สำนักข่าวหุ้นอินไซด์( 9 สิงหาคม 2565)-----บมจ. นอร์ทอีส รับเบอร์ หรือ NER เผยมติคณะกรรมการบริษัทฯ อนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากงวด 6 เดือนปี 2565 ในอัตรา 0.07 บาท/หุ้น ด้านงบ 6 เดือนปี 2565 บริษัทมีกำไรสุทธิ 851.09 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.68% หลังราคายางมีทิศทางที่ดี และบริหารจัดการต้นทุนขายได้ดี สำหรับปี 2565 บริษัทยังคงเดินหน้ามุ่งเน้นและพัฒนา การเติบโตสินค้าต้นน้ำและสินค้าปลายน้ำอย่างต่อเนื่อง โดยคาดรายได้จะอยู่ที่ 2.8 หมื่นล้านบาทตามเป้าที่วางไว้
นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม เปิดเผยว่า มติคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2565 อนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลผลงวดดำเนินงานวันที่ 1 มกราคม 2565 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2565 โดยจ่ายปันผลเป็นเงินสด อัตราการจ่ายปันผลเป็นเงินสด 0.07 บาทต่อหุ้น กำหนดจ่ายปันผลวันที่ 7 กันยายน 2565 รวมเป็นเงิน 129.34 ล้านบาท สำหรับวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล(XD) 23 สิงหาคม 2565 วันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) 24 สิงหาคม 2565
สำหรับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2565 บริษัทมีกำไรสุทธิที่ 851.09 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวด 6 เดือนของปี 2564 บริษัทมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 45.75 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 5.68% เนื่องจากสถานการณ์ราคายางในไตรมาส 2/2565 มีทิศทางที่ดี บริษัทสามารถจัดการต้นทุนขายได้ดี รวมถึงบริหารจัดการต้นทุนจัดจำหน่ายและมีป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ดีขึ้น ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิเพิ่มสูงขึ้น
ด้านรายได้จากการขายรวม สำหรับงวด 6 เดือนแรกของปี 2565 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 10,864.82 ล้านบาท ลดลง 387.82 ล้านบาทหรือคิดเป็น 3.45% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เกี่ยวเนื่องกับสถานการณ์การระบาดของเชื้อ COVID-19 ในประเทศจีน และค่าใช้จ่ายค่าระวางเรือที่สูงขึ้น ทางบริษัทฯจึงปรับสัดส่วนยอดขายให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันโดยเพิ่มสัดส่วนยอดขายในประเทศมากขึ้น เพื่อรักษาระดับความสามารถในการทำกำไรไว้
สำหรับภาพรวมธุรกิจของปีนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้ที่ 2.8 หมื่นล้านบาท จากกำลังการผลิตที่ 4.6 แสนตัน เติบโตจากปีก่อนที่มีรายได้ 2.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งได้รับผลดีจากราคายางพาราที่ปรับขึ้น เฉลี่ยที่ 60-65 บาท/กิโลกรัม นอกจากนี้ ในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้จะเพิ่มกำลังผลิตอีก 5 หมื่นตัน เป็น 5.1 แสนตัน/ปี จากเดิมที่ 4.6 แสนตัน คาดจะเริ่มรับรู้รายได้ไตรมาส 4 ปี 2565 ขณะที่ล่าสุดบริษัทมีเซ็นสัญญาเพิ่มลูกค้าใหม่จากประเทศอินเดีย 4 ราย โดยวางเป้าลูกค้าประเทศอินเดีย 10-15 % ในปี 2566 หรือประมาณ 7 หมื่นตัน/ปี ลูกค้าประเทศจีนอยู่ที่ 60% โดยเป็นลูกค้าจีนที่มีโรงงานอยู่ในประเทศ และต่างประเทศ ส่วนที่เหลือจะเป็นลูกค้าประเทศญี่ปุ่น และสิงค์โปรเป็นต้น
สำหรับแนวโน้มราคายาง ยังคงได้รับปัจจัยการสนับสนุนจากราคาตลาดล่วงหน้าต่างประเทศและราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยบริษัทคาดว่า รายได้จากยางพาราจะเติบโตขึ้นต่อเนื่อง จากการเพิ่มกำลังผลิตรถยนต์ EV ในประเทศจีน ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้ยางพารามากที่สุดประมาณ 50% ของปริมาณยาง จะมีการขยายตัวอย่างก้าวกระโดด รวมทั้งการส่งเสริมการใช้พลังงานใหม่ในรถบรรทุกจะเพิ่มขึ้น
ด้านธุรกิจแผ่นปูรองนอนปศุสัตว์ ขณะนี้เครื่องจักรที่สั่งมาจากไต้หวันได้เข้ามาถึงบริษัทเรียบร้อยแล้ว และคาดว่าจะติดตั้งแล้วเสร็จพร้อมจะสามารถรับรู้รายได้ไตรมาส 3 ปี 2565 สำหรับนโยบายการจําหน่ายสินค้าในประเทศและต่างประเทศเป็น 10 : 90 ซึ่งในสัดส่วนลูกค้าต่างประเทศแบ่งเป็น อินโดนีเชีย ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย โดยมองว่าความต้องการแผ่นปูรองนอนปศุสัตว์ในอุตสาหกรรมยังดีต่อเนื่อง ที่ผ่านมาบริษัทได้เริ่มทยอยขายแผ่นปูรองนอนวัวตั้งแต่เดือน ก.พ.65 แล้วโดยเป็นการจ้างบริษัทภายนอก (OEM) ผลิตไปก่อน เพื่อทดลองตลาดในประเทศ โดยขายในปริมาณไม่มาก และจะเริ่มผลิตสินค้าสำหรับส่งต่างประเทศในไตรมาส 4 ปี 65
บมจ.ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง (SNNP) โชว์ผลการดำเนินงาน Q2/65 ทำยอดขายนิวไฮตามนัด กวาดรายได้รวมกว่า 1,339 ล้านบาทผลจากยอดขายเติบโตต่อเนื่อง กระแสตอบรับผลิตภัณฑ์ใหม่ดีเยี่ยม กำไรสุทธิแตะ 116 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57% จากงวดเดียวกันปีก่อน บอร์ดไฟเขียวจ่ายปันผลระหว่างกาลเป็นเงินสด อัตรา 0.18 บาทต่อหุ้น พร้อมกำหนดรายชื่อผู้ได้รับสิทธิวันที่ 22 สิงหาคม 2565 นี้ ฟากผู้บริหาร "วิโรจน์ วชิรเดชกุล" มั่นใจผลงานปีนี้รายได้ทะยานแตะ 5,000 ล้านบาท สร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง หลังปูพรมบุกตลาดต่างประเทศ
นายวิโรจน์ วชิรเดชกุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานธุรกิจในประเทศ บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SNNP ผู้นำผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม และขนมขบเคี้ยวของประเทศไทย เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานสำหรับงวดไตรมาส 2/2565 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 116 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42 ล้านบาท หรือ 57% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิเท่ากับ 74 ล้านบาท ส่วนรายได้รวมอยู่ที่ 1,339 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 266 ล้านบาท หรือ 25% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวมเท่ากับ 1,073 ล้านบาท
ในขณะที่งวด 6 เดือนของปี 2565 บริษัทฯมีกำไรสุทธิจากธุรกิจหลัก ซึ่งไม่รวมกำไรพิเศษ อยู่ที่ 235 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 90 ล้านบาท หรือ 62% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนโดยมีกำไรสุทธิดังกล่าวอยู่ที่ 145 ล้านบาท ส่วนรายได้จากธุรกิจหลักรวมอยู่ที่ 2,457 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 371 ล้านบาท หรือ 18% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวมเท่ากับ 2,086 ล้านบาท
ปัจจัยที่สนับสนุนให้กำไรสุทธิปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เป็นผลจากการที่ยอดขายในประเทศ ยังสามารถขยายตัวได้ดี และเติบโตได้มากกว่าภาพรวมของอุตสาหกรรม ขณะที่บริษัทฯทยอยออกสินค้าใหม่ๆออกวางจำหน่าย ซึ่งมีกระแสตอบรับเป็นอย่างดี รวมทั้งไตรมาส2ของทุกปี ยังเป็นช่วงไฮซีซันในการจำหน่ายสินค้าของบริษัทฯ ประกอบกับยอดขายจากประเทศเวียดนามมีการเติบโตได้ต่อเนื่อง และปัญหาเรื่องการขนส่งก็กลับเข้ามาสู่ภาวะปกติ โดยบริษัทฯยังมีความมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ออกสู่ตลาด รองรับความต้องการของผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 5/2565 ได้มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้กับผู้ถือหุ้นเป็นเงินสด ในอัตราหุ้นละ 0.18 บาท รวมเป็นเงินปันผลทั้งสิ้น 173 ล้านบาท และกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date)ในวันที่ 22 สิงหาคม 2565 และกำหนดจ่ายเงินปันผลวันที่ 6 กันยายน 2565
"ผลดำเนินการที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง เป็นผลมาจากความมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม และขนมขบเคี้ยว ทั้งในด้านคุณภาพและการบริการ ตลอดจนการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่หนึ่งในใจของผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์สินค้าหลักอย่างเจเล่ และเบนโตะ สามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากผลงานในช่วง 6 เดือน ยังเติบโตได้ดี ทำให้มั่นใจว่าภาพรวมทั้งปี2565 แนวโน้มรายได้ในปีนี้จะพุ่งแตะที่ระดับ 5,000 ล้านบาท สร้างสถิติสูงสุดใหม่ตามแผนงานที่วางไว้
รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานธุรกิจในประเทศ กล่าวอีกว่า แนวโน้มการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทฯยังมีแผนออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ตามแผนที่วางไว้ เช่น ผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์สินค้าหลักอย่างเจเล่ และเบนโตะ ส่วนกลยุทธ์ทางด้านการตลาดจะมีการปรับโฉมสินค้า "เจเล่" รวมถึงการเปิดตัวหนังโฆษณาชุดใหม่ๆ เพื่อสื่อสารทางการตลาดกับกลุ่มผู้บริโภค เพื่อเป็นการสร้างกระแสให้กับกลุ่มผู้บริโภคครั้งใหญ่ในช่วงไตรมาส 3/2565 รวมถึงตลาดต่างประเทศที่บริษัทฯจะเร่งขยายช่องทาง และลงทุนสร้างฐานธุรกิจไว้ล่วงหน้า ไม่ว่าจะประเทศเวียดนาม กัมพูชา หรือ ประเทศส่งออกอื่นๆ ซึ่งมีแนวโน้มจะเติบโตได้ดีขึ้นในทุกไตรมาส
-----จบ----