Today’s NEWS FEED

News Feed

HotNews: MILL-CPT-GUNKUL เปิดสูตร-เป้ารายได้ปี61

884

 

 

 

 


HotNews:  MILL-CPT-GUNKUL

เปิดสูตร-เป้ารายได้ปี61

  สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(  29  มกราคม  2561)--------ผ่านพ้นไปอย่างสวยงามสำหรับงานสัมมนา  Exclusive  Hooninside  ครั้งที่ 1 ประเดิมศักราชใหม่ปีจอ  ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 27  มกราคม 2561 ณ บล. เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) สนง. ดิออฟฟิศเศส แอท เซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 21    
 ทีมข่าวหุ้นอินไซด์ ต้องขอขอบคุณนักลงทุนทุกท่านที่ให้ความสนใจเข้าร่วมงานสัมมนาอย่างคับคั่งในทั้ง 3 หัวข้อ ประกอบด้วย " อนาคต MILL "  โดยคุณถิรพงศ์ คำเรืองฤทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิลล์คอน สตีล จำกัด (มหาชน) MILL 
ต่อด้วยหัวข้อ " CPT  พื้นฐานไม่ธรรมดา " โดยคุณสมศักดิ์ หลิมประเสริฐ  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ คุณอภิชาติ  ปีปทุม  กรรมการผู้จัดการ และคุณมนต์ชัย  ธัญธเนส General Manager (Sales) บริษัท ซีพีที ไดร์ แอนด์ เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) CPT    ก่อนปิดท้ายที่หัวข้อ  " GUNKUL ได้เวลาแล้วหรือยัง "  โดยคุณสมบูรณ์ เอื้ออัชฌาสัย  กรรมการผู้จัดการ  บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) GUNKUL
3 ธุรกิจ  MILL - CPT -GUNKUL   เปิดแผนธุรกิจ -สูตร-เป้ารายได้ปี61  นำโดย MILL คาดรายได้ปี61 สูงกว่าปีก่อน ตามปริมาณขาย หลังเพิ่มกำลังการผลิตอีก30%มองดีมานด์เหล็กปี61 พุ่ง จากโครงการภาครัฐฯ -EEC หนุน คาดอุตฯเหล็กโต5% 
CPT ตั้งเป้ารายได้ปี 61 โต10% มาที่ 1.4 พันลบ. หวังปี64 โตเท่าตัวแตะ 3  พันลบ.   รุกขยายฐานลูกค้า กลุ่มปิโตรเคมี บุกรับงานภาครัฐมากขึ้นตั้งเป้าดันสัดส่วนรายได้ตปท. แตะ300 ลบ. ใน3 ปีข้างหน้า  จากปีก่อน100 ลบ.
GUNKUL ตั้งเป้ารายได้ปี61 โตไม่น้อยกว่า 25% จากปีก่อนคาดเข้าเป้า 4.2-4.3 พันลบ. เผยปี61 กดปุ่ม COD โรงไฟฟ้าพลังงานลม2 โครงการ รวม 110 Mw คาดหนุนรายได้ 800-900 ลบ. 

นายถิรพงศ์ คำเรืองฤทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิลล์คอน สตีล จำกัด (มหาชน) MILL เปิดเผยในงานสัมมนา Exclusive HoonInside ครั้งที่1 เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2561  ที่ผ่านมาในหัวข้อ"อนาคตMILL"ว่า  บริษัทคาดรายได้รวมปี2561 จะเติบโตสูงกว่าปีก่อน ตามปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลจากการเพิ่มกำลังการผลิตอีกประมาณ30% จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิตอยู่ที่ประมาณ 1 ล้านตันต่อปี ขณะที่มองว่าภาพรวมการบริโภคเหล็กในประเทศจะเติบโตดี จากโครงการของภาครัฐสนับสนุน ทั้งโครงการรถไฟฟ้า โครงการรถไฟความเร็วสูง รวมทั้งโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ยังเป็นปัจจัยสนับสนุนที่ทำให้เกิดการลงทุนเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ภาพรวมการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปีนี้ ซึ่งตามการคาดการณ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย คาดว่าจะเติบโตประมาณ 3-4%  ขณะที่อุตสาหกรรมเหล็กคาดโตประมาณ 5% ซึ่งบริษัทเชื่อว่าผลการดำเนินงานจะเติบโตไปในทิศทางที่สอดคล้องกัน 
"ปกติเรามีการผลิตประมาณ 1 ล้านตันต่อปีอยู่แล้ว ซึ่งปีนี้จะปรับเพิ่มขึ้นประมาณ30%  ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ทำให้ยอดขายเราโตขึ้นไปในทิศทางเดียวกัน"นายถิรพงศ์ กล่าว
พร้อมกันนี้ บริษัทมีกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิด   Think Beyond Steelโดยการสร้าง Value Added ให้กับSuply Chain ซึ่งจะเน้น3  ส่วนประกอบด้วย Construction  Material ซึ่งเป็นพื้นฐานธุรกิจของ  ส่วนที่2 คือ  Special Steel และส่วนที่ 3  คือBeyond Steel ซึ่งทั้ง3  กลุ่มบริษัทมีแผนในการบริหารจัดการขยายธุรกิจเพิ่มเติมทั้งการเพิ่มกำลังการผลิต และการขยายไปในตลาดต่างประเทศ
"วันนี้เรามองไปถึงการสร้าง Value Added  ให้กับSuply Chain ของเราซึ่งจะนำซึ่ง Concept ที่ว่า  Think Beyond Steel ซึ่งเราจะทำให้มากกว่าเหล็ก ฉะนั้นกลยุทธ์ของเราก็จะสอดคล้องกับ Vistion Statement นี้ โฟกัสของเราตอนนี้ถ้าจะมองภาพใหญ่ๆ ของ MILL จะมีอยู่ 3  ส่วนที่เราทำอยู่ ไม่ว่าจะเป็น Construction  Material ซึ่งเป็นพื้นฐานธุรกิจของเราแต่ดั้งเดิม  ส่วนที่2 คือ  Special Steel  ส่วนที่ 3  คือBeyond Steel ซึ่งทั้ง3  กลุ่มเรามีแผนในการบริหารจัดการขยายธุรกิจเพิ่มเติมในปีนี้ ทั้งการเพิ่มกำลังการผลิต และการขยายไปในตลาดต่างประเทศ"นายถิรพงศ์ กล่าว
สำหรับการขยายสู่ตลาดต่างประเทศ ล่าสุดบริษัทได้มีการเข้าร่วมทุน กับ Artha Graha Group ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ประเทศอินโดนีเซีย เพื่อขยายตลาดในอินโดนีเซียร่วมกัน โดยบริษัทคาดว่าจะสนับสนุนผลประกอบการของบริษัทในระยะยาว 
"ตลาดอินโดนีเซีย เรามีการค้าขายมาก่อนหน้านี้อยู่แล้ว ทำให้เราเห็นศักยภาพของประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งมีประชากรมากกว่าประเทศไทยหลายเท่า การConsumption เหล็กในประเทศอินโดนีเซียมีอยู่แค่ 12 ล้านตันต่อปีเท่านั้น  เราจึงมองว่ายังมีโอกาสอีกมากที่เราจะก้าวไปในประเทศนี้ และก็เป็นโอกาสดีที่เราได้เจอพาร์ทเนอร์ที่ดี เป็นพาร์ทเนอร์ที่แข็งแกร่ง ตรงนี้ก็จะช่วยสนับสนุน  Vistion ของเรา ซึ่งเราก็มีศักยภาพและมีความชำนาญในธุรกิจเหล็ก ส่วนพันธมิตรของเราเองก็เป็นพาร์ทเนอร์ที่ดี ทำให้เราเชื่อว่าการ Join Venture กันครั้งนี้จะนำไปสู่ความสำเร็จตามที่เราวางแผนไว้ "นายถิรพงศ์ กล่าว
ขณะเดียวกัน บริษัทยังได้มีการต่อยอดธุรกิจหลัก โดยการเข้าไปถือหุ้นในบมจ.บางปะกง เทอร์มินอล (BTC)เพื่อสร้าวมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจหลัก  ทำให้บริษัทสามารถบริหารจัดการด้านการขนส่งอย่างครบวงจร 
นอกจากนี้ ยังมีการขยายการผลิตไปสู่เหล็กเกรดพิเศษ เพื่อป้อนเข้าสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ จากเดิมที่มุ่งเน้นเพียงเหล็กก่อสร้าง โดยบริษัทเชื่อว่าสัดส่วนรายได้จากกลุ่มเหล็กเกรดพิเศษจะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในอีก 5  ปีข้างหน้า
"โกเบ สตีล เราก็มีการ  Join Venture มา 2-3 ปีแล้ว ซึ่งตอนนี้มาถึงกระบวนการในการที่ทำ Commercial  ในปีนี้ หลังจากช่วงที่ผ่านมา 2-3 ปีเป็นช่วงของการก่อสร้าง แล้วก็ทำการทดสอบProduct  ซึ่งตอนนี้ได้ผ่านกระบวนการเหล่านั้นมาเรียบร้อยแล้ว และปีนี้จะเริ่มทำ Commercial และจะเริ่มสร้างกำไรให้บริษัทต่อไป"นายถิรพงศ์ กล่าว
นายถิรพงศ์ กล่าวกล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนการส่งออกเหล็กไปในตลาดต่างประเทศประมาณ  2 แสนตัน โดยบริษัทคาดว่าสัดส่วน Special Steel  กับ Construction Materialในปี 3 ปี น่าจะขึ้นประมาณ 30% ของรายได้ของกลุ่ม โดยตั้งเป้าให้ขึ้นไปถึง50% ภายใน5 ปี
สำหรับค่าเงินบาทที่ปรับตัวแข็งค่าขึ้น มองว่าเป็นปัจจัยสนับสนุนให้บริษัทมีต้นทุนที่ต่ำลง เนื่องจากบริษัทมีการนำเข้าเหล็ก 
"ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ผมคิดว่าเป็นการเอื้อการนำเข้าซึ่งแน่นอนที่สุดในกระบวนการผลิต เราก็มีสินค้าและวัตถุดิบที่เราต้องนำเข้าฉะนั้นค่าเงินบาทที่แข็งค่าก็ช่วยเอื้อให้เรามีต้นทุนที่ต่ำลง" นายถิรพงศ์ กล่าว
ขณะที่การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งจะมีผลในเดือนเมษายน นี้ กระทบกับริษัทไม่มาก คาดว่ามองโดยภาพรวมแล้วไม่น่าจะส่งผลกระทบแต่อย่างใด 
"ส่วนค่าแรงขั้นต่ำผมคิดว่า% ที่เพิ่มขึ้นไม่เยอะเข้าใจว่าประมาณสัก 3%คำนวณออกมาแล้วสูงสุดน่าจะกระทบประมาณสัก 0.1% ตรงนี้เราก็เชื่อมั่นว่าไม่น่าจะมีผลกระทบต่อราคาสินค้าและภาพรวม อาจจะมีผลบ้างกับ SME แต่ในภาพใหญ่น่าจะกระทบน้อย"นายถิรพงศ์ กล่าว


นายสมศักดิ์ หลิมประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพีที ไดร์ แอนด์เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) CPT เปิดเผยในงานสัมมนา Exclusive HoonInside ครั้งที่1 เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2561 ที่ผ่านมาในหัวข้อ"CPT พื้นฐานไม่ธรรมดา "ว่า  บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 2561 เติบโต10%  หรือมีรายได้อยู่ที่ 1,400 ล้านบาท  โดยคาดว่ารายได้จะเติบโตเท่าตัวมาอยู่ที่ระดับ 3,000 ล้านบาทในปี 2564  หลังบริษัทบริษัทขยายกลุ่มลูกค้าไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ เพิ่มขึ้น  อาทิกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี  รวมทั้งการเข้าไปรับงานของภาครัฐมากขึ้น  จากปัจจุบันที่สัดส่วนลูกค้าในกลุ่มโรงงานน้ำตาล ประมาณ 46% หรือคิดเป็นประมาณ 600  ล้านบาทของรายได้ในกลุ่มอุตสาหกรรม
"ปี 2561 เราตั้งเป้ายอดการรับรู้รายได้ของ CPT จะอยู่ที่ประมาณ 1,400 ล้านบาท ตอนนี้ Backog เรามีไม่ต่ำกว่า 400 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้รายได้ในปีนี้ทั้งหมด"นายสมศักดิ์ กล่าว 
ขณะเดียวกันบริษัทมีแผนขยายตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น เน้นประเทศอินโดนีเซีย ฟิลลิปปินส์ และเวียดนาม  ซึ่งบริษัทมีแผนเข้าไปตั้งสำนักงานขายในประเทศอินโดนีเซีย ฟิลลิปปินส์ และเวียดนาม คาดว่าจะเริ่มเห็นที่เวียดนามก่อนเป็นประเทศแรกในช่วงปลายปีนี้  โดยบริษัทคาดว่าจะสามารถผลักดันรายได้จากต่างประเทศให้ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 300 ล้านบาท ภายใน3 ปีข้างหน้าจากปัจจุบันที่มีสัดส่วนรายได้ต่างประเทศอยู่ที่ประมาณ100 ล้านบาท 
นายสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า หลังบริษัทเข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในช่วงปลายปี2560 ที่ผ่านมา บริษัทได้ดำเนินตามแผนโดยการนำเงินที่ได้จากการขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก(IPO) แบ่งเป็น200 ล้านบาท เพื่อนำไปซื้อที่ดินและสร้างโรงงานสำหรับผลิตตู้ไฟชนิดไม่มีโครงสร้างแบบ โดยปัจจุบันได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างโรงงานดังกล่าวแล้ว คาดว่าจะแล้วเสร็จในประมาณเดือนสิงหาคมนี้ และพร้อมที่จะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ทันที 
"โรงงานเราตอนนี้เริ่มตอกเข็มแล้วซึ่งเรามีกำหนดว่าจะต้องเสร็จในเดือนสิงหาคม นี้ และพร้อมที่จะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้เลย ตรงนี้จะทำให้เราสามารถขยายตลาดไปในกลุ่มไฮน์เอนด์ เพราะตู้ที่เราผลิตเป็นตู้ที่ได้มาตรฐานโลก มีความปลอดภัยสูงและสามารถขยายไปในอุตสาหกรรมใหม่ๆ เช่นปิโตรเคมี หรือการรุกในลูกค้าภาครัฐ เช่น  EGAT รวมถึงลูกค้าไฮน์เอนด์ ที่ต้องการใช้ตู้ที่มีความปลอดภัยสูง"
อีกทั้งยังได้ใช้เงินระดมทุนIPOอีกส่วนหนึ่งสำหรับการขยายตลาดต่างประเทศ 
"ตลาดต่างประเทศปกติเรามียอดขายประมาณ 100 ล้านบาท  โดยเฉพาะอย่างยิ่งอินโดนีเซีย ฟิลลิปปินส์ เวียดนาม เราจะเน้น 3  ประเทศนี้เป็นหลัก โดย 3  ประเทศนี้กำลังเริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมน้ำตาลย้อนรอบไปตามเส้นทางของเราประมาณ 18  ปีที่แล้วฉะนั้นผลงานต่างๆ ที่เราเคยทำไว้ในอดีต พร้อมที่จะเอาไปขายในประเทศนั้นโดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย คิดว่าใน3 ปีข้างหน้าสัก 300  ล้านบาท คิดว่าเราน่าจะหาได้  และเรายังมีแผนไปตั้งสำนักงานขายด้วย คิดว่าในปีนี้น่าจะเริ่มจากเวียดนามก่อน แต่คิดว่าจะเห็นในช่วงปลายปี" 
นอกจากนี้ ยังมีแผนลงทุนในระบบกักเก็บพลังงาน (  Energy Storage) เพื่อเป็นการต่อยอดธุรกิจ อีกทั้งยังสามารถสนับสนุนศักยภาพในการแข่งขัน เนื่องจากคาดว่าในอนาคตเชื่อว่า Energy Storage จะเข้ามามีบทบาทในอุตสาหกรรมอย่างมีนัยสำคัญ 
"อนาคต  Energy Storage น่าจะมีบทบาทมากขึ้นอย่างทุกวันนี้โซลาร์เซลล์ปัจจุบัน ขายแต่ตอนกลางวันไม่ได้เก็บไว้เลย มันทำให้ต้องมีระบบตรงนี้เข้าไปควบคุมเพื่อเก็บแบตเตอรี่ เก็บแสงไว้แล้วขายในช่วงพีคดีมานด์  ซึ่งตรงนี้มีมูลค่ามหาศาลอยู่  ซึ่งเราเริ่มต้นเอาไปใช้ในอุตสาหกรรมไปช่วยในการสตาร์ทมอเตอร์ตัวใหญ่ๆ เหมือนเป็นการต่อยอดธุรกิจของเราอีกทางหนึ่ง"นายสมศักดิ์ กล่าว 
นายสมศักดิ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ว่าอยากให้นักลงทุนเข้าใจในธุรกิจของ CPT มากขึ้น โดยบริษัทมีจุดเด่นอยู่ 3 ข้อคือ1.มีฐานลูกค้าที่มั่นคง 2.การเติบโตในอนาคตของ CPTจะเป็นการเติบโตที่สม่ำเสมอ บนพื้นฐานที่เป็นความจริงได้ และข้อที่ 3.CPT มีกระแสเงินสดอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา  โดยมีแผนจ่ายเงินปันผลไม่ใช่เฉพาะสิ้นปี แต่กำลังพิจารณาถึงการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลด้วย 




นายสมบูรณ์ เอื้ออัชฌาสัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) GUNKUL เปิดเผยในงานสัมมนา Exclusive HoonInside ครั้งที่1 เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2561 ที่ผ่านมาในหัวข้อ"GUNKULได้เวลาแล้วหรือยัง"ว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี2561 เติบโตไม่น้อยกว่า 25% จากปีก่อน โดยการเติบโตในปีนี้จะจากการรับรู้รายได้จากโครงการพลังงานลม 2  โครงการ ขนาดกำลังการผลิตรวม 110 เมกะวัตต์ ซึ่งโครงการแรกขนาด 60 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่ที่ห้วยบง ซึ่งมีกำหนดเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ (COD)ประมาณวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2561  และโครงการพลังงานลมขนาด 50 เมกะวัตต์ที่สีคิ้ว คาดจะ COD ประมาณสิ้นเดือนพฤษภาคม 2561 คาดว่าทั้ง 2 โครงการจะสร้างรายได้ให้บริษัทประมาณ 800-900 ล้านบาท แต่ในปี2562 จะสามารถรับรู้รายได้เข้ามาเต็มปี ประมาณ 1,200-1,300 ล้านบาท 
"เท่าที่ดูตัวเลขในปี 2560 เราเชื่อว่ารายได้ของ GUNKUL จะเติบโตตามเป้าหมายที่เราคาดว่าจะเติบโต30% ซึ่งเราเชื่อว่าจะมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 4,200-4,300 ล้านบาทโดยประมาณ ขณะที่ในปี 2561 เราเชื่อว่าเราจะเติบโตไม่น้อยกว่า 25% สาเหตุสำคัญหลักคือในปี 2561 นี้เรามีโครงการที่จะจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ในส่วนของโครงการกังหันลมประมาณ 2 ชุด คือโครงการพลังงานลมขนาด 60 เมกะวัตต์ที่ห้วยบง  และโครงการพลังงานลมขนาด 50 เมกะวัตต์ที่สีคิ้ว โดยโครงการแรกคาดว่าจะ COD ประมาณวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2561  และโครงการที่ 2 จะ COD ประมาณสิ้นเดือนพฤษภาคม ซึ่งเราเชื่อว่าทั้ง 2 โครงการนี้รวม 110 เมกะวัตต์ จะสร้างรายได้เต็มปีให้กับ GUNKUL ประมาณ 1,200-1,300 ล้านบาท ดังนั้นในปี 2561 ซึ่งยังเป็นการจำหน่ายไฟฟ้าที่ยังไม่เต็มปีน่าจะสร้างรายได้ประมาณ 800-900 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้บริษัทเติบโตจากธุรกิจพลังงานทดแทนค่อนข้างชัดเจน"นายสมบูรณ์ กล่าว 
ทั้งนี้บริษัทยังมีแผนเดินหน้าลงทุนโครงการพลังงานทดแทนอย่างต่อเนื่อง โดยอยู่ระหว่างศึกษาเข้าลงทุนโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลม ที่ประเทศมาเลเชีย  พม่า และเวียดนาม  ซึ่งคาดว่าจะเห็นความชัดเจนประมาณไตรมาส2/61  
ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้ามีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ครบ1,000 เมกะวัตต์ในปี2563  จากปัจจุบันที่บริษัทมี PPA ในมือประมาณ 488 เมกะวัตต์ คาดว่าจะหาPPA อีก 500 เมกะวัตต์ได้ภายใน 3 ปีข้างหน้า
"เราตั้งใจจะหา PPA  โดยทำ Target ไว้ประมาณ1,000 เมกะวัตต์ ขณะนี้ เราคิดว่าอีก 500 เมกกะวัตต์เราจะหาได้ภายใน 3 ปีข้างหน้าโดยประเทศที่เราโฟกัสและตั้งใจจะไป ตอนนี้ชัดเจนคือที่มาเลเซีย ที่พม่า และเวียดนามในส่วนของโครงการโซลาร์และลม  คาดว่าจะมีความคืบหน้าได้ประมาณ Q2/61 เป็นต้นไป ปัจจุบันเรามีจำนวนเมกะวัตต์ในมือ ราวประมาณ488 เมกะวัตต์ หากเราได้ COD โครงการกังหันลมแล้วอีกประมาณสัก 110  เมกะวัตต์ จะทำให้ชุดลม170 เมกะวัตต์ CODครบทั้งหมด  ตรงนี้เองบริษัทจะมี COD  ที่ยังขาดอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่นประมาณ 190 เมกะวัตต์ ก็แปลว่าบริษัทจะมี  COD ในปี2561 ไม่รวมประเทศญี่ปุ่นที่ทำรายได้ประมาณ 300 เมกะวัตต์ ซึ่งโครงการในญี่ปุ่นคาดว่าประมาณปลายปีนี้หรือต้นปีหน้าจะ  COD เพิ่มเติมได้ 1  โครงการที่เซนได ประมาณ 40  เมกะวัตต์" นายสมบูรณ์ กล่าว  
สำหรับเงินลงทุนในโครงการพลังงานทดแทน บริษัทจะนำมาจากการแสเงินสด ที่ได้จากการรับรู้รายได้โครงการพลังงานทดแทนที่ COD แล้ว โดยไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มทุน 
"ส่วนเงินลงทุนของโครงการพลังงานลม และโซลาร์ นั้นเราเชื่อว่าคงไม่เกี่ยวกับการเพิ่มทุนใดๆ  ซึ่งหลังจากที่เรา COD  โครงการลมเสร็จสิ้นแล้วบริษัทมีความสามารถในการจัดหา Ebitda โดยถ้าเสร็จสิ้นทุกโครงการเรามี Ebitda พอสมควรที่จะใส่Cap ที่จะเติบโตโดยคาดว่าในส่วนของมาเลเซียราวประมาณ 40-50 เมกะวัตต์ก็ตาม และโครงการพลังงานลม น่าจะใช้เงินลงทุนของบริษัทที่ได้จากโครงการที่เรา COD ไปแล้ว" นายสมบูรณ์ กล่าว
นอกจากโครงการพลังงานทดแทน ที่จะสร้างรายได้ให้บริษัทในปี 2561 แล้ว บริษัทยังมีธุรกิจงานรับเหมาก่อสร้างวางระบบและติดตั้ง (EPC) เข้ามาสนับสนุนการเติบโตในปีนี้ โดยบริษัทคาดจะมีส่วนร่วมในงานโครงการขนาดใหญ่  อาทิ โครงการนำสายไฟลงดิน 4  จังหวัดใหญ่ มูลค่าประมาณ 11,000 ล้านบาท  รวมทั้งงานวางสายเคเบิ้ลใต้น้ำ ที่จะเปิดประมูล ประมาณ 2  โครงการ มีมูลค่ารวมกับประมาณ 3,200  ล้านบาท 
"เราเชื่อว่าในปี2561 เรายังมีโครงการก่อสร้างที่เติบโตต่อเนื่อง เช่นโครงการนำไฟฟ้าลงดินของการไฟฟ้าภูมิภาค มูลค่าประมาณ 11,00  ล้านบาท ใน4  จังหวัดใหญ่ที่จะนำสายไฟลงดิน  มีโครงการที่จะลากสายเคเบิ้ลจากแผ่นดินใหญ่ ไปสู่เกาะเต่า และเกาะสมุย มูลค่า1,400  ล้านบาท กับ 1,800  ล้านบาท ซึ่งเราเชื่อว่า 2-3 โครงการจะเข้าไปมีส่วนแบ่ง ก็คิดว่าปีละไม่ต่ำกว่า 2,000  ล้านบาท ทำให้ GUNKUL ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องต่อไป"นายสมบูรณ์ กล่าว 
ส่วนธุรกิจเทรดดิ้งอุปกรณ์ไฟฟ้า คาดยังเติบโตประมาณ 15% ต่อปี 
"GUNKUL มีเป้าหมายการเติบโตที่ชัดเจนในส่วนของรายได้ที่จะมาจากการจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ทั้ง 2 โครงการ แล้วก็การหา PPA ใหม่ขอให้ทุกท่านโฟกัส ผมเชื่อว่าเป็นปีที่GUNKUL รอคอยมานาน เชื่อว่าทุกท่านจะเติบโตไปด้วยกันกับบริษัทครับ " นายสมบูรณ์ กล่าว 
----จบ---- 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

ความหวัง By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อยขี่ไม้กวาดวิเศษ เช้านี้หุ้นไทยปรับขึ้นตามหุ้นต่างประเทศด้วยมีความหวังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ....

ตามตัวเลข By : นายกล้วยหอม

นายกล้วยหอม นั่งเล่นในดงกล้วย มองดูตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของบ้านเราที่ประกาศออกมา ทั้งตัวเลขส่งออกเดือนมี.ค.ที่หดตัวเป็น...

มัลติมีเดีย

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้