยู่ในภาวะหดตัวจากอุปสงค์สินค้าที่อ่อนแอ นำโดย US Manufacturing PMI ที่ลดลงมาอยู่ที่ 46.3 (48.4 ในเดือน พ.ค.) Eurozone Manufacturing PMI ลดลงมาอยู่ที่ 43.6 ต่ำสุดในรอบ 37 เดือน UK Manufacturing PMI ลดลงมาอยู่ที่ 46.2 Japan Manufacturing PMI พลิกกลับมาหดตัวอีกครั้งที่ 48.4 หลังจากขยายตัวได้ครั้งแรกนับตั้งแต่เดือน ต.ค. 2022 ที่ 50.8 ในเดือน พ.ค.

 

อย่างไรก็ดี ภาพการส่งออกของไทยในระยะต่อไปยังมีปัจจัยบวกอยู่บ้าง โดยหากพิจารณา (1) ข้อมูลเร็วของการส่งออกรวม 20 วันแรกของเกาหลีใต้ในเดือน มิ.ย. กลับมาขยายตัวครั้งแรกในรอบ 10 เดือนที่ 5.3% ส่วนหนึ่งจากปัจจัยฐานต่ำ หลังจากหดตัวแรง -16.1%YOY ในเดือนก่อนจากปัจจัยฐานสูง (มูลค่าการส่งออกของเดือน พ.ค. 2022 ที่สูงอันดับ 2 เป็นประวัติการณ์) โดยหากเทียบกับเดือนก่อนหน้าแบบปรับฤดูกาล การส่งออกรวม 20 วันแรกของเกาหลีใต้เดือน มิ.ย. ยังขยายตัวได้ 1.5%MOM_sa และหากพิจารณาเฉพาะการส่งออกของเกาหลีไต้ไปตลาดจีนหดตัวน้อยลงติดต่อกัน 4 เดือนมาอยู่ที่ -11.2% (2) อุปทานคอขวดที่คลี่คลายใกล้ระดับก่อนเกิดวิกฤตโควิด สะท้อนจากอุปสรรคการขนส่งและปัญหาขาดแคลนคอนเทนเนอร์ที่บรรเทาลง ระยะเวลาขนส่งที่ปรับเร็วขึ้นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดวิกฤตโควิด และค่าระวางเรือที่ลดลงใกล้เคียงค่าเฉลี่ยก่อนวิกฤตโควิดแล้ว ในระยะต่อไปคาดว่าการส่งออกของไทยจะฟื้นตัวในลักษณะ Uneven โดยสินค้าที่พึ่งพาตลาดจีนยังมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ แม้การส่งออกสินค้าบางส่วนไปยังหลายตลาดจะมีทิศทางแผ่วลง

 

ในภาพรวม SCB EIC ได้ปรับลดคาดการณ์มูลค่าส่งออก (ระบบศุลกากร) ของไทยในปี 2023 จาก 1.2% มาอยู่ที่ 0.5% จากกิจกรรมภาคการผลิตทั่วโลกที่ยังอยู่ในภาวะหดตัว การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนที่ยังไม่ชัดเจน รวมถึงความเสี่ยงสงครามภายในรัสเซียที่อาจปะทุขึ้นอีกและนำไปสู่การเร่งตัวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์โลกและเงินเฟ้อโลกได้ อีกทั้ง การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ (El Nino) ที่อาจส่งกระทบต่อผลผลิตสินค้าเกษตรของไทยจะขาดแคลนในระยะต่อไป

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รบุว่าการส่งออกไทยในเดือนพฤษภาคม 2566 หดตัวเป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกันที่ -4.6% (YoY) แต่เป็นการหดตัวในอัตราที่ชะลอลงจากในเดือนก่อนหน้า โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการส่งออกสินค้ากลุ่มอุตสาหกรรมที่สำคัญอย่างยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ที่กลับมาขยายตัวได้ โดยเฉพาะการส่งออกไปยังสหรัฐฯ และยูโรโซน ขณะที่การส่งออกไปยังจีนหดตัวลึกถึง -24.0%(YoY) ตามเศรษฐกิจจีนที่เริ่มส่งสัญญาณสูญเสียโมเมนตัมในการฟื้นตัว



ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังมีมุมมองว่า ภาพการชะลอตัวและความไม่แน่นอนที่มีมากขึ้นของเศรษฐกิจโลกซึ่งจะส่งผลให้อุปสงค์โลกชะลอลง จะยังคงกดดันภาพรวมการส่งออกไทยในระยะข้างหน้า ขณะที่อานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนอาจมีไม่มากเท่าที่ควร สะท้อนผ่านตัวเลขส่งออกของไทยไปจีนที่หดตัวลึกในเดือนพฤษภาคม 2566 ประกอบกับปัจจัยอื่น ๆ เช่น สภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยที่อาจส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตร ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังมีอยู่ และความผันผวนของค่าเงิน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ปัจจัยฐานที่ลดลงโดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลังจะเป็นปัจจัยเชิงบวกสำคัญของการส่งออกไทยให้อาจกลับมาเห็นการขยายตัวได้บ้าง ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังคงมุมมองว่า ภาพรวมการส่งออกไทยในปี 2566 จะหดตัวที่ -1.2%

 

 


Krungthai COMPASS ชี้ส่งออกเดือน พ.ค. หดตัว 4.6%YoY ติดลบติดต่อกันเป็นเดือนที่ 8 แต่เป็นการหดตัวที่น้อยลงจากเดือนก่อน โดยการส่งออกสินค้าหมวดอุตสาหกรรมกลับมาขยายตัวได้เป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือน แต่การส่งออกหมวดเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรกลับมาหดตัว สำหรับการนำเข้าหดตัวน้อยลงที่ -3.4% ส่งผลให้ดุลการค้าขาดดุลต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ที่ระดับ 1,849.3 ล้านดอลลาร์ฯ

 


Implication:

ด้านการส่งออกรายตลาดบางส่วนยังหดตัว


• สหรัฐฯ : กลับมาขยายตัวที่ 4.2%YoY โดยสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ และเครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เป็นต้น สำหรับสินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ยาง ผลิตภัณฑ์พลาสติก และอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป เป็นต้น (ส่งออก 5 เดือนแรกหดตัว 3.3%)


• จีน : กลับมาหดตัวที่ -24.0%YoY โดยสินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ ผลไม้สด/แช่เย็น/แช่แข็ง/แห้ง ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และเม็ดพลาสติด เป็นต้น สำหรับสินค้าที่ขยายตัว เช่น ไก่สด/แช่เย็น/แช่แข็ง ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ และเคมีภัณฑ์ เป็นต้น (ส่งออก 5 เดือนแรกหดตัว 5.5%)


• ญี่ปุ่น : หดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ที่ -1.8%YoY โดยสินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ ทองแดงและของทำด้วยทองแดง และเครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบ เป็นต้น สำหรับสินค้าที่ขยายตัว เช่น รถจักรยานยนต์ เคมีภัณฑ์ และรถยนต์ เป็นต้น (ส่งออก 5 เดือนแรกหดตัว 2.0%)


• EU27 : กลับมาขยายตัวที่ 9.5%YoY โดยสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ อากาศยานและส่วนประกอบ หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ และเครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เป็นต้น ส่วนสินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น ยางพารา และเครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นต้น (ส่งออก 5 เดือนแรกหดตัว 1.0%)


• ASEAN5 : กลับมาขยายตัวที่ 0.1%YoY โดยสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ข้าว และอากาศยานและส่วนประกอบ เป็นต้น ส่วนสินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น น้ำมันสำเร็จรูป เม็ดพลาสติก และเคมีภัณฑ์ เป็นต้น (ส่งออก 5 เดือนแรกหดตัว 5.0%)


มูลค่าการนำเข้าเดือน พ.ค. อยู่ที่ 26,190.2 ล้านดอลลาร์ฯ หดตัว 3.4%YoY หดตัวน้อยลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนที่หดตัว 7.3%YoY โดยการนำเข้าหดตัวจากสินค้าเชื้อเพลิง (-13.1%YoY) ตามราคาพลังงานที่ลดลง สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (-11.9%YoY) และสินค้าอุปโภคบริโภค (-3.3%YoY) ขณะที่การนำเข้าสินค้าทุนกลับมาขยายตัวได้ (+17.6%YoY) และยานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่งขยายตัวต่อเนื่อง (+33.1%YoY) ด้านดุลการค้าเดือน พ.ค. ขาดดุลติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 ที่ระดับ 1,849.3 ล้านดอลลาร์ฯ โดยดุลการค้า 5 เดือนแรกขาดดุลสะสม -6,365.3 ล้านดอลลาร์ฯ


Implication:


• เศรษฐกิจจีนที่มีแนวโน้มแผ่วลงอาจฉุดการฟื้นตัวของการส่งออกไทยในระยะข้างหน้า

การส่งออกสินค้าไปจีนได้ทยอยปรับดีขึ้นตั้งแต่ต้นปีหลังจากจีนยกเลิกมาตรการควบคุมโควิด อย่างไรก็ตาม การส่งออกสินค้าในระยะข้างหน้ามีความเสี่ยงที่อาจชะลอตัวจากเศรษฐกิจจีนที่ยังเปราะบางสะท้อนจากเครื่องชี้กิจกรรมทางเศรษฐกิจล่าสุดที่แผ่วลง โดยดัชนียอดค้าปลีก (retail sales) ชะลอลงในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาสที่ 2 หลังจากเร่งตัวไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา แม้ว่าตัวเลขในเดือน เม.ย.-พ.ค. ขยายตัวสูงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากฐานที่ต่ำในปีก่อนจากการใช้มาตรการควบคุมโควิด แต่หากเทียบกับไตรมาสที่ 1 ดัชนียอดค้าปลีกเฉลี่ยช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาสที่ 2 (เดือน เม.ย.-พ.ค.) หดตัวถึง 5% ประกอบกับเครื่องชี้การผลิตภาคอุตสาหกรรม (industrial production) และเครื่องชี้การลงทุน (fixed assets investment) ชะลอลงในเดือน พ.ค. แม้มีผลของฐานที่ต่ำในปีก่อนเช่นกัน เครื่องชี้ดังกล่าวสะท้อนถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนที่ไม่เข้มแข็ง และอาจส่งผลให้อุปสงค์ของสินค้าจากจีนชะลอตัวได้ในระยะข้างหน้า ซึ่งจะซ้ำเติมการฟื้นตัวของภาคการส่งออกไทย นอกจากนี้การส่งออกไปยังประเทศเศรษฐกิจหลักทั้ง สหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น ยังมีความเสี่ยงจากเศรษฐกิจที่ยังเปราะบางสะท้อนจากเครื่องชี้กิจกรรมการผลิต Flash PMI manufacturing เดือน มิ.ย. ที่ยังหดตัวจากยอดคำสั่งซื้อใหม่ที่ปรับลดลงต่อเนื่อง5

 

 

นายมนตรี มหาพฤกษ์พงศ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 30 ในเดือนมิถุนายน 2566 ภายใต้หัวข้อ “การส่งออกหดตัว กระทบอุตสาหกรรมแค่ไหน” พบว่า สืบเนื่องจากตัวเลขการส่งออกของไทยที่ส่งสัญญาณหดตัวต่อเนื่องกันเป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกัน โดยมีมูลค่าการส่งออกเดือนพฤษภาคม 2566 ที่ 24,340.9 ล้านดอลลาร์ฯ ติดลบ 4.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ 5 เดือนของปีนี้ (มกราคม-พฤษภาคม) มีมูลค่า 116,344.2 ล้านดอลลาร์ฯ ลดลง 5.1% และหากจะทำให้การส่งออกไทยกลับมามีมูลค่าเท่ากับปี 2565 หรือเป็นบวกนั้น คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประเมินว่าจะต้องมีมูลค่าการส่งออกเฉลี่ยต่อเดือนในช่วงที่เหลือของปีนี้ มากกว่า 24,024 ล้านดอลลาร์ฯ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างท้าทาย เนื่องจากปัจจัยทั้งจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว แรงกดดันจากอัตราดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้อที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูงในหลายประเทศ รวมทั้งแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศจีนที่น้อยกว่าที่คาดการณ์ ยังคงส่งผลกระทบทำให้ภาคการส่งออกไทยและอีกหลายประเทศหดตัวไปในทิศทางเดียวกัน

จากภาวะการส่งออกไทยที่หดตัวต่อเนื่อง ผู้บริหาร ส.อ.ท. ประเมินว่า ภาพรวมการผลิตเพื่อส่งออกสินค้าในช่วงเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2566 ส่วนใหญ่มีทิศทางหดตัว ถึงแม้จะมีบางอุตสาหกรรมที่ยังสามารถรักษาระดับการส่งออกไว้ได้ โดยปัจจัยสำคัญมาจากคำสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศที่ลดลงจากภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่ชะลอตัว โดยเฉพาะในตลาดสหรัฐอเมริกา จีน และอาเซียน นอกจากนี้ภาวะต้นทุนการผลิตที่ยังอยู่ในระดับสูงทั้งราคาพลังงาน ค่าไฟฟ้า ราคาวัตถุดิบ/ชิ้นส่วน และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ปรับตัวสูงขึ้น ยังคงส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรม ดังนั้น ผู้บริหาร ส.อ.ท. จึงเสนอให้ภาครัฐเร่งช่วยกระตุ้นการส่งออก และบรรเทาผลกระทบจากการส่งออกที่หดตัว โดยเฉพาะการออกมาตรการดูแลต้นทุนการผลิตให้ผู้ประกอบการสามารถแข่งขันได้ เช่น ค่าไฟฟ้า พลังงาน ค่าโลจิสติกส์ การเร่งเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) และการส่งเสริมให้มีการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีใน FTA ฉบับเดิมให้มากขึ้น รวมทั้งการเพิ่มการจัดกิจกรรมส่งเสริมการส่งออกสินค้าไปยังตลาดเป้าหมายใหม่ๆ ที่มีศักยภาพ เช่น กิจกรรมจับคู่ทางธุรกิจ (Business Matching) การจัดงานแสดงสินค้าทั้งในและต่างประเทศ เป็นต้น 

จากการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 210 ท่าน ครอบคลุมผู้บริหารจาก
45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด มีสรุปผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 30 จำนวน 5 คำถาม ดังนี้

1. ยอดการส่งออกสินค้าในช่วงเดือนมกราคม - พฤษภาคม 2566 มีทิศทางอย่างไร
อันดับที่ 1 : ทรงตัว     27.7%
อันดับที่ 2 : ลดลงมากกว่า 20%  23.3%
อันดับที่ 3 : ลดลง 1-10%       19.0%
อันดับที่ 4 : ลดลง 11-20%      13.8%
อันดับที่ 5 : เพิ่มขึ้น 1 - 10%      12.4%
อันดับที่ 6 : เพิ่มขึ้น 11 - 20%     3.3%
อันดับที่ 7 : เพิ่มขึ้นมากกว่า 20% 0.5%

2. ตลาดประเทศคู่ค้าที่อุตสาหกรรมส่งออกสินค้ามากที่สุด
อันดับที่ 1 : เอเชีย (ไม่รวมอาเซียน) 36.2%
อันดับที่ 2 : อาเซียน   27.6%
อันดับที่ 3 : สหภาพยุโรป      12.4%
อันดับที่ 4 : สหรัฐอเมริกา    11.4%
อันดับที่ 5 : ประเทศอื่นๆ     7.6%
อันดับที่ 6 : ตะวันออกกลาง    4.3%
อันดับที่ 7 : ละตินอเมริกา     0.5%

3. ปัจจัยภายในเรื่องใดที่ทำให้การส่งออกสินค้าของอุตสาหกรรมหดตัว (Multiple choices)
อันดับที่ 1 : ภาวะต้นทุนการผลิตที่ยังอยู่ในระดับสูงทั้งราคาพลังงาน       69.5%
ค่าไฟฟ้า ราคาวัตถุดิบ/ชิ้นส่วน และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้  
อันดับที่ 2 : การแข่งขันระหว่างธุรกิจที่เพิ่มสูงขึ้น        49.0%
อันดับที่ 3 : ภาวะอุปทานล้นตลาด (Over Supply) และสินค้าคงคลังยังอยู่ในระดับสูง 37.1%
ทำให้หลายโรงงานต้องลดการผลิตลง                                       
อันดับที่ 4 : ต้นทุนค่าขนส่งโลจิสติกส์ภายในประเทศที่ยังอยู่ในระดับสูง 31.0%

4. ปัจจัยภายนอกเรื่องใดบ้างที่ทำให้การส่งออกสินค้าของอุตสาหกรรมหดตัว (Multiple choices)
อันดับที่ 1 : คำสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศลดลงจากภาวะเศรษฐกิจ     71.4%
ของประเทศคู่ค้าที่ชะลอตัว  
อันดับที่ 2 : สินค้าจีนทะลักเข้ามาตีตลาดในประเทศคู่ค้า เช่น กลุ่มประเทศอาเซียน      30.5%
อันดับที่ 3 : ปัญหาวัตถุดิบ/ชิ้นส่วน อุปกรณ์ที่ยังขาดแคลนและราคาแพง     29.5%
อันดับที่ 4 : คำสั่งซื้อจากต่างประเทศปรับตัวลดลงตามฤดูกาล (Seasonal)    28.1%

5. ภาคอุตสาหกรรมต้องการให้ภาครัฐดำเนินการในเรื่องใดเพื่อช่วยกระตุ้นการส่งออก และบรรเทาผลกระทบจากการส่งออกที่หดตัว (Multiple choices)
อันดับที่ 1 : ออกมาตรการดูแลต้นทุนการผลิตให้ผู้ประกอบการสามารถแข่งขันได้      80.0%
เช่น ค่าไฟฟ้า พลังงาน ค่าโลจิสติกส์   
อันดับที่ 2 : เร่งเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) และส่งเสริมให้มีการใช้สิทธิประโยชน์ 52.4%
ทางภาษีใน FTA ฉบับเดิมให้มากขึ้น
อันดับที่ 3 : เพิ่มการจัดกิจกรรมส่งเสริมการส่งออกสินค้าไปยังตลาดเป้าหมายใหม่ ๆ      41.9%
เช่น การจับคู่ทางธุรกิจ (Business Matching) การจัดงานแสดงสินค้าทั้งในและต่างประเทศ
อันดับที่ 4 : เร่งดำเนินการเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้ากับประเทศคู่ค้า      40.0%
และส่งเสริมเตรียมความพร้อมให้กับผู้ประกอบการไทยในการปฏิบัติตาม
มาตรการที่มิใช่ภาษี (NTB)

 


----จบ------

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

หายใจช้าๆ By : เจ๊มดแดง

เจ๊มดแดง ไต่กิ่งมะม่วง หายใจช้า ช้า ค่อยๆเดิน ทีละก้าว เพราะหนทางอีกยาวไกล สำหรับตลาดหุ้นไทยกว่าจะดีและกลับมาปกติ......

มัลติมีเดีย

รู้จักพร้อมเปิดพื้นฐาน NUT ก่อนเทรด 11 มิ.ย.- สายตรงอินไซด์ - 9 มิ.ย.68

รู้จักพร้อมเปิดพื้นฐาน NUT ก่อนเทรด 11 มิ.ย.- สายตรงอินไซด์ - 9 มิ.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้