Today’s NEWS FEED

News Feed

HotNews: 2เทพ เคาะหุ้นเด่นQ3/65 บล.KTX แจก BBL ,KBANK, KKP, BEC, BAFS, ORI, LH ,ASIAN, SAPPE, SABINA /บล.เอเซีย พลัส ชู CRC, BEM ,CENTEL, CPN ,TRUE, CPF , KTB

1,969

 

 

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(11กรกฎาคม 2565)------บล.KTX ให้เป้า SET Index 3Q22 ที่ 1,497 จุด แนะลงทุนหุ้นกลุ่มธนาคาร ส่งออก และกลุ่ม Domestic PlayBBL ,KBANK, KKP, BEC, BAFS, ORI, LH ,ASIAN, SAPPE, SABINA

 


บริษัทหลักทรัพย์กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด (KTX) ประเมินเป้าหมาย SET Index ที่ 1,497 จุด ใน 3Q22 โดยอ้างอิงจาก Earnings yield gap ที่ระดับ 3.5% และประมาณการกำไรต่อหุ้น (EPS) ในระยะ 12 เดือนข้างหน้าที่ 102.09 บาท โดยเราปรับลด Earnings Yield Gap ครั้งก่อน จากการขยับประมาณการอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 10 ปีเพิ่มเป็น 3.3% (จากเดิม 2.7%) เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลก ซึ่งรวมถึงคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทยด้วย

นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด (KTX) กล่าวว่า ปัจจัยลบกดดันตลาดหุ้นไทยใน 3Q22 เป็นเรื่องความเสี่ยงการชะลอตัวของเศรษฐกิจสำคัญ อันเป็นผลจากการดำเนินนโยบายเข้มงวดของธนาคารกลาง เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ซึ่งจะตามมาด้วยการปรับลดประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจ และกำไรของบริษัทจดทะเบียนทั้งในและต่างประเทศ สำหรับปัจจัยในประเทศ เราประเมินโอกาสมากขึ้นที่ กนง. จะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี ในอัตรา 0.25% สู่ระดับ 0.75% เพื่อสกัดการพุ่งขึ้นต่อเนื่องของดัชนีราคาผู้บริโภค และรักษาส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงของไทยและสหรัฐฯ (Real Rate Spread) ไม่ให้ต่ำกว่า 0% นอกจากนี้ การกลับมาเร่งตัวของจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ยังอาจเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย

สำหรับปัจจัยเสี่ยงเชิงบวก ประกอบด้วย การส่งสัญญาณลดความเข้มงวดของการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ หากมีข้อบ่งชี้ว่าอัตราเงินเฟ้อได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว รวมไปถึงการเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน เพื่อบรรเทาผลกระทบจากการปิดเมืองสำคัญตามนโยบาย Zero Covid-19

ด้านกลยุทธ์การลงทุนแนะนำ Selective Buy หุ้นกลุ่มธนาคาร รับประโยชน์จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น สำหรับการลงทุนระยะ 12 เดือนข้างหน้า KTX ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นที่อิงการบริโภคในประเทศ ซึ่งจะได้ประโยชน์จากการบริโภคที่ฟื้นตัวหลังคลายมาตรการปิดเมือง และรับกำลังซื้อจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยหุ้นเด่นประจำ 3Q22 ได้แก่ BBL KBANK KKP BEC BAFS ORI LH ASIAN SAPPE SABINA

 

ด้านบล.เอเซีย พลัส ประเมินตลาดหุ้นไทย ไตรมาส 3/65 เผชิญความเปราะบาง แนะลงทุนหุ้นได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น บาทอ่อนค่า ชู CRC, BEM ,CENTEL, CPN ,TRUE, CPF , KTB

 

สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (ASPS) ประเมินภาพรวมการลงทุนในช่วงไตรมาส 3 ปี 2565 ตลาดหุ้นไทยยังเผชิญแรงกดดันจากความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกชะลอตัว เงินเฟ้อระดับสูงและการดำเนินนโยบายการเงินเชิงรุกของธนาคารกลางต่างๆ ที่ทำให้สภาพคล่องในระบบลดลง ส่วนปัจจัยภายในเผชิญแรงกดดันจากค่าเงินบาทอ่อนค่าที่จะทำให้ Fund Flow ยังมีแนวโน้มไหลออก ด้านกำไรบริษัทฯ 2Q65 คาดหดตัวทั้ง QoQ และ YoY หลังผ่านช่วง High Season และฐานสูงในปีก่อน กดดัน SET Index ยังอยู่ในช่วงพักฐาน แต่ระดับดัชนีที่ต่ำกว่า 1,570 จุด เป็นโซนสะสมสำหรับการลงทุนในระยะกลาง-ยาว

 

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วง 3Q65 ยังอยู่ในภาวะพักฐานจากเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัวจากความเสี่ยงเงินเฟ้อฯ และความขัดแย้งระหว่างรัสเซียยูเครนที่ยืดเยื้อ ทำให้ World Bank ปรับลดคาดการณ์ GDP Growth 2565 ลงจากเดิม 4.1% มาเหลือ 2.9% แต่อย่างไรก็ตามการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางต่างๆ กลับต้องเดินหน้าใช้นโยบายการเงินเชิงรุกผ่านการขึ้นดอกเบี้ยฯ และดึงสภาพคล่องออกจากระบบ เพราะให้น้ำหนักไปที่การสกัดเงินเฟ้อฯ มากกว่าการเติบโตของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะทางฝั่งสหรัฐฯคาดว่า FED จะขึ้นดอกเบี้ยฯ ทุกครั้งในรอบการประชุม 4 ครั้งที่เหลือของปี โดยเดือนก.ค. คาดขึ้น 0.75% ไปที่ 2.5% และดอกเบี้ยฯ ณ สิ้นปีน่าจะอยู่ที่ 3.5% ซึ่งเริ่มส่งผลต่อดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจส่งสัญญาณชะลอตัว

 

ส่วนของบ้านเราแม้ว่า ธปท.ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยฯ แต่ยังดำเนินแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยกำหนดประชุม กนง.เร็วที่สุด 10 ส.ค.65 ทำให้แนวโน้มส่วนต่างดอกเบี้ยฯ ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ มีช่องว่างมากขึ้น โดยฝ่ายวิจัยฯ เชื่อว่า กนง.จะมีการขึ้นดอกเบี้ยฯ 0.25% ในการประชุม 3 ครั้งที่เหลือของปีนี้ซึ่งจะทำให้ดอกเบี้ยฯ ของเราอยู่ที่ 1.25% ทำให้ส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยฯ ไทยกับสหรัฐฯ ณ สิ้นปีจะอยู่ที่ -2.25% กว้างขึ้นเมื่อเทียบกับปัจจุบันอยู่ที่ -1.25% ส่งผลต่อแนวโน้มเงินบาทที่มีโอกาสอ่อนค่าเหนือ 36.00 บาท/usd เป็นปัจจัยที่ทำให้ Fund Flow ยังมีทิศทางไหลออก

 

นอกจากนี้ยังมี 3 ปัจจัยที่จะเข้ามารบกวนต่อทิศทาง SET Index ในไตรมาสนี้ประกอบด้วย 1) แนวทางการจัดเก็บภาษีของรัฐของภาครัฐฯที่ขาดความชัดเจน อาทิ ภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับการชายหุ้น ภาษีลาภลอยอสังหาฯ และประเด็นเรื่องการขอความร่วมมือต่อผู้ประกอบการกลุ่มโรงกลั่น 2) ราคา Commodity ที่เริ่มปรับฐานจากความกังวลต่อ Recession ในเศรษฐกิจโลกและสหรัฐฯ 3) การเข้าซื้อขายของหุ้น IPO ขนาดใหญ่กลุ่มประกันที่เข้าเกณฑ์ SET50 Index Fast Track ในช่วง ก.ค.65 ที่อาจกดดันต่อหุ้นในกลุ่มใกล้เคียงกันอย่าง ธ.พ. ประกันและไฟแนนซ์

 

ด้านภาพกำไรบริษัทจดทะเบียนไทยยังคงประมาณการ EPS 65F ไว้ที่ EPS 88.9 บาท/หุ้น แต่อย่างไรก็ตามในงวด 2Q65 ประเมินว่าทิศทางกำไรจะอ่อนตัวระดับ YoY เนื่องจาก 2Q64 เป็นช่วงที่ฐานกำไรสูงกว่าปกติจากการบันทึกรายการพิเศษของ PTTGC ขาย GPSC และ BAY ที่ขายเงินลงทุนติดล้อ และจะเห็นการอ่อนตัว QoQ จากการผ่านช่วง High Season ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยฯ ได้ประเมินระดับดัชนีที่เชื่อว่าจะสามารถรองรับความเสี่ยงการปรับขึ้นดอกเบี้ยฯของกนง. 3 ครั้งบนสมมติฐาน Market Earning Yield Gap (MEYG) 4.4% และ Bond Yield 1 ปีที่ 1.25% ทำให้ได้ระดับดัชนีที่รองรับความผันผวนของตลาดอยู่ที่ 1,570 จุด กลยุทธ์การลงทุน แนะนำทยอยสะสมหุ้นเมื่อ SET Index ปรับฐานลงต่ำกว่า 1,570 จุดลงมาในทางตรงข้ามหากดัชนีขึ้นสูงกว่า 1,570 จุดแนะนำให้ขายทำกำไร หรือเลื่อน Stop Profit ของหุ้นขึ้น โดยหุ้น Top Pick ใน 3Q65 อยู่กับ 3 Theme 1) หุ้นที่ได้ประโยชน์จาก Reopening CRC BEM CENTEL CPN TRUE หุ้นได้ประโยชน์จากบาทอ่อนค่า CPF และ หุ้นที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น KTB

 

นางสาวกฤตยาภรณ์ ธาดาสีห์ หัวหน้าฝ่ายลงทุนหลักทรัพย์ต่างประเทศ บล.เอเซีย พลัส มองว่า ในปี 2022 นี้ ตลาดหุ้นทั่วโลกเผชิญกับความผันผวนหนัก กดดันโดย 3 ปัจจัยใหญ่ ได้แก่ เศรษฐกิจที่ชะลอตัว ความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์ และการดำเนินนโยบายทางการเงินที่ตึงตัวของธนาคารกลางส่วนใหญ่ทั่วโลก ทำให้ดัชนี MSCI World ที่ประกอบไปด้วยหุ้นชั้นนำของ 23 ประเทศทั่วโลก ปรับลงเกือบ 9% ช่วงระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา แต่ตลาดหุ้นจีนกลับสามารถ รีบาวด์สวนทางกับตลาดอื่น โดยดัชนี Hang Seng และดัชนี CSI300 ปรับขึ้น 2% และ 10% ตามลำดับ เนื่องจากท่าทีการใช้นโยบายเข้มงวดของรัฐบาลจีนที่ใช้ควบคุมบริษัทเอกชนและการแพร่ระบาด COVID-19 ส่งสัญญาณคลี่คลาย อีกทั้ง มีการเร่งอัดฉีดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายการเติบโตของเศรษฐกิจจีนปีนี้ที่ 5.5% ได้สำเร็จ ทำให้นักวิเคราะห์หลายเจ้าอย่าง JP Morgan และ Morgan Stanley ที่ก่อนหน้านี้เคยมีมุมมองเชิงลบกับหุ้นจีนเป็นอย่างมากได้กลับลำมุมมองเนื่องจากเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน แม้รัฐบาลจีนจะยังคงใช้นโยบาย Zero COVID อยู่ แต่เดือนพ.ค. ที่ผ่านมารัฐบาลจีนได้ประกาศคลายล็อกดาวน์ในเมืองสำคัญทางเศรษฐกิจอย่างปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ และได้ประกาศลดวันกักตัวสำหรับนักเดินทางต่างชาติส่งผลให้การเดินทางระหว่างเมืองของชาวจีนเป็นอิสระมากขึ้น ซึ่งแพลตฟอร์มท้องถิ่นของจีนที่ใช้จองตั๋วเดินทางและที่พักอย่าง Tongcheng Travel Holdings ก็ได้รับอานิสงค์นี้ด้วย

 

ด้านนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนที่เผยออกมาทั้ง 33 มาตรการมีมูลค่ากว่า 5.3 ล้านล้านดอลลาร์ คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 1 ใน 3 ของเศรษฐกิจจีน ซึ่งเน้นออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในฝั่งอุปทานเป็นหลัก อาทิ การลดภาษี การลดอัตราดอกเบี้ยและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน โดยพลังงานสะอาดเป็นด้านหนึ่งที่รัฐบาลจีนตั้งเน้นผลักดันในระยะยาว ภายใต้เป้าหมายการลดคาร์บอนเป็นศูนย์ก่อนปี 2060 ซึ่งประเทศจีนมีจุดเด่นด้านการพัฒนาพลังงานแสงอาทิตย์ ครองส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 ในทุกชิ้นส่วนภายในห่วงโซ่การผลิตแผงโซลาร์ ส่งผลให้บริษัทผู้ที่มีการผลิตทุกส่วนประกอบในแผงโซลาร์เองอย่าง Longi Green Energy มีความโดดเด่นเป็นอย่างมากทั้งในด้านของต้นทุนการผลิตและประสิทธิภาพ สามารถครองตำแหน่งผู้ผลิตผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับพลังงานแสงอาทิตย์มากที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลกได้

 

นอกจากนี้ รัฐบาลจีนได้ออกมาตรการกระตุ้นฝั่งอุปสงค์ เพื่อหนุนการจับจ่ายใช้สอยไปพร้อมกับการผลักดันการใช้พลังงานสะอาดด้วย โดยเน้นกระตุ้นอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าเป็นหลัก โดยรัฐบาลอยู่ระหว่างการพิจารณายืดระยะเวลาการยกเว้นภาษีอุดหนุนรถยนต์ไฟฟ้าที่มีผลบังคับใช้มาตั้งแต่ปี 2014 ออกไป พร้อมผลักดันให้ประชาชนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าแทนรถยนต์สันดาป ด้วยเป้าหมายของรัฐบาลจีนที่ชัดเจนนี้ ส่งผลให้ผู้ผลิตที่มียอดขายรถยนต์อันดับ 1 ในจีนอย่าง BYD ประกาศเลิกผลิตรถยนต์สันดาปและผันตัวเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มตัว โดย BYD มีธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำของการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ก้าวขึ้นเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอันดับ 1 ของโลก แซงหน้า Tesla ไปเป็นที่เรียบร้อย หากอิงจากยอดส่งมอบครึ่งปีแรกที่ผ่านมา

 

นายภาดร สุขสวัสดิ์ หัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์การลงทุนและผลิตภัณฑ์ บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาเราจะเห็นการปรับฐานของราคาสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกไปมากแล้วก็ตาม แต่ระยะข้างหน้าจากความไม่แน่นอนของเงินเฟ้อและราคาพลังงานที่ยังอยู่ในระดับสูง ประกอบกับการเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางต่างๆ จะยังคงเป็นปัจจัยกดดันต่อเศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนทั่วโลก ดังนั้นการลงทุนในไตรมาสที่ 3Q65 ยังคงเน้นลงทุนในภูมิภาคที่เห็นมองสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจน และมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งทางการเงินและทางการคลังออกมาอย่างต่อเนื่อง เช่น ในประเทศจีน เป็นต้น

 

---จบ---

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

ไต่เส้น By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ มองดูหุ้นไทยไต่เส้น แถว 1370 +/- แบบพยาบามฝ่าด่าน 1380 จุด โดยเช้านี้ พี่ DELTA..

มัลติมีเดีย

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้